ตอนที่ 213 ใจชายแข็งดั่งเหล็ก

พันธกานต์ปราณอัคคี

“อาจารย์…” นักพรตจื่อซีลากแขนเสื้ออันกว้างใหญ่ของหลิวซางเจินจวินแกว่งไปแกว่งมา

 

 

หลิวซางเจินจวินคิ้วเต้นแล้วเต้นอีก สุดท้ายเอ่ยอย่างจนปัญญาว่า “จื่อซี หลายปีมานี้เจ้าเคยเห็น หรือเคยได้ยินว่าศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณถูกผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นขอไปหรือไม่? นี่ไม่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์!”

 

 

“กฎเกณฑ์…กฎเกณฑ์ก็มีไว้ให้ทำลายมิใช่หรือเจ้าคะ” นักพรตจื่อซีพึมพำว่า

 

 

หลิวซางเจินจวินหนวดกระดิก ปีนั้นดวงตาของตนคงถูกขี้ตาบังกระมัง ไยเผลอนิดเดียวก็รับตัวหายนะคนนี้ไว้แล้วนะ!

 

 

“อาจารย์ นางหนูชิงเฉินนั่นหมักสุราเก่งมากนะเจ้าคะ หากกลายเป็นศิษย์ของจื่อซี จื่อซีก็จะสั่งให้นางหมักสุรามากๆ ทุกครั้งที่หมักสุราใหม่ออกมา รับรองจะให้อาจารย์ลิ้มลองเป็นคนแรกเจ้าค่ะ” นักพรตจื่อซีเห็นหลิวซางเจินจวินไม่พูด จึงรีบตีเหล็กตอนร้อน

 

 

หลิวซางเจินจวินพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่า “จื่อซี บัดนี้นางหนูน้อยนั่นก็เป็นศิษย์หลานของข้าเหมือนกัน สำหรับข้าแล้วไม่แตกต่างหรอกกระมัง? เจ้าพูดได้ไม่ผิด กฎเกณฑ์อย่างไรก็มีข้อยกเว้น ก็มีหลายตัวอย่างที่ศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณถูกอาจารย์อาอาจารย์ลุงคนอื่นรับไว้เป็นศิษย์ ทว่านั่นปกติเป็นเพราะยามที่ศิษย์ยังไม่เติบใหญ่อาจารย์ก็ดับสูญอย่างเหนือความคาดหมาย จึงไหว้วานศิษย์พี่น้องคนอื่น กลัวว่าศิษย์ที่พรสวรรค์ไม่ธรรมดาสูญเสียการดูแลสั่งสอนในวัยเด็กหนทางข้างหน้าจะลำบาก บัดนี้เจ้าอยู่ดีๆ ก็คิดจะขอศิษย์ก้นกุฏิของเหอกวง นั่นมิกลายเป็นเรื่องตลกหรอกหรือ”

 

 

นักพรตจื่อซีกัดริมฝีปาก

 

 

หลิวซางเจินจวินเอ่ยอีกว่า “จื่อซี เจ้าอย่าลืมนะ อาจารย์ดั่งบิดา จะมีเหตุผลเปลี่ยนตามใจชอบได้อย่างไร? หากเจ้าชอบนางหนูชิงเฉินนั่นจริงๆ ก็ชี้แนะนางบ่อยๆ หน่อยก็แล้วกัน เจ้าและเหอกวงเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน ใกล้ชิดกับศิษย์ของเขาก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ไยต้องยึดติดกับฐานะศิษย์อาจารย์ด้วย?”

 

 

นักพรตจื่อซีหน้าคว่ำลง เอ่ยอย่างหมดเรี่ยวแรงว่า “อาจารย์พูดได้ถูกต้อง เช่นนั้นจื่อซีขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”

 

 

ในใจถอนใจว่า อาจารย์เอ๋ยข้าไม่ใช่ยึดติดกับฐานะศิษย์อาจารย์นะ ทว่าเพื่อฐานะศิษย์อาจารย์นี้แล้ว ไม่แน่ศิษย์คนสุดท้องสุดที่รักของท่านนั่นอาจมีวันต้องบาดเจ็บอีกครั้ง

 

 

มองดูท่าทางเดินออกไปอย่างหมดอาลัยตายอยากของนักพรตจื่อซี หลิวซางเจินจวินส่ายศีรษะ บ่นว่า “นางหนูนี่ อายุยิ่งมากก็ยิ่งบ้าๆ บอๆ เดี๋ยวก็เอาอย่างนี้เดี๋ยวก็เอาอย่างนั้น หากผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงเห็นศิษย์บ้านใครดีก็รีบไปแย่งมา เช่นนั้นโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรไม่ยุ่งเหยิงหรอกหรือ”

