บทที่ 137 ส่งมอบภารกิจ

ราชาซากศพ

บทที่ 137
ส่งมอบภารกิจ

“สาวน้อย! เจ้าไม่ได้จำผิดไปใช่หรือไม่? ในช่วงสองปีที่ผ่านมา นอกจากเจ้าแล้ว สถานศึกษาเทียนหยูยังไม่ได้คัดเลือกอาจารย์ชุดใหม่..ถึงแม้ว่าข้าจะอายุมาก แต่ข้าก็ยังจดจำสิ่งนี้ได้อย่างชัดเจน หลงม่อเผชิญหน้ากับซางกวนหรูเสวี่ยยกมือลูบเคราและครุ่นคิด

“อย่างนั้น…เขาคงเป็นศิษย์ชั้นในงั้นหรือ?” ซางกวนหรูเสวี่ยถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

เมื่อได้ยินการคาดเดาของซางกวนหรูเสวี่ย หลงม่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า “เนื่องจากชายคนนี้เข้าใจผิดคิดว่าเจ้าเป็นหรูผิง แสดงว่าเขานั้นต้องรู้จักหรูผิง และหรูผิงเองก็ฝึกฝนอย่างสันโดษ ดังนั้นคนคนนี้ก็ต้องเป็นคนในชั้นใน
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น เขาจึงจะสามารถพบเจอหรูผิงได้ แต่เขาไม่รู้การดำรงอยู่ของเจ้า ก็แสดงว่าเขานั้นเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน…. อยู่ที่ลานชั้นใน ดังนั้น … ”

ซางกวนหรูเสวี่ยได้ยินการวิเคราะห์ของหลงม่อ และนางพยักหน้าเห็นด้วยซ้ำ ๆ เมื่อเห็นว่าความจริงกำลังจะปรากฏขึ้น แต่อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรต่อ ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็แสดงออกถึงการกระตือรือร้นและกระตุ้นขึ้นว่า: “แล้วอย่างไร….พูดต่อไปท่านปู่!

“สาวน้อย เจ้าจะตื่นเต้นเกินไปแล้ว ปล่อยให้คนแก่ได้หายใจหายคอบ้างสิ” หลงม่อส่ายหัวและมองไปที่ซางกวนหรูเสวี่ย ด้วยสีหน้าทำอะไรไม่ถูก หลังจากล้อเล่นคำสองสามคำ เขาพูดต่อว่า:

“แล้วชายคนนี้เป็นใคร ความจริงแล้ว เห็นได้ชัดว่าตาแก่ซางกวนฮ่าวหยางเพิ่งรับศิษย์เข้ามาเมื่อไม่นานมานี้ ข้าเดาว่าคนที่ช่วยเจ้าน่าจะเป็นหลินเว่ย
“หลินเว่ย?” เมื่อได้ยินชื่อจากปากของหลงม่อ ซางกวนหรูเสวี่ยพึมพำคำหนึ่ง จากนั้นก็หันและวิ่งไปที่ประตู ในพริบตานางหายไปจากประตู เหลือเพียงประโยคที่ผ่านเข้าหูของหลงม่อ

“ลาก่อนท่านปู่หลง….. ข้าจะไปหาน้องสาว”

หลงม่อมองเห็นซางกวนหรูเสวี่ยที่รีบร้อนวิ่งออกไป หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มด้วยความเอ็นดู พลางส่ายหัวและพึมพำกับตัวเองว่า “สาวน้อยคนนี้…เป็นอาจารย์มานานแล้ว ยังใจร้อนอยู่เลย ไม่มีความสงบเสงี่ยมเลยสักนิด”

เมื่อหลงม่อหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ ยังไม่ทันจะได้จิบชาอย่างสบายใจ จู่ ๆ ร่างหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามาทันที ที่เขาร้องออกมาว่า “ท่านผู้นำ มีสัตว์อสูรมาใกล้เข้ามาในอาณาเขตที่ลานชั้นนอก ท่านรีบออกไปดูเร็ว”

