บทที่ 33.3 แมวอ้วนกลายเป็นแมวยักษ์ (3)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

ยี่ฉือที่กำลังแคะเล็บอยู่ข้างๆ พูดออกมาอย่างเฉยเมยว่า “เฮ้อ แม้ว่าเจ้าจะโดนพิษรักเล่นงานเข้าเหมือนกัน แต่ผู้ชายของเจ้าก็ยังไปชอบผู้ชายคนอื่น…”

“ไอ้ตุ๊ดนี่! ข้าจะยอมแลกชีวิตฆ่าเจ้าให้ได้!” หญ้าน้อยตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดและกำลังจะพุ่งเข้าโจมตีเขา ทว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับรีบคว้าตัวเธอไว้ หากเธอต้องตัดสินว่าใครคือคนที่อันตรายที่สุดในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ แน่นอนว่าเธอจะเลือกแม่งูสาวยี่ฉืออยู่แล้ว พวกเขามักจะต่อสู้กันแบบนั้นและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ค่อนข้างเคยชินกับมันเสียแล้ว

“เอาล่ะ ทุกคน พอได้แล้ว!” หัวเฟิงตะโกนออกมา

ผู้หญิง 2 คนและตุ๊ด 1 คนหันมาจ้องมองเขา หัวเฟิงมองไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ เจ้ากักเก็บทักษะที่ 3 เรียบร้อยแล้วหรือ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่แล้วท่านอาจารย์ ข้าทำสำเร็จแล้ว”

หัวเฟิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ยอดเยี่ยมมาก เจ้าและเหว่ยน้อยมีพลังเพียงพอจะปกป้องตนเองแล้ว อีกทั้งพวกเจ้าทั้งคู่ยังได้รับการถ่ายทอดเคล็ดลับทักษะการยิงธนูของพวกเราไปจนหมดแล้ว สิ่งเดียวที่เจ้าขาดคือการฝึกฝนด้วยตัวเองและประสบการณ์ในสนามรบ พวกเจ้าอยู่ที่นี่มาเกือบ 2 ปีแล้ว ในที่สุดก็ถึงเวลาต้องจากไปเสียที”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ร้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “อาจารย์ ท่านต้องการให้ข้าและอ้วนน้อยจากไปหรือ?”

หัวเฟิงพูดอย่างอับจนหนทาง “เจ้าก็เคยเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว ตอนที่เหว่ยน้อย มู่เอินและหลัวเขอตี้มาอยู่รวมกัน พวกเขาทำให้หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราเกิดเรื่องโกลาหลมากมาย ความตั้งใจเดิมของข้าคือปล่อยให้เจ้าสองคนจากไปในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าทั้งสองควรจากไปให้เร็วกว่านั้นจะดีกว่า มิเช่นนั้นหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราคงจะต้องถูกก่อกวนจนพังพินาศลงในไม่ช้า ดีแล้วที่เจ้ากลับมาในเวลานี้ เจ้าทั้งคู่สามารถเก็บของและออกเดินทางได้ในวันพรุ่งนี้เลย ปิงเออร์ มากับข้า ข้ามีบางอย่างจะบอกเจ้า”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้า เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ของเธอไม่เคยตัดสินใจอะไรง่ายๆ แต่เมื่อเขาเลือกไปแล้วก็ยากที่จะเปลี่ยนใจ ด้วยเหตุนี้เธอจึงเดินตามหัวเฟิงเข้าไปในบ้านไม้ของเขาด้วยสายตาที่ค่อนข้างเศร้าสร้อย

หญ้าน้อยมองไปที่ยี่ฉืออย่างสงสัยและพูดว่า “หัวหน้ากำลังจะไล่โจวเหว่ยชิงออกไปจริงๆ หรือ?”

ยี่ฉือตอบว่า “นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าหวังไว้หรอกเหรอ? ทำไมล่ะ? ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้ว เจ้าทนเห็นพวกเขาจากไปไม่ได้หรือ?”

หญ้าน้อยหวีผมที่เปียกชื้นของตนเองและพึมพำว่า “แม้เจ้าเด็กนั่นจะค่อนข้างน่ารำคาญอยู่บ้าง แต่เมื่ออยู่กับเขา เจ้าไม่คิดว่าหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ของเรามักจะเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและเสียงหัวเราะหรอกหรือ?”