 

 

เขาป่าไผ่

 

 

“คุณหนู ท่านตื่นแล้ว” เห็นมั่วชิงเฉินลืมตาขึ้น เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งเรียกอย่างดีใจ

 

 

มั่วชิงเฉินกะพริบตา เมื่อเห็นร่างกายเปลือยเปล่าของตนแล้วก็ตกใจ มองไปที่สาวใช้ฝาแฝด

 

 

เหลียงเฉินยิ้มว่า “คุณหนู ท่านนักพรตสั่งไว้เจ้าค่ะ ต้องรอยาข้นวิญญาณถูกดูดซึมจนหมดแล้ว ถึงอนุญาตให้ท่านใส่เสื้อผ้าเจ้าค่ะ”

 

 

มั่วชิงเฉินหน้าแดงก่ำ เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์ล่ะ?”

 

 

เหม่ยจิ่งมองดูท่าทางเขินอายของมั่วชิงเฉิน แล้วคิดถึงที่นางบาดเจ็บทั่วร่างอีก บาดแผลสิบกว่าแผลที่หน้าอกลึกจนเห็นกระดูกกลับไม่พูดสักแอะ ในใจอดเสียใจไม่ได้ เอ่ยว่า “เมื่อครู่ท่านนักพรตออกไปแล้ว ใช่แล้ว คุณหนู รับประทานข้าวสักหน่อยก่อนเถอะเจ้าค่ะ” พูดพลางหมุนตัวหยิบถาดที่อยู่โต๊ะข้างๆ มา

 

 

เหลียงเฉินพยุงมั่วชิงเฉินขึ้นมา ให้นางพิงไว้บนหมอนใบใหญ่ เหม่ยจิ่งยกชามหยกขาวใบเล็ก ใช้ช้อนป้อนมั่วชิงเฉินกินทีละช้อนๆ

 

 

มั่วชิงเฉินกินโจ๊กอย่างว่าง่าย กินไปหลายคำแล้วอดชมไม่ได้ว่า “ไม่คิดว่าพวกเจ้าสองคนยังมีฝีมือด้านนี้ โจ๊กต้มได้กำลังดีเลย”

 

 

เหลียงเฉินหัวเราะฟู่ขึ้นว่า “คุณหนูท่านยกย่องพวกเราเกินไปแล้วเจ้าค่ะ โจ๊กนี่ท่านนักพรตเป็นคนต้มนะ ก็ไม่รู้ว่าเคี่ยวนานเท่าไร ท่านนักพรตก่อนออกไปถึงยกเข้ามา บอกว่ารอโจ๊กเย็นพอรับประทานได้แล้วคาดว่าท่านก็ควรตื่นแล้ว”

 

 

ความหวานสายเล็กๆ เอ่อขึ้นในใจมั่วชิงเฉิน ยิ้มว่า “ข้ายังจะกินอีกชามหนึ่ง”

 

 

รอปรนนิบัติมั่วชิงเฉินกินเสร็จบ้วนปากแล้ว เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งถึงถอยลงไปพร้อมๆ กัน

 

 

มั่วชิงเฉินพิงหมอนใบใหญ่พลางถอนใจ

 

 

กินโอสถระเบิดวิญญาณ อย่างน้อยภายในสามวันตนอย่าคิดจะขยับเขยื้อนได้เลย หากไม่มีเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งสองคนละก็ต้องกระอักกระอ่วนแล้วล่ะ

 

 

อันว่าโอสถระเบิดวิญญาณ ที่จริงก็แปลงมาจากโอสถเติมวิญญาณ

 

 

ยามที่นักหลอมโอสถหลอมโอสถเติมวิญญาณ จะมีโอกาสน้อยมากที่หลอมได้โอสถสีแดงสดชนิดหนึ่งออกมา เมื่อใดที่ผู้บำเพ็ญเพียรกินโอสถนี้ลงไป จะสามารถฟื้นฟูพลังวิญญาณได้ในชั่วพริบตา ผลข้างเคียงที่ตามมาก็คือเมื่อถึงเวลาที่กำหนดพลังวิญญาณในกายผู้บำเพ็ญเพียรจะไม่เหลือสักหยด ยามเดียวกันภายในเวลาสามวันไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่ทีเดียว ยิ่งไม่อาจกินโอสถฟื้นฟูพลังวิญญาณได้

 

 

