ตอนที่ 263 / ตอนที่ 264 ข้าราชการปกป้องกันเอง

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 263

หลิวซื่อพิจารณาสีหน้าของหัวหน้าหมู่บ้าน นางเห็นว่าเขามีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองเพราะคำพูดเหล่านั้นของนาง หรือนี่จะยังไม่น่าเวทนาพอ

หัวหน้าหมู่บ้านกวาดสายตามองนางครั้งหนึ่ง ก่อนจะชี้ไปยังอาหู่ที่อยู่ข้างๆ “เขาได้ลงมือหรือไม่”

“ลงมือสิ ตอนที่จ้าวหลานใช้เท้าเตะแม่สามีของข้า ก็เป็นเขานี่แหละที่ทับอยู่บนตัวของท่านแม่ กดท่านแม่ไว้ไม่ให้ขยับ ไม่เช่นนั้นนางคงจะไม่ถูกทุบตีท่านแม่จนมีสภาพน่าเวทนา และเป็นลมสลบไปไม่รู้กี่รอบหรอก” หลิวซื่อรีบพูด

หัวหน้าหมู่บ้านไม่ได้พูดอะไร เขานำหลิวซื่อกลับไปหาหญิงชรา จากนั้นก็เรียกพวกคนงานที่มองเรื่องคึกคักอยู่ไกลออกไป “พวกเจ้ามานี่ให้หมด”

พวกคนงานอยากเดินไปใจจะขาด สองแม่สามีและลูกสะใภ้นี้เป็นพวกต้มตุ๋นอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาเห็นทุกอย่างชัดเจน ถึงแม้หัวหน้าหมู่บ้านจะไม่เรียกพวกเขา ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็จะมาเป็นพยานให้กับเจ้าของบ้าน

“พวกเจ้าเห็นจ้าวหลานตีคนหรือไม่” หัวหน้าหมู่บ้านถามพวกคนงาน

ทุกคนพากันส่ายหน้า “ข้าไม่เห็นนางตีคน แต่เห็นหญิงชราผู้นี้ลงไปนอนอยู่บนพื้นเอง ท่านน้าหลานกับอาอู่ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ยื่นนิ้วไปเตะต้องนางแม้สักนิ้ว”

หลิวซื่อร้องในทันที “พวกเจ้ากินข้าวของจ้าวหลาน ย่อมช่วยจ้าวหลานพูดอยู่แล้ว”

หัวหน้าหมู่บ้านรู้ว่าหลิวซื่อจะพูดเช่นนี้ จึงไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด

“หลิวกว้าหัว เจ้าพูดสิ่งที่เพิ่งพูดให้ข้าฟังอีกรอบสิ”

หลิวกว้าหัวไม่รู้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านหมายความว่าอะไร แต่ในเมื่อเขาให้นางพูด เช่นนั้นนางก็จะพูดอีกครั้ง โดยการแต่งเสริมเติมแต่งตรงนั้น ใส่สีตีไข่ตรงนี้ ฟังแล้วดูน่าเวทนายิ่งกว่าที่พูดให้หัวหน้าหมู่บ้านฟังเมื่อครู่อยู่หลายเท่า ราวกับว่าแม่สามีของตนที่กึ่งนอนอยู่บนพื้นในตอนนี้ได้ตายไปแล้ว แม้แต่เศษซากก็ไม่เหลือ

นางพูดน้ำไหลไฟดับ จนหญิงชราที่อยู่บนพื้นเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี เริ่มมีสติขึ้นมาได้บ้าง เพราะหัวหน้าหมู่บ้านไม่ได้ถามอะไรต่อ นางเองบอกให้สะใภ้ใหญ่หุบปากอยู่ตลอด ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจนางโดยสิ้นเชิง…

จนกระทั่งหลิวกว้าหัวพูดจบได้เสียที หัวหน้าหมู่บ้านและทุกคนก็เห็นว่านางช่างพูดเสียจริงๆ สตรีนางนี้ เหตุใดถึงไม่ไปเล่าเรื่องที่โรงน้ำชากัน ฝีปากเช่นนี้ไม่เลวเลย! ปะติดปะต่อเรื่องได้เป็นชุดๆ ราวกับว่ามีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นจริงๆ

“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านว่าจ้าวหลานชั่วช้าหรือไม่ ฝีมือนางร้ายการเพียงใดกัน ถึงลงมืออย่างหนักกับคนที่เป็นเหมือนไม้ใกล้ฝั่งเช่นนี้ นางลงมือถึงขนาดนั้นได้อย่างไรกัน”

หัวหน้าหมู่บ้านอยากให้นางแสดงละครต่อไปยิ่งนัก แต่เห็นว่าล่วงเลยไปนานแล้ว ทุกคนล้วนยังมีงานต้องทำ ย่อมไม่อาจดูละครอยู่ที่นี่ได้ตลอด

