บทที่ 34.1 แหวนปกปิดตัวตน (1)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

มู่เอินหัวเราะและพูดว่า “นอกจากนี้ไม่ใช่ว่าเจ้ากราบตาแก่ฮูเหยียนเอ้าป๋อนั่นเป็นอาจารย์ด้วยรึ? ตาแก่นั่นมีของดีมากมาย ไม่ต้องไปเกรงใจมากล่ะ!…รีบๆ ไปเถอะ! ชิ่ว!”

โจวเหว่ยชิงจับมือของมู่เอินไว้แน่น เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วเงยหน้าขึ้นราวกับจะสงบสติอารมณ์ “อาจารย์ ข้าไม่อยากจากท่านไปเลย”

รอยยิ้มของมู่เอินแข็งค้าง จากนั้นการแสดงออกของเขาก็ค่อยๆ ดูอบอุ่นขึ้นเช่นกัน “เจ้าอันธพาลน้อย ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าจากไปเช่นกัน!”

โจวเหว่ยชิงกะพริบตาและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น…ข้าอยู่ต่อดีไหม?”

สมาชิกทุกคนในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ร้องขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยความโมโหว่า “ไม่!”

ในที่สุดโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ต้องออกจากค่ายไปอย่างไม่เต็มใจ ในขณะที่สมาชิกของหน่วยเกา ทัณฑ์สวรรค์กลับไปที่ห้องของตนด้วยท่าทีหดหู่ใจ พวกเขาทุกคนก็พบจดหมายจากโจวเหว่ยชิงวางไว้บนโต๊ะ

หัวเฟิงเปิดจดหมาย เขาเห็นเพียงอักษรเขียนไว้เพียง 2 บรรทัด “หัวหน้า ข้ารู้ว่าท่านชอบท่านพ่อของข้ามาโดยตลอด แต่ข้าก็รู้ว่าด้วยนิสัยของท่านพ่อ เขาคงจะไม่มีวันตอบรับท่านได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อเติมเต็มความปรารถนาของท่าน ข้าจะยังคงเรียกท่านว่าแม่รอง แม้ข้ากับปิงเอ๋อร์กำลังจะจากไป ข้าก็ยังก่อปัญหาให้ท่านเป็นครั้งสุดท้ายอยู่ อย่างไรซะ ข้าก็อยากพิสูจน์ว่าไม่ใช่เพราะข้าที่ทำให้หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์วุ่นวาย!”

ในขณะที่หัวเฟิงอ่านจดหมาย เขาก็พบว่าตัวเองกำลังหัวเราะและน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างเชื่องช้า ทว่าจู่ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “เข้ามา” เขาพูด

หญ้าน้อยเดินเข้ามาจากด้านนอก ใบหน้าของเธอขึ้นสีแดงซ่านขณะที่พูดว่า “พี่เฟิง ถ้าท่านต้องการ ท่านก็แค่บอกข้า ข้าจะไม่มอบให้ท่านได้อย่างไร?”

หัวเฟิงรู้สึกงงงวยขณะที่เขาถามกลับ “ ข้าต้องการอะไรหรือ?”

หญ้าน้อยส่งจดหมายในมือของเธอให้เขาอย่างเขินอาย เมื่อหัวเฟิงหยิบมันขึ้นมา เขาก็เห็นข้อความในนั้นเขียนเอาไว้ว่า “พี่หญ้าน้อย จริงๆ แล้วหัวหน้าชอบท่านมาก เมื่อวานข้าเห็นเขาขโมยกางเกงในที่ตากทิ้งของท่านไว้ไปซ่อนใต้หมอนของเขา”

มือของหัวเฟิงสั่นระริกขณะที่เขามองไปที่หญ้าน้อย หญิงสาวกำลังมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนและรักใคร่ เส้นสีดำสามเส้นปรากฏขึ้นเหนือหัวของเขา [1](- -”’) หัวเฟิงกัดฟันและพูดว่า “โจว…เหว่ย…ชิง… !!”

