ตอนที่ 214 ตามใจย่อมสงบสุข

พันธกานต์ปราณอัคคี

ชิงเฉิน ข้าเป็นอาจารย์เจ้า

 

 

เสียงทุ้มต่ำสง่าของกู้หลีดังก้องอยู่ข้างหูมั่วชิงเฉินตลอดเวลา

 

 

นางกอดหมอนในอกแน่นแล้วแน่นอีก หมัดประเดี๋ยวคลายประเดี๋ยวกำ สารพัดรสชาติเอ่อขึ้นหัวใจ

 

 

นี่คือถูกปฏิเสธแล้วสินะ? นางพิงหัวเตียงแล้วยิ้มเยาะตนเอง

 

 

อาจารย์ ข้าย่อมรู้อยู่แล้วว่าท่านคืออาจารย์ข้า ทว่าในยามที่ท่านไม่ใช่อาจารย์ข้า ก็เป็นท่านพี่กู้แล้วนี่นา

 

 

หากเป็นเช่นนั้น จะแตกต่างออกไปหรือไม่?

 

 

ตลอดมามั่วชิงเฉินมีนิสัยไม่ชนกำแพงไม่หันกลับ[1] ในเมื่อในใจตัดสินใจแล้ว การปฏิเสธของกู้หลีแม้ทำให้นางใจระทม กลับอยู่ในความคาดหมาย

 

 

เพียงแต่เริ่มตั้งแต่วันนั้น ไม่คิดเลยว่ากู้หลีจะไม่กลับเขาปาไผ่อีก ไม่รู้ว่าเจตนาหลบเลี่ยงหรือว่ามีธุระ

 

 

มั่วชิงเฉินก็สบายใจดี รอร่างกายฟื้นฟูจนพอประมาณแล้วก็บำเพ็ญเพียรขึ้นมาเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

 

 

กลับเป็นเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งสองคนที่สังเกตเห็นความในใจของมั่วชิงเฉิน เห็นกู้หลีไม่กลับมาเสียทีจึงคาดว่าเขาต้องหลบเลี่ยงมั่วชิงเฉินอยู่เป็นแน่ กลัวคุณหนูตนเองเสียใจ จึงคิดหาวิธีปลอบให้นางดีใจ

 

 

ในวันนี้เหลียงเฉินกำลังพูดเล่นหยอกให้หัวเราะอีกแล้ว มั่วชิงเฉินหัวเราะเสร็จพูดว่า “เหลียงเฉิน เหม่ยจิ่ง ก่อนหน้านี้วิชายุทธ์สองชุดที่ข้าหามา ช่วงนี้พวกเจ้าฝึกเป็นเช่นไรบ้างแล้ว?”

 

 

เหม่ยจิ่งสีหน้าซาบซึ้งว่า “ขอบคุณคุณหนูเปลืองใจเพื่อเราพี่น้องเจ้าค่ะ วิชายุทธ์นั้นดีมาก บำเพ็ญเพียรขึ้นมาต้องเร็วกว่าวิชายุทธ์เมื่อก่อนมาก คิดว่าทะลวงระดับหลอมลมปราณขั้นห้าก็อยู่ไม่กี่วันนี้แล้วเจ้าค่ะ”

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้ม เหลียงเฉินเหมาะบำเพ็ญวิชายุทธ์ธาตุไฟ เหม่ยจิ่งเหมาะบำเพ็ญวิชายุทธ์ธาตุน้ำ นางรื้อคัมภีร์ทุกชนิดที่กู้หลีสะสมไว้ในเรือนไม้ไผ่จนหมด ถึงเลือกวิชายุทธ์สองชุดนี้ออกมาได้

 

 