เมื่อเห็นคนตรงหน้าเขาร้องโวยวาย หลงม่อขมวดคิ้วทันที และพูดด้วยน้ำเสียงสงบว่า: “หมิงซิน! เจ้าเป็นอาจารย์ สัตว์อสูรบินเป็นสิ่งที่เราเห็นจนชินตา เจ้าร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายที่นี่ ลูกศิษย์เห็นแล้ว เจ้าจะยังมีหน้าไปสั่งสอนพวกเขาอีกหรือ? ”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลงม่อ หมิงซินก็พูดอย่างเป็นกังวลว่า: ” ท่านผู้นำนั่นไม่ใช่ สัตว์อสูรธรรมดา มันคือมังกรเหิน”

เมื่อได้ยินคำพูดของหมิงซิน ใบหน้าของหลงม่อก็เปลี่ยนไป และถามพร้อมกับขมวดคิ้ว: “อะไรนะ….มังกรเหิน เจ้าจำผิดไปหรือไม่?

เมื่อเห็นท่าทางสง่างามของหลงม่อ หมิงซินก็ส่ายหัวอย่างรีบร้อนและพูดว่า “ไม่มีทาง มันเป็นมังกรเหิน แค่ระยะทางไกล ๆ ข้าไม่รู้ว่ามังกรเหินตนนี้ อยู่ระดับพลังขั้นใด?”

“ไป! ออกไปกับข้า ” หลังจากยืนยันซ้ำอีกครั้ง หลงม่อก็รีบลุกขึ้นยืน และออกไปอย่างไม่รีบร้อน

ในเวลานี้ประตูของสถานศึกษาเทียนหยู รายล้อมเต็มไปด้วยผู้คน ลูกศิษย์ทุกคนที่ยืนอยู่ออกันอยู่ เพื่อชมความสนุกสนาน ทั้งเหล่าอาจารย์และผู้อาวุโสบางคนยืนอยู่ข้างนอกประตู

“ดูสิ! มีคนอยู่บนฟ้าด้วย” ลูกศิษย์คนหนึ่งชี้ไปบนฟ้า แล้วร้องตะโกน
เสียงของเขาดึงดูดผู้คนนับไม่ถ้วน ให้มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ในไม่ช้าก็มีคนร้องออกมา: “นั่นคือ ท่านผู้นำอาวุโสของเรา ผู้แข็งแกร่งขั้นจักรพรรดิ”

การมาถึงของหลงม่อ ทำให้เกิดความปั่นป่วนในหมู่ลูกศิษย์ทันที ในสายตาของหลงม่อ มีร่องรอยของความหวาดกลัว
หลงม่อเหาะข้ามประตูและมองเห็นมังกรเหินบินเข้ามาใกล้ ๆ ต่อหน้าเขา เขารวบรวมพลังปราณแผดเสียง และพูดว่า “มังกรเหิน! นี่คือสถานศึกษาเทียนหยู พวกเจ้าคือมังกร น้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง เหตุใดเจ้าถึงบุกรุกเข้าไปในอาณาเขตของสถานศึกษาเทียนหยูโดยไร้เหตุผล?”
“ ……” ไร้เสียงโต้ตอบจากอีกฝั่ง

หลงม่อใช้พลังปราณในการส่งเสียงของเขาไปไกล ๆ เป็นธรรมดาที่หลินเว่ยจะต้องได้ยิน แต่เขาไม่ตอบใด ๆ

เมื่อเห็นมังกรเหินได้ยินคำพูดของเขาแต่ไร้ซึ่งการตอบสนอง หรือเปลี่ยนทิศทางการบินของมัน หรือลดความเร็วลง หลงม่อขมวดคิ้วแน่น และต้องตะโกนอีกครั้ง: “เผ่ามังกร โปรดออกไปทันที ด้านหน้าคืออาณาเขตของสถานศึกษาเทียนหยู ถ้าเจ้าไม่ออกไป อย่าตำหนิ่ว่าพวกเราหยาบคาย”

“ ……” ยังคงไม่มีเสียงตอบรับ ใบหน้าของหลงม่อนั้นมืดมน พลังปราณในร่างกายของเขาเดือดพล่าน อย่างไรก็ตาม เขายังคงนิ่งเฉย…..ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำ แต่เขาไม่กล้า ในสายตาของเขามังกรเหินไม่นับเป็นตัวอะไร