สำหรับคนอื่นๆ ใจความในจดหมายมีดังนี้

จดหมายของเกาเฉิน “พี่เฉิน ท่านรู้หรือไม่ว่ายี่ฉือคนนั้น จริงๆ แล้วตุ๊ดนั่นหลงรักท่าน? อันที่จริงข้าเห็นเขาขโมยกางเกงในของท่านไป! ข้าไม่ใช่คนที่ชอบกวนน้ำให้ขุ่น ทั้งยังไม่รู้ว่านิสัยของท่านเป็นอย่างไร แต่ถ้าเป็นข้า ข้าก็คงไม่ยอมง่ายๆ แน่!”

จดหมายของฮั่นโม่ “พี่โม่ ข้ารู้สึกกระดากอายเล็กน้อยที่จะพูดเช่นนี้ แต่เพราะข้าจะต้องจากไปแล้ว ตอนนี้ข้าเลยต้องบอกความจริงกับท่าน ลูกศรโลหะผสมไททาเนียมจำนวน 100 ดอกที่ท่านสั่งขึ้นมานั้น ข้ารู้สึกว่าพวกมันใช้งานได้ดีมาก ดังนั้นข้าเลยจะขอยืมท่านมาใช้เสียหน่อย ข้าขอยืมสัก 100 ปีเท่านั้น ระหว่างเราพี่น้องไม่จำเป็นต้องมีคำขอบคุณอยู่แล้ว ความจริงข้ารู้ว่าท่านอยากให้ของขวัญกับข้ามาโดยตลอด ใช่หรือไม่?”

จดหมายของยี่ฉือ “รองหัวหน้า ที่จริงข้ารู้ว่าภายในใจของท่านนั้นเจ็บปวดแค่ไหน ในฐานะที่เป็นทั้งตุ๊ดและหญิงงาม ท่านแตกต่างจากทุกคนเป็นอย่างมาก! แต่ทว่าข้าก็ต้องบอกความจริงกับท่าน แท้จริงแล้วอาจารย์ของข้าชอบท่านมาก แต่เขามักจะเขินอายที่จะต้องบอกเช่นนั้น เหตุผลที่เขายังโสดมาตลอดก็เพราะท่าน! ท่านรู้ไหมว่าเขาเก็บภาพวาดของท่านเอาไว้ด้วย ในเวลากลางคืนเขามักจะจ้องมองรูปนั้นและใช้มัน “ฝึกข้อมือ” อยู่เสมอ เฮ้อ…หากท่านไม่ชอบเขา ท่านก็ควรบอกให้เขารับรู้เสีย เขาอายุมากแล้ว ถ้าขืนยัง “ฝึกข้อมือ” อยู่แบบนั้นมากเกินไป ย่อมไม่ดีต่อร่างกายของเขาแน่! “

จดหมายของหลัวเขอตี้ “อาจารย์ลุง  วันนั้นข้าแอบได้ยินหัวหน้าพูดกับตัวเองภายในห้องของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจว่า ในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ของเรามีเพียงท่านและเขาเท่านั้นที่สง่างามมากพอ เขายังบอกด้วยว่าท่านพ่อของข้าอายุมากแล้ว เขาจึงไม่ควรวาดฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจจะเปลี่ยนเป้าหมาย ข้าจะไม่พูดอะไรอีก ท่านก็น่าจะรู้ดีว่าข้าหมายถึงอะไร หัวหน้าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก เขาสง่างามและสุขุมรอบคอบ ท่านทั้งสองเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ!”

จดหมายของมู่เอิน “อาจารย์ ข้าทิ้งรูปวาดไว้ใต้เตียงของท่าน แต่ข้าเผลอทำโจ๊กหกใส่โดยไม่ได้ตั้งใจ โปรดช่วยเป็นธุระแทนข้านำไปมอบให้ยี่ฉือด้วย”

หนึ่งชั่วโมงต่อมา เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวก็ดังขึ้นภายในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ น่าแปลกที่เสียงของทุกคนฟังดูคล้ายกันมาก พวกเขาล้วนแต่กัดฟันพูดขึ้นมาพร้อมกันว่า! “ โจวเหว่ยชิง!!!!!”