โอสถสีแดงสดชนิดนี้ จึงถูกเรียกว่าโอสถระเบิดวิญญาณ เพียงแต่โอสถระเบิดวิญญาณยากยิ่งนักที่จะปรากฏ ยามหลอมยิ่งไม่มีกฎเกณฑ์ให้ยึด ดังนั้นอย่าว่าแต่ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดา ต่อให้นักหลอมโอสถมากมายก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรคนที่รู้จักโอสถชนิดมีน้อยมาก

 

 

มั่วชิงเฉินมีครั้งหนึ่งเปิดออกมาได้โอสถเติมวิญญาณเต็มเตา พบว่าข้างในมีสีแดงสดสามเม็ดอย่างไม่คาดคิด พลิกคัมภีร์โอสถลับในเรือนไม้ไผ่ของกู้หลีจนทั่ว ถึงได้รู้ข่าวคราวของโอสถระเบิดวิญญาณ

 

 

ไม่คิดว่าในการประลองครั้งนี้จะได้ใช้ประโยชน์แล้วจริงๆ เพียงแต่ผลข้างเคียงร้ายแรงไปหน่อย…

 

 

รอยามที่ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ปาดน้ำตาบอกลาความเปลือยเปล่า สามารถใส่เสื้อผ้าแล้วลุกขึ้นนั่งนั้น กู้หลีปรากฏตัวขึ้นแล้ว

 

 

“อาจารย์” มองดูหน้าตาสงบไร้คลื่นของกู้หลี มั่วชิงเฉินเรียกอย่างเจี๋ยมเจี้ยมเสียงหนึ่ง

 

 

กู้หลีกวาดสายตามองนางปราดหนึ่ง ถอนใจว่า “ยามนี้รู้จักกลัวแล้วหรือ เวลานั้นไยอวดเก่งเช่นนั้น?”

 

 

มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก เอ่ยอย่างกลัดกลุ้มว่า “ก็เพราะถูกท่านอาจารย์ลุงเจ้าสำนักขู่เอาน่ะสิเจ้าคะ”

 

 

กู้หลียื่นมือออกคิดจะตบไหล่มั่วชิงเฉิน ยื่นถึงกลางทางกลับห้อยลงไปอีก หัวเราะว่า “เจ้าก็รู้ว่าท่านอาจารย์ลุงเจ้าสำนักขู่เจ้าอยู่ ต่อให้แพ้จะเป็นไรไป”

 

 

มั่วชิงเฉินมองดูกู้หลีแล้วกะพริบตา จู่ๆ ก็ถอนใจว่า “อาจารย์ ไยท่านไม่บอกชิงเฉินให้เร็วกว่านี้ล่ะ ทำให้ข้ากลัวจะทำให้อาจารย์ขายหน้าถึงเอาชีวิตเข้าแลกเช่นนี้ มิเช่นนั้นแพ้แล้วมีอาจารย์เป็นเพื่อน ก็ไม่เลวนะเจ้าคะ” พูดจบ ดวงตาดอกท้อคู่นั้นอมยิ้มมองกู้หลีไม่กะพริบ

 

 

คำพูดนี้พูดได้ผ่อนคลายซุกซน กลับปิดความในใจของหญิงสาวไม่มิด

 

 

กู้หลีจึงชะงักอยู่ตรงนั้น

 

 

หากบอกว่าหลังจากมั่วชิงเฉินกลับสำนักครั้งแรกที่สองคนได้พบกันอีกครั้งความประพฤติอันน่าพิศวงนั้นทำให้ตนต้องคาดเดาอย่างเหลวไหลในใจ จึงรีบกดความคิดที่น่าตกใจนั่นลง บัดนี้เขากลับไม่อาจโน้มน้าวตนเองว่าคิดมากเกินไปได้อีกแล้วจริงๆ

 

 

เห็นกู้หลีนิ่งเงียบ มั่วชิงเฉินกลับยังคงยิ้มหวาน

 

 

วันเวลาในถ้ำน้ำแข็ง ความหนาวเย็นเถือกระดูกทำให้นางเข้าใจความในใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

 

 

ความสัมพันธ์เช่นนี้ของทั้งสองคน หากนางไม่เป็นฝ่ายรุก เกรงว่ารอถึงเส้นผมขาวโพลน ทั้งสองคนยังคงเป็นได้เพียงศิษย์อาจารย์

 

 

ปีนั้นตนมีโอกาสวาสนาก้าวเข้าโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ความปรารถนาที่บริสุทธิ์ที่สุดก็คือการกุมชะตาชีวิตของตน ใช้ชีวิตตามที่อยากใช้มิใช่หรือ

 

 