แต่เขากลัวเผ่าพันธุ์มังกรมาก นับประสาอะไรกับเขา แม้แต่ทั้งสถานศึกษาเทียนหยู และแม้แต่อาณาจักรเฟิ่งหยูทั้งหมด ก็ไม่สามารถต่อสู้กับเผ่าพันธ์มังกรทั้งหมดได้

“ท่านเป็นผู้ใด?” เมื่อเข้าใกล้กับสถานศึกษาเทียนหยู เสี่ยวเฟยหยุดกระพือปีก และลอยอยู่นิ่ง ๆในอากาศ มีเสียงดังออกมาจากปากของหลินเว่ย

“หืม?” เมื่อเขาได้ยินเสียงของหลินเว่ย หลงม่อก็ตกตะลึง จากนั้นเขาก็ตอบสนอง เมื่อเห็นว่ามีคนสามคนนั่งอยู่บนหลังของมังกรเหิน ใบหน้าของเขาก็ดูลำบากใจ เพราะเขาเพิ่งให้ความสนใจกับมังกรเหิน และมองไม่เห็นทั้งสามคนที่ถูกปิดกั้นโดยร่างของมังกรเหิน ดังนั้นเขาจึงมองไม่เห็นหลินเว่ยและคนอื่น ๆ

“ข้าเป็นผู้นำของสถานศึกษาเทียนหยู หลงม่อ เจ้าเป็นผู้ใดเหตุใดถึงพามังกรเหินตัวนี้ บุกเข้าไปในอาณาเขตของสถานศึกษาเทียนหยู?” หลงม่อถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

“โอ้! นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดผู้คนมากมายมารวมตัวกันที่ประตูสถานศึกษาเทียนหยู แม้แต่ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิ ก็ยังออกมาด้วย” หลินเว่ยพยักหน้าและถามอย่างงงงวย

“ …… !” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย ปากของหลงม่อก็กระตุก และหน้าผากของเขาปกคลุมไปด้วยเส้นสีดำทะมึน เขาชี้ไปที่มังกรเหินภายใต้หลินเว่ยและกล่าวว่า “ไม่ใช่เพราะมัน อย่างนั้นหรือ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลงม่อ หลินเว่ยก็ขมวดคิ้วและถามว่า “เพราะอย่างนั้นเองหรือ?”

“เสื้อผ้าของเจ้า บ่งบอกว่าไม่ใช่คนในสถานศึกษาเทียนหยู ทั้งยังพามังกรเหินเข้ามาในอาณาเขตของสถานศึกษามีเหตุจำเป็นงั้นหรือ?” หลงม่อมองไปที่หลินเว่ยและพูดด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“เอ๋?” เมื่อได้ยินคำพูดของหลงม่อ หลินเว่ยก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเกาหัวของเขาและกล่าวว่า: ข้ากลับมาเพื่อส่งมอบงาน! เกิดอะไรขึ้น?

“ส่งมอบภารกิจหรือ มันคืองานอันใดกัน?” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย หลงม่อก็ตะลึงและถามด้วยความสงสัย

“แน่นอนเป็นงานของห้องโถงกงเต๋อ” หลินเว่ยมองไปที่หลงม่อ อย่างแปลกประหลาด และตอบคำถามของเขา

เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย ใบหน้าของหลงม่อก็ตกใจ และถามด้วยความประหลาดใจ “ห้องโถงกงเต๋อ เจ้าเป็นศิษย์ของสถานศึกษาเทียนหยูลานชั้นในหรือไม่?”