ในเวลานั้น โจวเหว่ยชิงที่เดินไปได้ค่อนข้างไกลแล้วพลันหยุดกะทันหัน เขาหันกลับไปทางค่ายหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์พร้อมกับยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้า โจวเหว่ยชิงหัวเราะเล็กน้อยขณะที่เขาพึมพำกับตัวเองว่า “ข้าก็แค่กลัวว่าทุกคนจะลืมข้า ข้าไม่ได้ตั้งใจจะกลั่นแกล้งพวกท่านหรอกนะ! อืม…ข้าไม่ได้มีเจตนา…ไม่ได้วางแผนไว้ก่อนอย่างแน่นอน…ไม่ได้ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าเลยด้วย ฮิๆๆ”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเขาอย่างสงสัยและถามว่า “มีอะไรหรือ? อ้วนน้อย เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร?”

โจวเหว่ยชิงรีบดึงตัวเองกลับมาจากความคิดนั้นและพูดว่า “เอ่อ…ไม่มีอะไร! ปิงเอ๋อร์ เจ้าไม่คิดว่าตอนนี้ข้ากลายเป็นผู้ชายเต็มตัวหรือโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ หรือ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ชะงัก เธอมองไปที่โจวเหว่ยชิงซึ่งตอนนี้มีร่างกายใหญ่โตสมส่วน หน้าตาที่แม้ใสซื่อแต่ก็ดูกล้าหาญ จากนั้นก็พยักหน้าอย่างจริงใจพร้อมกับกล่าวว่า “อันที่จริง แม้ว่าเจ้าจะอายุเพียงแค่ 16 ปี แต่ผู้ชายที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ส่วนมากก็ไม่ได้สูงหรือล่ำสันเท่าเจ้าเลยด้วยซ้ำ แน่นอนว่าตอนนี้เจ้าถือว่าเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวจริงๆ”

ในใจโจวเหว่ยชิงเต็มไปด้วยความสุข เขาขยิบตาให้เธอแล้วพูดว่า “ ถ้าเป็นเช่นนั้น…พวกเราทำ…ได้ไหม?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามอย่างมึนงงว่า “ทำอะไร?”

โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างขวยเขิน “ เจ้าก็…รู้! เพราะเจ้าบอกแล้วว่าข้าเป็นผู้ชายเต็มตัวแล้ว ตอนนี้เจ้าก็เป็นหญิงสาวเต็มตัวแล้วเช่นกัน… และเราก็เป็นคู่หมั้นกัน…นั่น…นั่น…”

ในที่สุดซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร ใบหน้าของเธอจึงขึ้นสีอย่างรวดเร็ว “ฝันไปเถอะ! ทำไมสมองของเจ้าถึงมีแต่ความคิดสกปรกเช่นนี้นะ ฮึ่ม! เดินให้ห่างๆข้าเลยนะ ใครคือคู่หมั้นของเจ้า? เจ้าจัดการเรื่องงานหมั้นกับองค์หญิงตี้ฝูหยาแล้วหรือไง?”

โจวเหว่ยชิงพูดอย่างหมดหนทาง “ข้ายังไม่มีโอกาส…ตอนนี้พวกเรากำลังมุ่งหน้ากลับไปที่เมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ เพราะฉะนั้นข้าจะจัดการเรื่องนี้เมื่อเรากลับไปถึงแล้วดีไหม ข้าจะไปหาท่านพ่อบุญธรรม แม้ว่านิสัยของตี้ฝูหยาจะค่อนข้างน่ารังเกียจ แต่ข้าก็ไม่ควรประวิงเวลาปล่อยให้นางเสียความเยาว์วัยไปเช่นนั้น”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลอกตาไปทางเขา แต่เธอก็ดูมีความสุขมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โจวเหว่ยชิงพยายามตีเหล็กตอนกำลังร้อน เขาขยับเข้าใกล้เธอมากขึ้นเพื่อทำความสนิทสนม แต่ทว่าเธอกลับวิ่งจ้ำอ้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวกับสายลม แว่วเสียงหัวเราะคิกคักตามหลังเธอไป โจวเหว่ยชิงยิ้มออกมาและออกวิ่งตามไปเช่นกัน คนหนึ่งไล่ คนหนึ่งหนี ไม่นานพวกเขาก็เร่งความเร็วผ่านป่าดาราไปถึงเขตเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ในที่สุด