ชุดหนึ่งชื่อว่าเคล็ดอัคคีทะลวงอาทิตย์ อีกชุดหนึ่งชื่อน้ำหยดน้ำแข็ง แม้ไม่ใช่วิชายุทธ์ลับอะไร กลับก็สามารถบำเพ็ญเพียรเรื่อยไปถึงระดับก่อแก่นปราณได้ อีกทั้งยังต่างมีจุดเด่น วางไว้ในตลาด ก็ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรแห่กันแย่งชิงแล้ว

 

 

“เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าสองคนไม่ไปบำเพ็ญเพียรดีๆ มาวุ่นวายอะไรหน้าข้าทั้งวัน?” มั่วชิงเฉินล้อเล่นว่า สายตาจ้องเหลียงเฉินเป็นพิเศษ

 

 

อยู่ด้วยกันมาระยะนี้ มั่วชิงเฉินไม่ได้วางมาดอะไรเลย เหลียงเฉินจึงยิ่งใจกล้าขึ้นมา ยิ้มว่า “คุณหนูอย่าปรักปรำคนนะเจ้าคะ พวกเรานอกจากบำเพ็ญเพียรทั้งวันแล้ว ยังต้องสางขนให้ต้าฮวา จัดระเบียบสวนสมุนไพร ซักเสื้อทำอาหาร…” เหลียงเฉินนับนิ้วจนเสร็จ เอ่ยต่อว่า “แต่ละวันก็มีเวลาว่างแอบอู้งานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คุณหนูยังรังเกียจพวกเราวุ่นวายอีก เฮ่อ เป็นสาวใช้นี่ช่างยากจริงๆ เลย”

 

 

มั่วชิงเฉินรู้เจตนาของทั้งสองคน กลับไม่ยอมให้พวกนางต้องเสียเวลาบำเพ็ญเพียรเพราะตน อีกอย่างตนก็ไม่ได้อ่อนแอปานนั้น จึงลุกขึ้นว่า “ข้าไม่เถียงกับนางหนูปากคอเราะรายอย่างเจ้า เพียงแต่อย่าโทษว่าข้าไม่ได้เตือนพวกเจ้าก็แล้วกัน ช่วงนี้คุณหนูพวกเจ้าข้าเอาก้อนอิฐตบคนไว้มิใช่น้อย หากผู้บำเพ็ญเพียรพวกนั้นเคียดแค้นอยู่ในใจแล้วเกิดมาแก้แค้นอะไร แต่ไม่กล้าหามาถึงบนหัวข้า สองสามวันก็เอากระบองเคาะสาวใช้ส่วนตัวข้าที ก็เป็นไปได้ ถึงเวลาอย่ามาโอดครวญกับข้าแล้วกัน”

 

 

เหลียงเฉินและเหม่ยจิ่งชะงักอยู่ตรงนั้นทันที มั่วชิงเฉินหัวเราะพลางเดินออกไป

 

 

“เหม่ยจิ่ง เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าคุณหนูพวกเรานับวันยิ่ง…ชั่วร้ายแล้ว?” เหลียงเฉินพึมพำว่า

 

 

เหม่ยจิ่งถลึงตาใส่เหลียงเฉินปราดหนึ่ง “เหลียงเฉิน นับวันเจ้ายิ่งพูดจาไม่รู้กาลเทศะแล้ว กลับเรือนเถอะ”

 

 

“กลับเรือน?”

 

 

เหม่ยจิ่งเอ่ยอย่างจำใจว่า “ใช่น่ะสิ กลับเรือนบำเพ็ญเพียร มิเช่นนั้นเจ้ายังคิดจะออกไปทีก็ถูกคนตีจริงๆ ทำให้คุณหนูขายหน้าหรือ?”