ในเมื่อได้พบกับเขา ใจหวั่นไหวแล้ว จะเหนียมอายชมดชม้อยไปไย ไม่รุก ไม่ทุ่มเท ได้เพียงโศกเศร้าอาดูรดัดจริตล่ะ อย่างไรเสียก็ต้องลองสักครา ต่อไปจึงจะไม่เสียใจภายหลัง ไม่เสียดาย

 

 

“ชิงเฉิน…ครั้งนี้กลับมา เจ้าต่างจากเมื่อก่อนมาก คิดว่าคงผ่านอะไรมามาก เล่าให้อาจารย์ฟังเสียหน่อยได้หรือไม่?” กู้หลีเบนหัวข้อออกอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

 

 

มั่วชิงเฉินกลับไม่เอามาใส่ใจ เล่าประสบการณ์พลิกผันหลังจากลงเขาจนกระทั่งถึงทะเลขนาบใจไม่หยุด

 

 

“อาจารย์ ข้าไม่นึกเลยว่าตนจะได้พบกับพี่สาวที่พลัดพรากจากกันมาหลายปีที่ทะเลขนาบใจ ยังกลายเป็นท่านน้าแล้วด้วย” มั่วชิงเฉินพูดถึงมั่วหนิงโหรวแม่ลูกสองคน ใบหน้ามีแต่รอยยิ้มอันอ่อนโยน

 

 

พูดจบรื้อมุกกันน้ำออกมาอีก ลูกตาปลาคู่หนึ่งของอสูรทะเลชั้นห้า วัตถุดิบสะเปะสะปะบนตัวอสูรปีศาจประเภทปลาและกุ้ง ยังมีหนังท้องชิ้นไม่ใหญ่ชิ้นนั้นที่ตัดออกจากท้องปลาของอสูรทะเลชั้นห้า สุดท้ายคือไหมเกล็ดน้ำแข็งที่เก็บเข้าร่าง ต่างกองอยู่บนเตียง ให้กู้หลีดูเหมือนอวดสมบัติ

 

 

สายตากู้หลีมองไปโดยตรงบนไหมเกล็ดน้ำแข็ง หยิบขึ้นมาหลับตาลงจากนั้นลืมตาขึ้น เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “สมบัติวิเศษตามธรรมชาติ?”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างได้ใจ ยิ้มว่า “อืม นี่ก็คือสิ่งที่ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณมอบให้ชิงเฉินเจ้าค่ะ”

 

 

กู้หลีสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย “เจ้ารับปากอะไรมัน?”

 

 

แม้มั่วชิงเฉินจะเล่าสิ่งที่ประสบมาคร่าวๆ รอบหนึ่งแล้ว มีเรื่องบางเรื่องกลับข้ามไปไม่พูดถึง ยกตัวอย่างเช่นการไหว้วานของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณ เดิมทีนางก็รับปากแล้วว่าจะไม่แพร่งพรายออกไป

 

 

เห็นกู้หลีถามเช่นนี้ มั่วชิงเฉินรู้ว่าเขาเป็นห่วงว่าตนจะหลงใหลสมบัติวิเศษชั่วขณะ จนรับปากเรื่องที่ทำไม่ได้ จึงรีบเอ่ยว่า “อาจารย์วางใจได้ ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณนั่นไม่ได้บังคับให้ชิงเฉินทำอะไร เพียงแต่ไหว้วานข้าให้ช่วยเท่าที่ทำได้เท่านั้น”

 

 

กู้หลีถึงวางใจลง เอ่ยว่า “ชิงเฉิน เดิมทีอาจารย์มีสมบัติวิเศษป้องกันชิ้นหนึ่งคิดจะรอให้เจ้าก่อแก่นปราณค่อยมอบให้เจ้า ในเมื่อเจ้ามีไหลเกล็ดน้ำแข็งแล้ว อีกทั้งยังมีความสามารถในการป้องกันและหลบหนี เช่นนั้นรอหลังจากก่อแก่นปราณแล้วเพียงแต่ใช้ไหมเกล็ดน้ำแข็งให้ช่ำชองก็พอแล้ว”

 

 

“อาจารย์…” มั่วชิงเฉินเสียใจทันทีที่เอาไหลเกล็ดน้ำแข็งออกมา

 

 

กู้หลีเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ระดับก่อแก่นปราณต่างกับระดับสร้างรากฐาน สมบัติวิเศษเน้นดีไม่เน้นมาก สมบัติวิเศษชิ้นหนึ่งศึกษาจนทะลุปรุโปร่งแล้ว ก็จะมีความสามารถที่เจ้าคิดไม่ถึงเพิ่มขึ้นมามากมาย แข็งแกร่งกว่าการมีสมบัติวิเศษหลายชิ้นกลับใช้ได้เพียงผิวเผินมากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงของเจ้านี่คือสมบัติวิเศษตามธรรมชาติ ยิ่งต้องใส่ใจมากหน่อย จำได้หรือยัง?”