“ใช่ หลินเว่ยพยักหน้าและกล่าวตอบ
“นี่…เรื่องนี่! เจ้าชื่อแซ่อะไร?” หลงม่อกล่าวอย่างตื่นเต้น
“โอ้! ข้าชื่อหลินเว่ย เขากล่าวด้วยใบหน้าเฉยเมย
“หลินเว่ยหรือ?ทำไมชื่อมันคุ้น ๆ ” เมื่อหลินเว่ยพูดชื่อเขา หลงม่อก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ: “คือเจ้านั่นเอง! หลินเว่ย เจ้าเป็นศิษย์ของอาวุโสซางกวนฮ่าวหยาง ไม่แปลกใจเลย ที่เขาไม่คุ้นเคย! เป็นเจ้านั่นเอง

ท่านผู้นำคุ้นเคยกับอาจารย์ของข้างั้นหรือ? “หลินเว่ยพยักหน้าและถามอย่างสงสัย

เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย หลงม่อก็พึมพำสองครั้งและพยักหน้า พลางพูดด้วยรอยยิ้ม: “ฮึ่ม! นั่นเป็นเรื่องธรรมดา อาวุโสซางกวนเป็นพี่เขยของข้า เราคุ้นเคยกันดี”

เมื่อรู้ว่าชายชราตรงหน้าเขานั้น เกี่ยวข้องกับซางกวนฮ่าวหยาง หลินเว่ยจึงลุกขึ้นยืนด้วยความรีบร้อนและก้มหัวลงและกล่าวว่า “ท่านเป็นพี่เขยของอาจารย์ ข้าไร้มารยาท โปรดอภัยด้วย”

“ฮ่าฮ่า! ข้าจะโทษเจ้าได้อย่างไร! เป็นเพราะเจ้าจึงทำให้สถานศึกษาเรามีเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจ!” เมื่อเห็นหลินเว่ยรู้ความสัมพันธ์ของหลงม่อกับซางกวนฮ่าวหยาง เขาก็หัวเราะสองครั้งและพูดพร้อมกับยิ้ม.

“อืม! มังกรเหินตัวนี้ ชื่อว่า เสี่ยวเฟย เอาล่ะเสี่ยวเฟยมาพบอาจารย์หลงเร็วเข้า” หลินเว่ยพยักหน้าและสั่งให้เสี่ยวเฟยแสดงความเคารพต่อหลงม่อ

“ ไม่!” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย เสี่ยวเฟยฝ่าฝืนคำสั่งของหลินเว่ยเป็นครั้งแรก จากนั้นก็หันศีรษะไปอีกด้านหนึ่ง

“เอ่อ … !” เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวเฟย หลินเว่ยก็ตกตะลึง ปากของเขากระตุกและจากนั้นใบหน้าของเขาก็แสดงความลำบากใจ

“ไม่มีอะไร! ไม่ต้องห่วง! หลินเว่ย! เนื่องจากเป็นเรื่องเข้าใจผิด เราอย่ายืนอยู่ที่นี่ เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถอะ มีคนจำนวนมากกำลังเฝ้าดูเรื่องสนุก ‘อย่าปล่อยให้พวกเขารอนาน’ เมื่อเห็นการแสดงออกที่ไม่เป็นธรรมชาติ บนใบหน้าของหลินเว่ย, หลงม่อโบกมือของเขาและพูดว่า ไม่เป็นอะไร จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปทางประตูสถานศึกษาเทียนหยูและพูดกับหลินเว่ย
“อืม! หลินเว่ยพยักหน้าและกำลังจะเดินเข้าไปในสถานศึกษา เสี่ยวเฟยที่บินอยู่ก็บินตรงไปยังด้านในผ่านประตูสถานศึกษาเทียนหยู การปรากฏตัวของเสี่ยวเฟยนั้น กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของทุกคนในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเห็นว่าเสี่ยวเฟยนั้นติดตามหลงม่อเข้าไป ไม่มีใครกล้าตามมันสักคน

หลังจากนั้นไม่นาน หลงม่อที่เดินนำหน้า เขาก็หยุดโบกมือให้หลินเว่ยลงมาที่พื้น หลังจากลงมาจากหลังของเสี่ยวเฟย หลงม่อชี้ไปที่อาคารเล็ก ๆ ตรงหน้าเขา และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หลินเว่ย นั่นคือที่ที่ข้าจัดการเรื่องของสถานศึกษาเทียนหยู

เจ้าสามารถไปที่นั่นกับข้าได้! มังกรเหินของเจ้าก็เช่นกัน พักสักครู่เถอะ! เพื่อหลีกเลี่ยงความตื่นตระหนก ”