 

 

เหลียงเฉินหน้าบึ้ง “เหม่ยจิ่ง เจ้าพูดถูก พวกเราในฐานะสาวใช้ส่วนตัวของคุณหนู มีแต่เอากระบองเคาะคนอื่น จะให้คนอื่นตีหัวได้อย่างไรกัน ไป ไปบำเพ็ญเพียรกัน”

 

 

ด้านนี้มั่วชิงเฉินออกจากเขาป่าไผ่ มุ่งหน้าไปตลาดในสำนัก

 

 

ใส่หน้ากากที่ตลาดเสนอให้โดยเฉพาะ มั่วชิงเฉินเดินเข้าไป มองดูศิษย์เสื้อเขียวไปๆ มาๆ ฟังเสียงตะโกนร้องที่ครึกครื้น จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกราวกับอยู่กันคนละยุค

 

 

ยามนั้นนางยังเป็นเพียงศิษย์ฆราวาสระดับหลอมลมปราณที่ไม่สะดุดตา ทว่าบัดนี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแล้ว

 

 

เห็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ไปๆ มาๆ กวาดสายตามา มั่วชิงเฉินถึงตกใจตื่นว่าตนยืนเหม่ออยู่กลางถนน จึงรีบเดินสองก้าวปนไปกับฝูงชน

 

 

จุดประสงค์ในการมาตลาดของนางครั้งนี้ เพื่อซื้อวัตถุดิบประกอบสองสามอย่างที่ขาดในการหลอมโอสถพิเศษของตระกูลหวังแห่งทะเลขนาบใจ

 

 

วัตถุดิบประกอบไม่กี่อย่างนั้นไม่ใช่ของแปลก ฉวยโอกาสยามนี้มีเวลารวบรวมให้พร้อม ต่อให้ยามนี้ยังไม่หลอมโอสถ ก็สามารถเก็บไว้ในกำไลเก็บวัตถุเตรียมพร้อมไว้ไร้กังวล

 

 

นอกเหนือจากนี้นางยังอยากดูว่าสามารถซื้อวัตถุดิบที่ใช้หมักสุราทิพย์แต่ละชนิดที่คุณชายหกให้สูตรสุรามาได้หรือไม่ ลองหมักสุราเลิศรสพวกนั้นออกมา

 

 

สองชั่วยามให้หลังมั่วชิงเฉินเดินออกมา ถอดหน้ากากออกแล้วกระโดดขึ้นเรือบินมุ่งหน้าไปทางเหนือ

 

 

พรรคเหยากวงสมกับที่เป็นหนึ่งในสำนักชั้นยอด ตลาดในสำนักสินค้าครบครันกว่าตลาดในเมืองบำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่มาก ราคายังย่อมเยาอีก

 

 

มั่วชิงเฉินซื้อวัตถุดิบประกอบของการหลอมโอสถตระกูลหวังครบอย่างราบรื่น วางไว้ด้วยกันกับน้ำตาของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณคู่นั้นที่เป็นกระสายยาและวัตถุดิบหลักสาหร่ายใจน้ำแข็ง รอเพียงถึงเวลาก็เปิดเตาหลอมโอสถได้

 

 

สุราทิพย์ที่บันทึกอยู่ในสูตรสุราในตลาดไม่มีขาย วัตถุดิบที่ต้องการบ้างธรรมดา บ้างกลับประหลาดหายาก เวลาส่วนใหญ่ที่มั่วชิงเฉินอยู่ในตลาดใช้ไปกับการตามหาวัตถุดิบของสุราทิพย์

 

 

เพียงแต่นางเดินจนทั่วตลาด ก็หาวัตถุดิบของสุราทิพย์สองชนิดได้เพียงบางส่วน โชคดีที่ในสวนสมุนไพรพกพาของตนยังมีส่วนหนึ่ง กลับสามารถหมักสุราทิพย์สองชนิดนี้ออกมาได้พอดี

 

 

มั่วชิงเฉินนั่งเรือบินกลับไม่ใช่วกกลับเขาชิงมู่ หากแต่มุ่งตรงไปเขารั่วสุ่ย

 

 

ก่อนหน้านี้มั่วหลีลั่วและต้วนชิงเกอสองคนก็เชิญนางไปพบกัน เพียงแต่ในเวลานั้นยังจัดการอารมณ์ไม่เรียบร้อยจึงผลัดไปก่อน วันนี้ควรไปดูหน่อยแล้ว