ยี่ฉือยิ้มคิกคักก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง “ยัยโง่ เจ้าคิดว่าหัวหน้าจะไล่พวกเขาออกไปเพียงเพราะคำพูดของเจ้าจริงๆเหรอ? เห็นได้ชัดว่าเขาวางแผนเรื่องนี้มาสักพักแล้ว”

“เจ้าหลงรักหัวหน้ามานานแล้ว เจ้าไม่รู้ได้ยังไงว่าเขาคิดยังไง? แม้ว่าโจวเหว่ยชิง เจ้าเด็กน้อยคนนั้นจะเจ้าเล่ห์มาก แต่ในหมู่พวกเราใครบ้างไม่อิจฉาความสามารถอันน่าเหลือเชื่อของเขา? ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียง 2 ปี เขาสามารถบ่มเพาะพลังปราณสวรรค์จากระดับที่ 5 ขึ้นไปยังระดับที่ 11! นอกจากนี้เขายังเชี่ยวชาญทักษะการยิงธนูของตาแก่อันธพาลนั่นมาก เจ้าควรรู้ว่าแม้เขาจะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีสิ่งใดให้เรียนรู้อีกแล้ว ด้วยพรสวรรค์ของเขา เขาไม่มีวันอยู่ในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์เป็นเวลานานแน่  ในที่สุดโจวสุ่ยหนิวก็จะต้องให้ลูกชายเข้ารับตำแหน่งแทนที่ตน”

ดวงตาของหญ้าน้อยเผยความกังวลออกมา ในขณะนี้มันไม่มีความโกรธเจือปนเหมือนอย่างเคย “จริงด้วย! อาณาจักรของเราตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้อาณาจักรป่ายต้าให้การสนับสนุนคาลิเซมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าข้าจะไม่ชอบโจวสุ่ยหนิว แต่ก็ต้องยอมรับว่าถ้าไม่มีเขา อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราก็คงจะถูกทำลายไปนานแล้ว”

สองปีที่แล้ว หลังจากการต่อสู้ระหว่างพวกเขากับหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็ง โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ได้ปลุกสมาชิกคนอื่นๆ ของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ขึ้นมา พวกเขาไม่ได้เปิดเผยเรื่องราวของเสือขาวตัวน้อย เพียงแต่บอกกับหัวเฟิงและคนอื่นๆ ว่าจู่ๆ หมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งทั้ง 4 ตัวก็จากไปอย่างกะทันหัน และเมื่อพวกเขากลับไปถึงหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ พวกเขาก็เข้าสู่กระบวนการฝึกฝนที่ยากลำบากถึง 2 ปี

สำหรับโจวเหว่ยชิง เขามุ่งเน้นไปที่วิชาเทพอมตะ แม้มันจะนำความเจ็บปวดมาให้แต่ก็ยังให้ผลรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะเดียวกันเขาก็เรียนรู้ทักษะการยิงธนูต่างๆ จากมู่เอินไปด้วย ท้ายที่สุดตอนนี้เขาก็เชี่ยวชาญทักษะทั้งหมดของอาจารย์ตนเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่น่าตกใจที่สุดสำหรับสมาชิกทุกคนก็คือภายใน 2 ปีนี้พลังปราณสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงได้เพิ่มขึ้น 6 ระดับเต็มๆ พลังของเขาพุ่งขึ้นไปถึงระดับที่ 11 ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ แม้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะถูกเรียกขานว่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ แต่เธอก็เพิ่งมาถึงระดับที่ 12 และได้รับมณีสวรรค์ชุดที่ 3 ขณะเข้าสู่ขั้นทะลวงพิภพเมื่อไม่นานมานี้ ตอนนี้จึงดูเหมือนว่าโจวเหว่ยชิงกำลังจะตามเธอทันในไม่ช้า