“ขอรับ เมื่อได้ยินคำพูดของหลงม่อ หลินเว่ยพยักหน้าและหันกลับมาเพื่อมองฉินโฮ่วและหนิ่วฉี ที่ลงมาจากหลังของเสี่ยวเฟย เมื่อเห็นว่าพวกเขากระโดดลงไปแล้ว ขายังคงสั่นเทาและหน้าซีด เห็นได้ชัดว่าพวกเขายังไม่ผ่อนคลาย

เมื่อหลินเว่ยคิดว่าจะเสี่ยงเปิดพื้นที่มิติต่อหน้าหลงม่อดีหรือไม่? หลงม่อเห็นใบหน้าท่าทางของหลินเว่ย และเข้าใจผิดคิดว่า หลินเว่ยไม่สามารถเก็บร่างของมังกรเหินกลับไปได้ เขาจึงหยิบสร้อยข้อมือออกมา แล้วโยนให้หลินเว่ยแล้วพูดว่า

“นี่เจ้าเด็กหลิน รับไป”
หลังจากคว้าสร้อยข้อมือได้ หลินเว่ยก็ถามอย่างสงสัย “อาจารย์ลุง! นี่คืออะไร?”

เมื่อได้ยินคำถามของหลินเว่ย หลงม่อแตะเครายาวของเขาที่ปลายคาง และพูดด้วยรอยยิ้ม “นี่คือแหวนวิเศษ มีความสามารถคล้ายกับแหวนมิติบนมือของเจ้า อย่างไรก็ตาม แหวนวิเศษนี้สามารถใช้เก็บสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตเท่านั้น

ข้าคิดว่าอาวุโสซางกวนมอบแหวนมิติให้เจ้า ข้าเองก็จะให้ของขวัญแรกพบเช่นกัน”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลงม่อ หลินเว่ยกล่าวขอบคุณหลงม่อ พลางกล่าวว่า”ขอบคุณมาก อาจารย์ลุง”
“เรียกข้าว่า….. ปู่เถอะ เจ้าจะรังเกียจหรือไม่?” หลงม่อไม่พอใจการวางตัวของหลินเว่ยที่เป็นทางการมากเกินไปนัก ดังนั้นเขาจึงแนะนำให้หลินเว่ยเรียกว่าท่านปู่แทน

“ไม่แน่นอน….หลานขอคารวะท่านปู่” หลินเว่ยส่ายหัวและกล่าวด้วยความเคารพ

เสียงพูดของหลินเว่ยนั้นออกมาจากใจ หลงม่อเป็นพี่เขยของซางกวนฮ่าวหยาง เขาควรจะเรียกว่าท่านปู่ ยิ่งไปกว่านั้น ทันทีที่อีกฝ่ายพบกัน อีกฝ่ายมอบของขวัญแก่เขา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเห็นเขาเป็นของคนกันเอง

“ดี! ดี! เด็กดี เจ้าจะเป็นหลานของข้าหลงม่อ ในอนาคต ถ้าใครกล้ารังแกเจ้ามาหาข้า ข้าจะเป็นผู้ออกหน้าให้เจ้าเอง ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าและยังมีสัตว์เลี้ยงวิเศษ เช่นมังกรเหินอยู่รอบ ๆ ตัว คงไม่มีผู้ใดที่จะสามารถคุกคามเจ้าได้

“เมื่อเห็นหลินเว่ยเรียกเขาว่าปู่ หลงม่อก็ตะลึงไปชั่วขณะ ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็แสดงสีแห่งความสุข และพูดอย่างภาคภูมิใจ
“ ขอรับท่านปู่!” หลินเว่ยเกาหัวของเขา และพูดด้วยใบหน้าเรียบง่ายและซื่อ ๆ

“อืม! การใช้แหวนเวทนี้ เหมือนกับแหวนมิติ เจ้าน่าจะรู้ดี หลงม่อพยักหน้าและกล่าว

“ขอรับ!” หลังจากที่หลินเว่ยตอบตกลง เขาก็ทิ้งร่องรอยจิตสำนึกลงไปในแหวนเวท ตามวิธีการเดียวกับแหวนมิติ หลังจากนั้นเขาก็ใช้พลังจิตของเขา เพื่อเก็บเสี่ยวเฟยเข้าไปข้างใน แสงบนแหวนเวทสว่างวาบขึ้น ร่างของเสี่ยวเฟยหายไปจากสายตาของเขา