 

 

รอมั่วชิงเฉินถึงเขารั่วสุ่ย มั่วหลีลั่วที่ได้รับสารของนางนานแล้วได้รออยู่ที่นั่นแล้ว กลับไม่เห็นต้วนชิงเกอ

 

 

“ชิงเฉิน ในที่สุดก็เจอเจ้าจนได้ หลายวันมานี้เป็นเช่นไรบ้าง พวกเราไม่สะดวกไปที่อาจารย์อาเหอกวงนั่น เป็นห่วงเจ้าตลอดเลยนะ” มั่วหลีลั่วพูดเร็วมาก ฟังแล้วสบายใจ

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้ม “ส่งสารให้พวกเจ้าแล้วมิใช่หรือ ข้าไม่เป็นไร ก็คือวันนั้นร่างกายใช้พลังจนหมด เลยนอนพักอยู่หลายวัน”

 

 

เรื่องโอสถระเบิดวิญญาณ พูดผ่านๆ ข้ามไป

 

 

มั่วหลีลั่วไม่ใช่คนกัดไม่ปล่อย ต่อว่าว่า “เจ้าและชิงเกอเหมือนกัน มีนิสัยแจ้งแต่เรื่องยินดีไม่แจ้งเรื่องร้อนใจ ส่งสารมาใครจะรู้ว่าตกลงเป็นเช่นไรกันแน่ล่ะ”

 

 

“ศิษย์พี่มั่ว ชิงเกอล่ะ?” มั่วชิงเฉินถาม

 

 

มั่วหลีลั่วว่า “นางเห็นเจ้าไม่มาเสียที เมื่อวานเพิ่งรับภารกิจลงเขาไปแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินใบหน้าฉายแววผิดหวังแวบหนึ่ง ตั้งแต่นางกลับสำนักก็เกิดเรื่องมากมายถึงเพียงนั้น ทั้งสามคนยังไม่ได้นัดพบกันดีๆ เลย

 

 

มั่วหลีลั่วกลับไม่แยแสว่า “ไม่ใช่ภารกิจใหญ่โตอะไร และก็ไม่ได้ไปไกล คิดว่าไม่เกินสิบวันครึ่งเดือนก็กลับมาแล้ว ถึงเวลาพวกเราค่อยนัดพบกันใหม่ ไป ไปที่ข้านั่น”

 

 

ถึงที่พำนักมั่วหลีลั่ว สองคนกินชาทิพย์ผลไม้ทิพย์คุยเล่นกันอยู่ครู่หนึ่ง มั่วชิงเฉินก็สะบัดแขนเสื้อ บนโต๊ะหยกกองของชิ้นเล็กชิ้นน้อยเต็มไปหมด

 

 

มั่วหลีลั่วดูจนงงเป็นไก่ตาแตก “ชิงเฉิน เจ้า เจ้าไปปล้นร้านไหนในตลาดมาน่ะ?”

 

 

มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก “ศิษย์พี่มั่ว หรือว่าในใจเจ้า ข้าก็มีภาพพจน์เช่นนี้หรือ?”

 

 

มั่วหลีลั่วแอบคิดในใจว่า ชิงเฉินเอ๋ยนี่เป็นภาพพจน์เจ้าในใจข้าคนเดียวเสียที่ไหน ต่อให้เป็นในใจศิษย์พรรคเหยากวงทั้งหมด เกรงว่าก็เป็นเช่นนี้หมดกระมัง ปากกลับเอ่ยว่า “ที่ไหนกัน นี่ข้าตกใจเกินไปมิใช่หรือไง ชิงเฉินเจ้าต่อให้จะปล้นร้านค้าก็ไม่ปล้นของสำนักตนเองหรอก”

 

 