 

 

มั่วชิงเฉินย่อมพยักหน้าอย่างว่าง่ายอยู่แล้ว

 

 

กู้หลีหยิบหนังท้องปลาชิ้นนั้นขึ้นอีก ใช้นิ้วมือดึงดู จากนั้นว่า “วัสดุนี่ไม่เลวทีเดียว หากหลอมได้ดีจะเป็นเสื้อวิเศษป้องกันชั้นเลิศตัวหนึ่ง”

 

 

มั่วชิงเฉินตาเป็นประกาย “อาจารย์ ท่านหลอมเป็นหรือเจ้าคะ?”

 

 

กู้เหลีมองดูท่าทางตาเป็นประกายแวววับของมั่วชิงเฉินแล้วกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ทันที “ไม่เป็น ทว่ามีศิษย์พี่ท่านหนึ่งถนัดหลอมอาวุธ ข้าไปหาให้เขาช่วยได้” พูดจบกู้หลีก็หยิบลูกตาปลาสีดำคู่นั้นขึ้นมาดูอย่างละเอียดอีก

 

 

“อาจารย์ ลูกตาปลานี่มีประโยชน์อันใดเจ้าคะ ดมแล้วกลิ่นหวานสดชื่นมากทีเดียว กินได้ไหม?” มั่วชิงเฉินสงสัยประโยชน์ของลูกตาปลาคู่นี้มานานมากแล้ว

 

 

กู้หลีส่ายศีรษะ “กินก็กินได้อยู่หรอก ทว่าไม่มีประโยชน์อะไร จะสิ้นเปลืองเสียเปล่าๆ ประโยชน์ที่ดีที่สุดของลูกตาปลานี่ ก็คือหยอดใส่ตาของผู้บำเพ็ญเพียร”

 

 

“หา?” มั่วชิงเฉินประหลาดใจ แอบคิดว่าโชคดีที่ตัวเองไม่ได้ทำส่งเดช

 

 

“ปีศาจปลานั่นเป็นอสูรทะเลชั้นห้า ตาปลาหากหยอดใส่ตาผู้บำเพ็ญเพียรจะทำให้ตาของผู้บำเพ็ญเพียรแจ่มชัดกระจ่าง มองภาพลวงตาได้ทะลุปรุโปร่งประมาณหนึ่ง” กู้หลีเอ่ยต่อ

 

 

“อาจารย์ต้องการสิ่งนี้ไหมเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินถามว่า

 

 

กู้หลีชะงัก จากนั้นหัวเราะว่า “ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะกลางแล้ว ตาปลานี้สำหรับข้าแล้วไม่ค่อยมีผลเท่าไรแล้ว ชิงเฉินเจ้าใช้เองเหมาะสมที่สุดแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือทัดผมยาวด้านหน้าหน้าผากไว้หลังหู เผยให้เห็นตาดอกท้อเป็นประกายแวววับคู่หนึ่ง นางยิ้มแผ่วเบาให้กู้หลีว่า “อาจารย์ เช่นนั้นขอให้ท่านช่วยหยอดใส่ตาข้าด้วยเถอะ” พูดพลางแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย ขนตาสั่นไหว

 

 

กู้หลีใจเต้นตึกตัก จากนั้นเม้มปากแน่น นิ้วมือเรียวยาวหยิบลูกตาปลาที่เหมือนไข่มุกดำขึ้นข้างละเม็ด แสงวิญญาณแวบขึ้นที่มือแล้วหยอดของเหลวในลูกตาปลาเข้าไปในตามั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินหลับตาขึ้นทันที ยามที่ลืมขึ้นอีกครั้งก็เห็นนัยน์ตาฉ่ำเยิ้ม มองแล้วเคลิบเคลิ้ม

 

 

“อาจารย์ ชิงเฉินเห็นท่านยิ่งชัดขึ้นแล้ว” มั่วชิงเฉินเอ่ยเบาๆ

 

 

กู้หลีกลับลุกขึ้นยืนทันที “ชิงเฉิน เจ้าพักผ่อนดีๆ ข้ากลับห้องแล้ว”

 

 

เดินถึงหน้าประตูแล้วหันหน้ามา มองดูมั่วชิงเฉินที่อมยิ้มแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ชิงเฉิน ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า” พูดจบปิดประตูจากไป