และปรากฏในพื้นที่ของแหวนเวท จากนั้นหลินเว่ยตรวจสอบและพบว่าเสี่ยวเฟยอยู่ในพื้นที่ด้านในของแหวนเวท เขาพบว่าเสี่ยวเฟยหลับสนิททันทีที่เข้าไปในวงแหวนเวท นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีอาการที่อึดอัดอื่น ๆ

หลังจากรับรู้สถานการณ์แล้ว หลินเว่ยก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แม้ว่าเสี่ยวเฟยและเสี่ยวไป๋จะค่อนข้างอิสระในพื้นที่มิติ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถฝึกฝนได้ พวกเขามักจะได้หลับได้น้อยมาก ในวงแหวนเวทนี้ ไม่มีความแตกต่าง

หลินเว่ยคำนวณว่าวงแหวนเวทนี้เป็นรังชั่วคราวของเสี่ยวไป๋

“ดีหรือไม่! ด้วยวงแหวนเวทนี้ มันจะสะดวกสำหรับเจ้าที่จะออกไปข้างนอก ในอนาคตอย่างไรก็ตาม สัตว์เลี้ยงวิเศษของเจ้าคือมังกร แม้ว่ามันจะเป็นเพียงมังกรเหินที่มีระดับต่ำที่สุดในเผ่ามังกรก็ตาม ก็ยังถือว่าเป็นมังกร

มันเป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้เกิดความริษยา หากมันอยู่ข้างนอกตลอดเวลา” เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหลินเว่ย, หลงม่อกล่าวอย่างมีความสุข

“อืม! ศิษย์พอใจมาก ขอบคณท่านปู่ เมื่อได้ยินคำพูดของหลงม่อ หลินเว่ยก็พยักหน้าและกล่าวอย่างมีความสุข

“อืม! แค่นี้ก็พอใจเสียแล้ว! หลงม่อพยักหน้า จากนั้นมองไปที่ฉินโฮ่วและหนิ่วฉี เขาขมวดคิ้วและถามขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะอยู่กับหลินเว่ย แต่ก็เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้ไม่ได้รู้จักกับหลินเว่ย มิฉะนั้นพวกเขาจะดูไม่หวาดกลัวหลินเว่ย

“พวกเขาสองคนเป็นใครกัน! เมื่อได้ยินคำถามของหลงม่อ หลินเว่ยจึงตอบว่า พวกเขาทั้งหมดเป็นนักโทษที่ข้าจับได้ ข้าพาพวกเขากลับมาเพราะข้าได้ล่วงรู้ความลับบางอย่างจากพวกเขา และพร้อมที่จะรายงานไปยังสถานศึกษาเทียนหยู” ทันทีที่หลงม่ออ้าปากถาม หลินเว่ยก็รู้ว่าอีกฝ่ายสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของทั้งสองคน เขาจึงบอกกับหลงม่อตรงๆ

ความลับ ? อะไรคือความลับที่สำคัญมาก ที่เจ้าต้องใช้เวลาอย่างมากในการนำพวกเขากลับมาที่นี่ “เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย หลงม่อมองไปที่หลินเว่ยด้วยความสงสัย และถามขึ้น

“มาเถอะ! เจ้าสองคนบอกท่านปู่ของข้าไป ตามที่ได้พูดคุยกันก่อนหน้านี้ หลินเว่ยก็ก้าวเท้าออกไปและขอให้ฉินโฮ่วและหนิ่วฉีเผชิญหน้ากับหลงม่อโดยตรง จากนั้นเขาก็พูดกับพวกเขา และบอกสิ่งที่รู้ให้หลงม่อรับฟัง
หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเว่ย ฉินโฮ่วและหนิ่วฉีก็มองหน้ากัน หลังจากกลืนน้ำลายของตัวเอง แล้วพวกเขามองไปที่หลงม่ออย่างประหม่า และพูดซ้ำสิ่งที่พวกเขาพูดกับหลินเว่ย