เพื่อให้โจวเหว่ยชิงมุ่งเน้นไปที่ทักษะการยิงธนูของเขามากขึ้นและไม่ให้เขาจะทำอะไรเกินตัวจนทำไม่สำเร็จสักอย่าง ด้วยเหตุนี้แม้ว่าเขาจะมีมณีสวรรค์ชุดที่ 2 แล้ว เขาก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้หลอมรวมมันเข้ากับศาสตรามณียุทธ์หรือกักเก็บทักษะใดๆ ในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม พลังของเขาก็เหนือกว่าเมื่อสองปีก่อนมาก ในความเป็นจริงตอนนี้เขาถึงขั้นเผชิญหน้ากับจ้าวมณียุทธ์ที่มีมณี 5 ดวงเช่นหลัวเขอตี้ได้โดยไม่พ่ายแพ้เลยทีเดียว สำหรับทักษะต่างๆ ในมณีธาตุดวงแรกของเขา หลังผ่านการฝึกฝนมาเป็นเวลานาน ตอนนี้เขาสามารถใช้มันได้อย่างง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ สมาชิกของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ต่างก็รู้ดีว่าไม่ใช่แค่โจวเหว่ยชิงแต่ยังรวมถึงซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วยที่ไม่อาจรั้งอยู่ที่หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์หรือสำนักสวรรค์พิสดารได้เป็นเวลานาน ด้วยฐานะจ้าวมณีสวรรค์ พวกเขาสมควรอยู่บนเวทีที่ยิ่งใหญ่กว่านี้

ในวันถัดมา ตอนรุ่งเช้า ณ ประตูหน้าหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์

หัวหน้าหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ สุดยอดนักฆ่า หัวเฟิง รองหัวหน้า ตุ๊ดงูพิษยี่ฉือ ภูเขาไฟหญ้าน้อย ป้อมธนูฮั่นโม่ ปืนใหญ่เกาเฉิน ขี้เมาเหลี่ยมจัด หลัวเขอตี้ และอันธพาลตาเทพมู่เอิน ทุกคนล้วนยืนเรียงเป็นแถวเพื่อรอส่งคนทั้งคู่

เบื้องหน้าพวกเขาคือคนหนุ่มสาว 2 คน ชายหนึ่งคนและหญิงหนึ่งคน แน่นอนว่าเด็กหญิงคนนั้นคือซ่างกวนปิง เอ๋อร์ ในดวงตาของเธอเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา สีหน้าของเธอบ่งบอกว่าไม่เต็มใจที่จะแยกจากไป ส่วนเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่เคียงข้างเธอสูงเกือบ 1.9 เมตร กล้ามเนื้อของเขาดูตึงแน่นราวกับกระทิงหนุ่ม เขาคือโจวเหว่ยชิงที่มีสีหน้าค่อนข้างเศร้าเช่นเดียวกัน อีกทั้งสีหน้าซื่อๆ ของเขาก็ดูสมจริงกว่าเมื่อก่อนมาก บนไหล่ของโจวเหว่ยชิงมีเสือขาวตัวน้อยยืนอยู่ ท่าทางของมันดูไม่ต่างจากเมื่อ 2 ปีก่อนเท่าใดนัก มันยังคงดูเกียจคร้านเหมือนเดิม แต่ถ้ามีคนเพ่งดูอย่างใกล้ชิดและรอบคอบ พวกเขาจะสังเกตเห็นว่าดวงตาของมันเปลี่ยนไปจากเดิม นั่นก็คือจากสีน้ำเงินกลายเป็นสีม่วงอ่อน ขนสีขาวพิสุทธิ์ของมันราวกับแกะสลักออกมาจากผลึกแก้ว และหากมันยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่เคลื่อนไหว บางคนอาจจะเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นประติมากรรมที่สมบูรณ์แบบก็เป็นได้

ด้านหลังของโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ หมีดำที่มีขนสีทองบนหลังคู่หนึ่งกำลังนอนอยู่ หมีน้อยทั้ง 2 ตัวไม่ได้ตัวเล็กอีกต่อไป ร่างกายของพวกมันขยายใหญ่ขึ้นจนมีความยาวมากกว่า 2 เมตร ดูเผินๆ พวกมันทั้งตัวอวบอ้วนและใหญ่ยักษ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศีรษะที่อ้วนกลมของพวกมัน นั่นยิ่งส่งเสริมให้ทั้งคู่ดูน่ารักและไร้เดียงสา ทว่า หากจ้าวมณีคนใดพบเห็นพวกมันเข้า หมีที่ดูน่ารักเหล่านี้ก็คงจะจุดประกายความหวาดกลัวในตัวของพวกเขาขึ้นมาได้อย่างแน่นอน ถึงอย่างไรพวกมันก็เป็นถึงหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็ง! แม้ว่าพวกมันจะยังเด็กมาก แต่หมีทั้งสองตัวก็กลายเป็นอสูรสวรรค์ระดับปรมะแล้ว

ความจริงแล้วอัตราการเติบโตของหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งไม่ควรจะเร็วขนาดนี้ด้วยซ้ำ ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียง 2 ปี ร่างของทั้งคู่ก็ได้พัฒนาขึ้นเท่ากับเวลาจริง 10 ปี เกี่ยวกับเรื่องนี้ สมาชิกของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์เองต่างก็มึนงงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามหาสาเหตุแค่ไหร่ พวกเขาก็ยังไม่อาจหาเหตุผลมาอธิบายเรื่องนี้ได้อยู่ดี

หัวเฟิงยิ้มเล็กน้อย เขาพูดกับโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ว่า “งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เจ้าทั้งสองคนได้เรียนรู้อะไรมากมายตลอดสองปีที่ผ่านมาในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ของเรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ไม่ว่าเจ้าจะมีอำนาจมากแค่ไหน ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ลืมว่ามาตุภูมิของเจ้าคืออาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเรา”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้ารับอย่างแรงก่อนจะกล่าวว่า “อาจารย์ไม่ต้องกังวล สำหรับข้าและอ้วนน้อย ทุกสิ่งที่เรามีในวันนี้ล้วนมาจากอาณาจักรมอบให้ พวกเราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”

หญ้าน้อยพูดด้วยความฉุนเฉียว “พี่เฟิง สถานการณ์แบบนี้ท่านกลับพูดถึงแต่อุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่พวกนั้น ปิง   เอ๋อร์เป็นหญิงสาวที่ใจดีและอ่อนโยนที่สุดเท่าที่ข้ารู้จัก ทำไมต้องให้ท่านคอยบอกเรื่องนั้นด้วย? มาเถอะปิงเอ๋อร์ มาให้พี่สาวคนนี้กอดหน่อย” ขณะที่พูด เธอก็อ้าแขนและมอบอ้อมกอดอันอบอุ่นให้แก่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ในขณะนั้นเอง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป น้ำตาของเธอจึงไหลลงมาอาบแก้มขณะที่เธอกอดหญ้าน้อยกลับ ศีรษะของเธอวางอยู่บนไหล่ของอีกฝ่ายขณะที่สะอื้นไปด้วย ดวงตาของหญ้าน้อยเองก็ปกคลุมไปด้วยน้ำตา

หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองก็ผละออกจากกัน ในขณะนั้นหลัวเขอตี้เองก็กำลังอ้าแขนจะสวมกอดซ่างกวนปิงเอ๋อร์เช่นกัน “ข้าก็อยากกอดเหมือนกัน!”

อันที่จริงเขากำลังจะได้กอด…แต่อนิจจา ไม่ใช่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่เขากอด กลับกลายเป็นร่างที่สูงใหญ่กว่าเขามาก คนๆนั้นมาพร้อมกับใบหน้าที่ดูซื่อๆ โจวเหว่ยชิง

หลัวเขอตี้รู้สึกราวกับว่ากระดูกของเขาลั่นดังกร็อบแกร็บหลังจากถูกโจวเหว่ยชิงสวมกอด เขาอดไม่ได้ที่จะด่าออกไปเสียงดัง “ไอ้เด็กสารเลว ปล่อยข้านะ!”

โจวเหว่ยชิงปล่อยมือจากหลัวเขอตี้ก่อนจะถามอย่างกังวล “อาจารย์ลุง ท่านสบายดีไหม? เพราะกำลังจะต้องจากไป ข้าจึงรู้สึกตื้นตันใจมาก”

หลัวเขอตี้ส่งเสียงฮึ่มในลำคอและพูดว่า “หยุดแสดงละครได้แล้ว เจ้าเด็กสารเลว! บิดาแค่อยากสวมกอดปิงเอ๋อร์  เธอไม่ได้เสียหายอะไรสักหน่อย”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าซ้ำๆ พลางพูดว่า “ข้าอนุญาตให้พี่หญ้าน้อยกอดได้  แต่ไม่อนุญาตให้ท่านทำเช่นนั้น ตราบใดที่เป็นเพศหญิง แม้ว่าจะเป็นแม่หมูก็เถอะ การกอดของท่านอาจจะทำให้ตั้งท้องได้! อาจารย์ลุง อย่าลืมว่าฉายาของท่านคือเหลี่ยมจัด! ยอดคนเหลี่ยมจัด!”