มั่วชิงเฉินจนด้วยคำพูดมองฟ้า ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเอ่ยอย่างหมดแรงว่า “เลือกเองตามสบาย”

 

 

มั่วหลีลั่วประหลาดใจไม่ได้หยุด นิสัยชอบรื้อของตามธรรมชาติของสตรีปรากฏออกมาจนหมดทันที เกือบจะฝังร่างทั้งร่างในกองของแล้ว

 

 

ผ่านไปครึ่งค่อนวัน มือมั่วหลีลั่วถือไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงหยุดอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วพูดกับมั่วชิงเฉินว่า “ชิงเฉิน เจ้าไปเอามาจากไหนกันน่ะ ของตั้งมากมายไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะแล้ว “ล้วนเป็นของที่ยามที่ข้าไปถึงทะเลขนาบใจไม่มีอะไรทำเดินเล่นซื้อไว้ แม้ไม่มีราคาอะไร กลับเป็นของเฉพาะของทั้งนั้น” พูดจบก็หยิบมุกจื่อหวาสงบจิตขนาดเท่าเม็ดพุทราร้อยเป็นสายสร้อยยื่นไป

 

 

มั่วหลีลั่วเป็นคนรู้จักของ เห็นแล้วตาเป็นประกายรับไปทันที ดูอย่างละเอียดถึงถอนใจว่า “ชิงเฉิน เจ้าว่าไยโอกาสวาสนาเจ้าถึงดีเช่นนี้นะ ไปเดินอย่างสง่าผ่าเผยที่ทะเลขนาบใจรอบหนึ่ง ไม่เพียงแต่ตบะเพิ่มขึ้นมากยังได้ของดีมามากมายปานนี้ แล้วดูข้าและชิงเกอ กลับกลับสำนักมาอย่างหน้าดำคร่ำเครียด อีกทั้งนึกว่าเจ้าประสบเคราะห์แล้ว ในใจอย่าพูดถึงเลยว่ากลัดกลุ้มเพียงไหน”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มนิ่งเรียบว่า “ทุกคนต่างมีโอกาสวาสนาไม่ต้องอิจฉา อ้าว น้ำผึ้งดอกท้อพวกนี้เจ้าลองชิมดู หากว่าชอบ ค่อยมาเอาที่ข้าอีก”

 

 

มั่วหลีลั่วรับขวดหยกขาวใบเล็กไป เปิดฝาออก กลิ่นหวานหอมของดอกท้อกระจายออกจากข้างในเป็นระลอกๆ ทันที น้ำผึ้งวิญญาณข้างในกระจ่างใสเหมือนอำพันก็ไม่ปาน ดันเป็นสีชมพูอ่อนอีก ขับกับด้านในที่เป็นหยกขาวแล้วยิ่งเชิญชวนให้คนลิ้มลอง

 

 

มั่วหลีลั่วปิดฝา กลับเขยิบเข้าใกล้มั่วชิงเฉินดมแล้วดมอีก จากนั้นว่า “ชิงเฉิน ข้าว่าบนตัวเจ้าไยมักมีกลิ่นหอมพิเศษสายหนึ่งรางๆ เหมือนดอกไม้แต่ไม่ใช่ดอกไม้เหมือนผลไม้แต่ไม่ใช่ผลไม้ หวานแต่ไม่เลี่ยน ใสสะอาดถูกใจ ที่แท้ก็คือกลิ่นของน้ำผึ้งดอกท้อนี่เอง”

 

 

มั่วชิงเฉินประหลาดใจ ตั้งแต่ดอกท้อพิเศษต้นนั้นในสวนสมุนไพรอายุเริ่มมากขึ้น ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตก็นับวันยิ่งขยัน นางก็มีลาภปากได้กินน้ำผึ้งวิญญาณวันละสองสามช้อน ถึงบัดนี้ขวดเล็กๆ เช่นนี้ยังตุนไว้หลายขวด กลับไม่ได้สังเกตว่าร่างกายตนมีกลิ่นหอมอะไร คงเพราะสัมผัสกับผึ้งวิญญาณเลือดมรกตทุกวันจนชินแล้ว

 

 

มั่วหลีลั่วถามถึงที่มาของน้ำผึ้งดอกท้อขึ้นมาอีก สองคนคุยอยู่ครึ่งค่อนวันมั่วชิงเฉินนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว ศิษย์พี่มั่ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าในบรรดาศิษย์สร้างรากฐานเราใครเชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ?”