เจ้าหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็ง ‘ตัวเล็กๆ’ ที่น่าสงสารทั้ง 2 ตัวทำได้เพียงวิ่งไล่ตามด้วยกำลังทั้งหมดของพวกมัน  หมีทั้งสองหอบหายใจขณะที่พวกมันพยายามวิ่งไล่ตามให้ทันคนทั้งคู่ รูปลักษณ์ที่ดูโง่เขลาและซื่อๆ นั้นทำให้พวกมันดูน่ารักน่าชังมาก ตรงกันข้ามกับเจ้าแมวอ้วนตัวน้อยยังคงนอนหลับอยู่บนไหล่ของโจวเหว่ยชิงอย่างเฉื่อยชาราวกับว่ามันจะไม่มีวันตื่น

ขณะที่พวกเขามาถึงเขตสิ้นสุดป่าดารา โจวเหว่ยชิงก็กวักมือเรียกหมีทั้งสองตัวว่า “มานี่ ต้าหวง เอ้อหวง”

เจ้าหมีที่กำลังหอบหนักอย่างเหนื่อยล้าทั้ง 2 ตัวเดินมาหาโจวเหว่ยชิงอย่างงุนงง ถูไถส่วนหัวของพวกมันกับร่างกายของโจวเหว่ยชิง ไร้สิ้นซึ่งความทะนงตัวของอสูรสวรรค์ระดับเทวะ เพื่อนตัวน้อยทั้ง 2 ถูกโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เลี้ยงดูมาด้วยกัน แต่คนที่พวกมันกลัวที่สุดกลับเป็นเจ้าแมวอ้วน บ่อยครั้งถ้าเจ้าแมวอ้วนส่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา เจ้าหมีทั้ง 2 ตัวจะนอนหมอบลงกับพื้นโดยใช้มือปิดศีรษะเอาไว้ ดูท่าทางน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง

โจวเหว่ยชิงยกมือขวาขึ้น จากนั้นแหวนไพฑูรย์ตาแมวสีเขียวทองที่นิ้วของเขาก็กระพริบแสงเจิดจ้า แหวนวงนั้นส่งลำแสงสีเหลือง 2 ดวงพุ่งตรงไปยังหมีทั้งสองตัว เมื่อแสงนั้นกระพริบทีหนึ่ง เจ้าหมียักษ์ทั้ง 2 ตัวก็หายตัวไปกลางอากาศทันที

หัวเฟิงเป็นคนมอบแหวนมิติวงนี้ให้กับโจวเหว่ยชิงแลกกับการที่เขาต้องสละส่วนแบ่งทั้งหมดจากภารกิจตลอด 2 ปีนี้ให้กับหัวเฟิง เดิมทีโจวเหว่ยชิงไม่ควรได้รับส่วนแบ่งจากภารกิจเหล่านี้ แต่เมื่อพลังของเขาเพิ่มขึ้น ทักษะการควบคุมของเขาก็เริ่มมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือระหว่างปฏิบัติภารกิจ นั่นเป็นผลให้สมาชิกของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ตกลงมอบส่วนแบ่งให้เขาด้วย แม้โจวเหว่ยชิงจะไม่รู้ว่าส่วนแบ่งจาก 2 ปีที่ผ่านมานี้เป็นจำนวนเงินเท่าใด แต่เพื่อประโยชน์ของต้าหวงและเอ้อหวง เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมตัดใจและรับแหวนมิติซึ่งมีพื้นที่ภายในประมาณ 20  ตารางเมตรมา

สิ่งที่โจวเหว่ยชิงไม่รู้ก็คือแท้จริงแล้วเขาได้รับของขวัญชิ้นใหญ่จากหัวเฟิง แหวนมิติดังกล่าวมีมูลค่าอย่างน้อย 200,000 เหรียญทองขึ้นไป นั่นเป็นเพราะมันไม่ใช่แหวนมิติธรรมดาที่เก็บได้แค่สิ่งของ ข้างในนั้นยังมีพื้นที่มิติขนาดเล็กที่สร้างขึ้นเพื่อทำให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ภายในได้ นั่นคือมูลค่าที่แท้จริงของมันและถือว่าเป็นสมบัติที่ค่อนข้างหายากมาก