เขามองหญิงชราที่มีสีหน้าดำคล้ำ พลางถามว่า “เจ้าได้ยินที่หลัวกว้าหัวพูดแล้วกระมัง มีอะไรอยากเสริมอีกหรือไม่”

หญิงชราถลึงตามองหลิวซื่ออย่างดุดันครั้งหนึ่ง อยากจะลุกขึ้นไปบิดใบหูทั้งสองข้างของนางเสียจริง ช่างเป็นสะใภ้ที่ไร้ความสามารถ ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง ทั้งยังทำลายเรื่องดีจนหมดสิ้น

นางพูดกับหัวหน้าหมู่บ้านว่า “หัวหน้าหมู่บ้าน หลิวกว้าหัวพูดเกินจริงไปบ้าง แต่จ้าวหลานตีข้าจริงๆ นี่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น”

หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้า “ตอนนี้ข้าจะต้องเข้าเมืองพอดี พวกเจ้าไปฟ้องร้องกับข้าที่ที่ว่าการอำเภอดีหรือไม่ ให้ใต้เท้านายอำเภอหรือใต้เท้าเมิ่งช่วยตัดสินคดีนี้ให้พวกเจ้า เมื่อครู่พวกเจ้าทั้งสองคนต่างก็พูดกับข้าแล้ว ข้าจะบอกเล่าตามความจริง แลจะให้พวกเจ้านำพยานไปด้วยสักสองคน พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร”

หญิงชราเก็บสีหน้าไม่ได้ในทันที นางโมโหจนมือสั่นไปหมด ทว่าหลิวซื่อที่อยู่ข้างกายยังไม่รู้จักจบสิ้น นางกล่าวอีกว่า “ให้ใต้เมิ่งตัดสินคดี เขามีความสัมพันธ์อันดีกับไป๋จื่อ ไปหาเขาแล้วจะมีประโยชน์อะไร เขาต้องปกป้องไป๋จื่อแน่นอนอยู่แล้ว”

……….

ตอนที่ 264 ข้าราชการปกป้องกันเอง

หัวหน้าหมู่บ้านมีสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าหมายความว่าอย่างไร สงสัยในความตงฉินของใต้เท้าเมิ่งรึ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ไปหาใต้เท้านายอำเภอเลยก็แล้วกัน”

หลิวซื่อกล่าวอีก “ว่ากันว่าข้าราชการปกป้องกันเอง ไปหานายอำเภอแล้วจะมีประโยชน์อะไร ขอเพียงใต้เท้าเมิ่งพูดคำเดียว ไหนเลยนายอำเภอจะใจสนความเป็นตายของชาวบ้านอย่างพวกข้า”

หัวหน้าหมู่บ้านจ้องหน้านาง “ดูท่าเจ้าจะไม่ได้สงสัยความตงฉินของใต้เท้าเมิ่งเพียงผู้เดียว แม้แต่ใต้เท้านายอำเภอก็สงสัยเช่นกัน ไม่เช่นนั้นข้าช่วยเจ้าเขียนหนังสือฉบับหนึ่ง เจ้าไปฟ้องร้องที่เมืองหลวงก็พอ เพราะเมืองชิงหยวนเล็กๆ ของพวกเราแห่งนี้ เกรงว่าจะตัดสินคดีของเจ้าไม่ได้แล้ว”

จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่องพูด “แต่ข้าขอเตือนเจ้าไว้เลยนะ ไม่ว่าจะไปฟ้องร้องที่ใด ล้วนพูดให้ตรงกันอย่างเป็นเอกฉันท์ อย่าได้เป็นเหมือนเช่นตอนนี้ เจ้าสองคนประสบทุกอย่างร่วมกัน ทว่าคนรับเคราะห์กลับพูดต่างออกไปโดยสิ้นเชิง จนข้ามีลางสังหรณ์บางอย่าง ว่าพวกเจ้าสองแม่สามีและลูกสะใภ้พบโจรชั่วคนละคนกัน และทุบตีพวกเจ้าจนสติฟั่นเฟือนไปแล้ว”

หลิวซื่อไม่เข้าใจ “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านหมายความว่าอย่างไร”

หัวหน้าหมู่บ้านแค่นเสียง “หมายความว่าอย่างไร? ข้าหมายความว่าอยากจะขูดรีดคนอื่น อย่างน้อยก็ต้องปั้นเรื่องโกหกให้ดีเสียก่อน อย่าได้แต่งเสริมเติมแต่งเรื่องราวอย่างกระชั้นชิดตามใจชอบ เช่นนั้นจะทำให้คนจับผิดได้ง่ายยิ่ง อย่างเช่น เจ้าเล่าเรื่องของแม่สามีตนเองเสียน่าเวทนาเหลือเกิน นั่นย่อมต้องส่งหมอมาตรวจดูสักหน่อย หากตรวจไม่พบบาดแผลเช่นที่เจ้าพูด ก็ชัดเจนว่านั่นเป็นเรื่องโกหก แล้วรู้หรือไม่ว่าให้การเท็จต้องเข้าคุกนานเท่าไร”