“เจ้า…” หลัวเขอตี้ร้องออกมาด้วยความโกรธ เขาหมายจะสอนบทเรียนให้แก่โจวเหว่ยชิง อนิจจา ด้วยความห่างชั้นของพวกเขา หลัวเขอตี้จึงทำได้แค่อดกลั้น ยังไงซะ ความแข็งแกร่งของโจวเหว่ยชิงในตอนนี้ก็น่ากลัวเกินไป ด้วยมณีบริสุทธิ์ประเภทความแข็งแกร่ง 2 ชุดที่ช่วยเพิ่มพลังให้กับเขา แค่ความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว เขาก็เทียบได้กับมู่เอินซึ่งเป็นจ้าวมณียุทธ์ที่มีมณี 6 ดวง ผู้ซึ่งมณียุทธ์ครึ่งหนึ่งเป็นประเภทความแข็งแกร่งแล้ว!

แม้ว่ามณีประจำกายของโจวเหว่ยชิงจะเป็นมณียุทธ์บริสุทธิ์ประเภทความแข็งแกร่ง แต่พลังของเขาก็ควรจะเพิ่มขึ้นมาแค่ 1.5 เท่าของจ้าวมณียุทธ์ทั่วๆ ไป ไม่ใช่เพิ่มขึ้นหลายเท่าเช่นนี้! ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของเขาก็ยังเพิ่มขึ้นอีกเพราะไข่มุกสีดำที่เขากลืนเข้าไปด้วย ในช่วงสองปีที่ผ่านมา อวัยวะและกล้ามเนื้อทุกส่วนของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างน่าประทับใจ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะช่วงเวลาที่โจวเหว่ยชิงใช้พักผ่อนหรือรู้สึกเบื่อหน่าย เขามักจะออกกำลังโดยการเล่นต่อสู้กับลูกหมีสองตัวนั้น แน่นอนว่าปะทะกับหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งในสถานการณ์ 1 ต่อ 2!

“เหว่ยน้อย” ฮั่นโม่เดินมาหาเขา เขาไม่ใช่คนพูดมาก ดังนั้นเขาจึงทำแค่กอดโจวเหว่ยชิงไว้เบาๆ “โชคดีนะ”

โจวเหว่ยชิงเองก็เคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย เขายิ้มเบาๆ และกอดเขากลับ “อืม”

เกาเฉินเดินมาข้างหน้าและสวมกอดเขาเอาไว้เช่นกัน “เหว่ยน้อย อย่าลืมฆ่าคนให้มากขึ้นล่ะ ผู้ชายที่มีจิตสังหารคือลูกผู้ชายที่แท้จริง!”

หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยยี่ฉือ แต่โจวเหว่ยชิงกลับไม่ยอมให้ ‘เธอ’ กอดเขา นั่นทำให้ ‘เธอ’ หน้ามุ่ยด้วยความโกรธ

มู่เอินและหัวเฟิงก็เดินมาหาพวกเขาเช่นกัน หัวเฟิงลูบหัวซ่างกวนปิงเอ๋อร์แล้วยิ้มจางๆ ขณะที่เขาพูดว่า “อาจารย์ภูมิใจในตัวเจ้าเสมอ”

“อาจารย์ !!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเธอได้อีกต่อไป เธอโผเข้ากอดหัวเฟิงพลางร้องไห้ออกมา แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงทำได้เพียงแค่ยืนมองอยู่ด้านข้างด้วยคิ้วที่กระตุกขึ้นถี่ๆ แต่เขาก็ไม่ได้ขยับตัวทำอะไรอีกฝ่าย

“หยุดมองได้แล้วเจ้าเด็กเหลือขอ! หากเจ้าออกไปข้างนอกแล้วยังถูกใครรังแกเอาได้ ห้ามบอกใครเชียวว่าเป็นลูกศิษย์ของข้า!” มู่เอินพูดพร้อมกับส่งเสียงหึในลำคอ

โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างระมัดระวัง “อาจารย์…พูดอย่างกับว่าเป็นศิษย์ของท่านคือสิ่งที่มีเกียรติหรือชื่อเสียงมากซะหน่อย!”

……………………………