หลังจากเก็บต้าหวงและเอ้อหวงเข้าสู่แหวนมิติแล้ว โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็มุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ ตามที่หัวเฟิงบอก พวกเขาจะต้องไปยังอาณาจักรเฟยหลี่เพื่อเรียนรู้และฝึกฝนในระดับที่สูงขึ้น

แน่นอนว่าอาณาจักรเฟยหลี่เป็นอาณาจักรขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวที่มีความสัมพันธ์อันดีกับอาณาจักรเกา ทัณฑ์สวรรค์ อีกทั้งอาณาจักรนี้ก็ยังเจริญขึ้นมากในทุกๆ ด้าน ครั้งนี้โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต้องมุ่งหน้าไปที่โรงเรียนทหารเฟยหลี่เพื่อเรียนรู้วิธีการเป็นผู้นำและการบัญชาการกองทัพ สิ่งนี้อยู่ภายใต้การคำสั่งของแม่ทัพโจว เขาต้องการให้พวกเขาเตรียมพร้อมเพื่อช่วยเหลือกองทัพของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ในอนาคต

ยังมีเวลาอีก 5 เดือนจนกว่าภาคการศึกษาใหม่ของโรงเรียนทหารเฟยหลี่จะเริ่มขึ้น แต่หัวเฟิงให้พวกเขากลับไปที่เมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ก่อนล่วงหน้า สาเหตุหลักมาจากการที่โจวเหว่ยชิงต้องมุ่งหน้าไปยังเมืองภูเขาลอยฟ้าของอาณาจักรเฟยหลี่ก่อน ตอนนี้เขาอายุ 16 ปีแล้ว ถึงเวลาที่เขาจะต้องไปร่ำเรียนกับฮูเหยียนเอ้าป๋อตามที่ได้สัญญาเอาไว้ นอกจากนี้เขายังไม่ได้หลอมรวมศาสตรามณียุทธ์หรือกักเก็บทักษะกับมณีสวรรค์ชุดที่ 2 ของเขาเลย

“ปิงเอ๋อร์ พวกเราพักผ่อนที่บ้านสัก 3 วันเถิด ในช่วงนั้นข้าจะจัดการยกเลิกการหมั้นหมายกับองค์หญิงตี้ฝูหยาให้เรียบร้อย หลังจากนั้นพวกเราจะไปที่เมืองภูเขาลอยฟ้าด้วยกัน แผนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” โจวเหว่ยชิงจับมือซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไว้แน่นอย่างไม่เต็มใจจะแยกจาก เธอเพิ่งจะหายไปพักหนึ่งเพื่อกักเก็บทักษะลงมณีธาตุดวงที่ 3 ของเธอ ในที่สุดก็กลับมาอยู่ข้างๆเขาเสียที ด้วยเหตุนั้นเขาจึงทนไม่ได้ที่จะต้องแยกจากกับเธอไปอีก 2-3 วัน

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มีท่าทีลังเลก่อนจะพูดว่า “อ้วนน้อย พวกเราใช้เวลาร่วมกันมาแล้ว 2 ปีในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ ในช่วงเวลานี้ข้าไม่ได้อยู่กับท่านแม่เลย ข้าจะใช้โอกาสช่วงก่อนที่พวกเราจะไปเรียนที่โรงเรียนทหารเฟยหลี่อยู่กับแม่ของข้า ท่านแม่เป็นญาติคนเดียวของข้า และคราวนี้พวกเราจะใช้เวลาอีก 2-3 ปีที่โรงเรียนนั่นเพราะมันอยู่ไกลมาก อีกทั้งการเดินทางไปไหนมาไหนก็ยากลำบาก ทำไมเจ้าไม่ไปที่เมืองภูเขาลอยฟ้าก่อนแล้วเราค่อยพบกันที่เมืองหลวงของอาณาจักรเฟยหลี่ในอีก 5 เดือนข้างหน้าล่ะ?”

“เอ๋?” เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนั้น โจวเหว่ยชิงก็ก้มหน้าและพูดอย่างหดหู่ว่า “นั่นหมายความว่าเราจะต้องห่างกัน 5 เดือนเลยไม่ใช่เหรอ?”

………………………………