คราวนี้หลิวซื่อถึงจะได้สติ ก่อนจะมองไปทางหญิงชราโดยที่ไม่รู้ตัว บัดนี้สายตาของหญิงชราแทบจะกลืนกินนางได้อยู่แล้ว

เมื่อครู่นางยังพึงใจกับความเฉลียวฉลาดของตนเองอยู่เลย แต่ตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่าตนเองทำผิดเพราะความโง่งมมากเพียงใด…

หญิงชรารู้ว่าวันนี้คิดจะขูดรีดจ้าวหลานไม่ได้แล้ว เพราะลูกสะใภ้ตัวดีอย่างหลิวกว้าหัวทำให้เสียแผน ทำให้นางต้องนอนอยู่บนพื้นตั้งนมนาม นั่งทับก้อนกรวดเล็กๆ จนรู้สึกเจ็บแล้ว

นางตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้น แล้วถลึงตามองหลิวซื่ออย่างดุดัน กล่าวด้วยโทสะว่า “ยังตะลึงอะไรอยู่อีก จะไม่กลับไปกับข้าหรืออย่างไร”

ทั้งสองคนจากไปรวดเร็วราวกับควัน ด้านหลังมีเสียงหัวเราะเยาะดังมาเป็นระลอก ทำให้พวกนางพลันรู้สึกโกรธจนตัวสั่น แต่กลับจนใจนัก ด้วยทำอะไรไม่ได้สักอย่าง

ร้านสือเค่อ

หลังจากไป๋จื่อกล่าวขอบคุณเถ้าแก่เฉิน นางก็ไปที่ห้องครัวด้วยตนเอง เพื่อแบ่งปันเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ในการทำมันฝรั่งให้กับเหล่าพ่อครัว

พ่อครัวทุกคนล้วนมีฝีมือทำอาหารที่ยอดเยี่ยมเป็นของตัวเอง แต่ไหนแต่ไรไม่เคยถ่ายทอดให้ใคร อีกทั้งพวกเขาไม่เคยเห็นคนที่แบ่งปันสูตรอาหารของตนเองอย่างไม่เห็นแก่ตัวให้ผู้อื่นเช่นไป๋จื่อมาก่อน ความรู้สึกดูถูกและความสงสัยที่มีต่อนางในทีแรก จึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความเคารพและนับถือ

สิ่งที่ไป๋จื่อพูดออกมา พวกเขาล้วนจดจำอย่างตั้งใจ ทำอาหารรสเลิศตามวิธีที่เด็กสาวสอน และมีบริกรที่คอยยกอาหารออกไป นำเงินชมเชยที่ได้จากพวกลูกค้ากลับมาแบ่งกับเหล่าพ่อครัวอย่างไม่ขาดสาย

เหล่าพ่อครัวรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยไม่ได้รับเงินชมเชยที่ลูกค้าให้มานานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้

พวกลูกค้ามีเพียงได้กินอาหารที่ทำให้ตนเองพอใจเป็นอย่างยิ่งแล้วเท่านั้น ถึงจะมอบเงินชมเชยให้ นี่เป็นกฎเกณฑ์ระดับสูงของร้านอาหาร

พ่อครัวทุกคนล้อมรอบไป๋จื่อ พวกเขานำเงินชมเชยทั้งหมดที่ตนเองได้รับในวันนี้ ยัดใส่ในมือของนางในทันที “แม่นางไป๋ หากไม่ได้เจ้าสอนพวกข้าอย่างไม่เห็นแก่ตัว พวกข้าก็ไม่มีทางได้รับเงินชมเชยเหล่านี้ เพราะฉะนั้น เงินชมเชยเหล่านี้สมควรเป็นเจ้าที่ได้รับ”

ไป๋จื่อดันเงินกลับไป “ไม่เจ้าค่ะ นี่เป็นเงินที่พวกท่านควรจะได้รับ ข้าสอนพวกท่านเพราะข้าสัญญากับเถ้าแก่เฉินไว้ พวกท่านมีฝีมือดีเยี่ยมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เรียนรู้เร็ว ทั้งยังตั้งใจทำ ถึงได้ทำอาหารรสชาติเช่นนั้นออกมาได้ ที่พวกลูกค้าชอบคืออาหารที่พวกท่านทำ เงินชมเชยก็เป็นสิ่งที่พวกเขามอบให้พวกท่าน ข้ารับไว้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”