หลังจากได้ยินเรื่องราวของฉินโฮ่วกับ หนิ่วฉีใบหน้าของหลงม่อก็ดูสง่างาม และเขาพูดกับหลินเว่ยว่า “เจ้าทำงานได้ดีมาก แม้ว่าเจ้าจะมีแค่มังกรเหิน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เจ้าจะหนีไปและนำเรื่องนี้มารายงาน แต่ก็จะแหวกหญ้าให้งูตื่น

แน่นอนมันเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่ามีคนนอก หรือตรกูลใดบ้างที่เกี่ยวข้องในเมืองเป่ยเฟิงนี้ ”

“ท่านปู่…ดูเป็นห่วงเมืองเป่ยเฟิงเสียจริง!” เมื่อหลินเว่ยเห็นว่าหลงม่อพูดมีบางอย่างผิดปกติ และสีหน้าของเขา หลินเว่ยจึงถามด้วยความสงสัย ในความคิดของเขาไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะแหวกหญ้าให้งูตื่น ตราบเท่าที่เขากำจัดโจรภูเขาได้หมด

ส่วนเจ้าเมืองเป่ยเฟิง….ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานศึกษาเทียนหยู

“อืม! เจ้ารู้จักชื่อของเจ้าเมืองนี้หรือไม่? เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย หลงม่อไม่ตอบคำถามของหลินเว่ย แต่กลับถามคำถามขึ้นมาแทน

“คือผู้ใดกัน?” หลินเว่ยถามด้วยใบหน้างงงวย
“เจ้าแห่งเมืองเป่ยเฟิง มีชื่อว่า หลงเถิง” หลงม่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“หลงเถิงหรือ…. หลินเว่ยกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“อืม! เจ้าพูดถูกแล้ว เขาเป็นลูกชายของข้า ! เจ้าย่อมไม่รู้!” เมื่อเห็นการแสดงออกของหลินเว่ย หลงม่อรู้ว่า หลินเว่ยนั้นสามารถเดาได้แล้ว เขาจึงไม่ปิดบังความจริงอีกต่อไป เขาพยักหน้าและยอมรับตามตรงว่า เขามีความสัมพันธ์กับหลงเถิง เจ้าแห่งเมืองเป่ยเฟิง

“ท่านปู่! แล้วเราจะทำอย่างไรดี? ไม่เช่นนั้นข้าจะไปที่ลานด้านในเดี๋ยวนี้ และรายงานเรื่องนี้ให้ผู้อาวุโสของลานชั้นในทราบ และขอให้พวกเขาส่งคนไปที่เมืองเป่ยเฟิงเพื่อช่วยท่านลุงกำจัดโจรภูเขาให้สิ้นซาก “ เดิมทีหลินเว่ยวางแผนที่จะบอกเรื่องนี้กับสถานศึกษาเทียนหยูแล้ว เขาจะไม่สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า เจ้าเมืองเป่ยเฟิงเป็นบุตรชายของหลงม่อ เขาจึงเปลี่ยนแผนทันที

“ฮึ่ม! ถ้าพวกเขากล้ารังแกลูกชายข้า……ข้าคิดว่าพวกเขาคงอยากจะรนหาที่ตาย หลินเว่ยสามารถรายงานเรื่องนี้ให้สถานศึกษาเทียนหยูทราบภายหลัง ไปที่เมืองเป่ยเฟิงกับข้าเดี๋ยวนี้ แม้ว่าหลงเถิงจะมีพลังระดับขั้นจักรพรรดิ แต่เขายากที่จะเอาชนะด้วยหมัด เนื่องจากคนพวกนี้มีจำนวนมาก” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย หลงม่อก็พึมพำเป็นเวลานาน และครุ่นคิดอย่างจริงจัง

“ขอรับ” หลินเว่ยพยักหน้าและกล่าว
“เอาล่ะ ครั้งนี้เราจะพามังกรเหินของเจ้าไปด้วย” หลงม่อพูดอย่างกระตือรือร้น และชี้ไปที่ฉินโฮ่วและหนิ่วฉี