 

 

มั่วชิงเฉินถามปุ๊บ สีหน้ามั่วหลีลั่วก็ประหลาดขึ้นมาทันที ถามว่า “ถามเรื่องนี้ไปไย?”

 

 

มั่วชิงเฉินหยิบชามกระเบื้องใบใหญ่ของตนออกมาว่า “อาวุธเวทเสียหายแล้ว คิดว่าเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้จะรบกวนพวกอาจารย์อาอาจารย์ลุงก็คงไม่ดี”

 

 

มั่วหลีลั่วยื่นมือรับชามใหญ่ไปดูๆ แล้วพยักหน้าว่า “ก็จริง นอกจากอาจารย์ตนเอง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณท่านอื่นมีเวลาว่างสนใจเรื่องนี้ที่ไหนกัน ทว่าชิงเฉิน เจ้าเดาสิในบรรดาศิษย์ระดับสร้างรากฐานเราใครเชี่ยวชาญการหลอมอาวุธที่สุดนะ?”

 

 

มั่วชิงเฉินชะงัก ในใจเดาได้แล้ว กลับรับคำไม่สะดวก

 

 

มั่วหลีลั่วหัวเราะ “เจ้าฉลาดปานนั้นคิดว่าคงเดาได้แล้ว ในรุ่นพวกเรานี่คนที่เชี่ยวชาญหลอมอาวุธที่สุดก็คือศิษย์พี่เยี่ยคนนั้น ข้าได้ยินอาจารย์ชมด้วยตนเองมาก่อน ศิษย์พี่เยี่ยมีพรสวรรค์สุดยอดในด้านหลอมอาวุธ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่ถนัดหลอมอาวุธบางคนก็เทียบไม่ติด ชิงเฉิน ท่าทางชิงเกอพูดไว้ไม่ผิด เจ้าและศิษย์พี่เยี่ยมีวาสนาต่อกันไม่น้อย มักมีเรื่องทำให้พวกเจ้าต้องเกี่ยวข้องกัน”

 

 

ฟังคำพูดของมั่วหลีลั่วแล้ว มั่วชิงเฉินกระอักกระอ่วนยกใหญ่ ต่อว่าว่า “ศิษย์พี่มั่ว เจ้าและชิงเกอชอบซุบซิบเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรแล้ว?”

 

 

มั่วหลีลั่วค้อนตาคว่ำ เอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า “ตั้งแต่หลังจากชิงเกอถูกเจ้าเด็กนั่นยกเลิกการหมั้น”

 

 

คำพูดประโยคเดียวอุดจนมั่วชิงเฉินยิ่งพูดไม่ออก ครึ่งค่อนวันถึงเอ่ยอย่างอักอ่วนว่า “ชามใหญ่ข้านี่ก็ไม่ใช่อาวุธเวทชั้นเลิศอะไร เสียหายก็ไม่มาก ไม่ถึงกับต้องรบกวนยอดนักหลอมอาวุธเช่นนั้นหรอก…”

 

 

มั่วหลีลั่วหยอกพอแล้วก็ไม่ทำให้นางลำบากใจอีก จึงว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ว่าไปแล้วข้าก็รู้จักคนคนหนึ่งอยู่…”

 

 

 

 

——

 

 

[1] ไม่ชนกำแพงไม่หันกลับ หมายถึง หากเรื่องราวมิถึงขั้นจนตรอกหมดหนทาง จะไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจเป็นอันขาด