ตอนที่ 117 ใช้มือซ้ายหรือมือขวาดีล่ะ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

น้อยนักที่ 129 จะรับสมัครสมาชิกใหม่ ปกติที่รับสมัครก็เป็นแค่สมาชิกทั่วไป แต่แม้จะเป็นสมาชิกทั่วไป ก็สามารถเรียนรู้อะไรจาก 129 ได้ไม่น้อย มีอำนาจใช้สอยข้อมูลของสมาชิกภายในของ 129

 

 

และเครือข่ายข้อมูลของ 129 ก็กระจายอยู่แทบจะทั่วทุกมุมโลก ในฐานะของสมาชิก แม้จะเป็นแค่สมาชิกทั่วไป สิทธิพิเศษที่ได้รับก็มีไม่น้อยเช่นกัน

 

 

ก่อนหน้านี้ 129 ก็เคยรับสมัครสมาชิกหลายครั้ง เพราะทุกหน่วยงานล้วนต้องการสมาชิกใหม่ ฉางหนิงเคยแอบเสาะหาอยู่บ่อยครั้ง

 

 

แต่ทุกครั้งฉินหร่านไม่เคยเข้าร่วมเลย

 

 

เธอเป็นบุคคลผู้วิเศษของ 129 คนเดียวที่ไม่เคยเปิดเผยโฉมหน้า แต่มีอำนาจยิ่งกว่าฉางหนิงเสียอีก

 

 

ครั้งนี้กว่าจะยอมโผล่หน้าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ฉางหนิงจะยอมปล่อยเธอไปได้อย่างไร

 

 

ก่อนหน้านี้ตอนที่กินข้าว ฉินหร่านได้ยินผู้บัญชาการห่าวกับลู่จ้าวอิ่งคุยเรื่องนี้กันแล้ว เธอจึงไม่แปลกใจแต่อย่างใด

 

 

เซี่ยเฟยที่อยู่ห้องข้างๆ ยังคงท่องสูตรเคมีให้เธออยู่

 

 

ฉินหร่านมองประตูห้องน้ำ สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง กดมือถือส่งคำพูดที่เย็นชาอย่างยิ่งให้ฉางหนิงทันที

 

 

‘ไม่ไป’

 

 

เธอเพิ่งส่งไป ทางด้านฉางหนิงร้อนใจแล้ว

 

 

ต่อสายโทรเข้ามาทันที

 

 

ก่อนที่เสียงเรียกเข้าจะดังขึ้น ฉินหร่านก็กดตัดสายอย่างโหดเ**้ยม

 

 

ฉางหนิงดื้อดึงมาก กดโทรมาสายแล้วสายเล่า

 

 

ฉินหร่านมองหน้าจอที่แสดงสายเรียกเข้าจากเขาด้วยความรังเกียจ จากนั้นก็ลุกขึ้น ยื่นมือออกไปเคาะผนังห้องข้างๆ ด้วยความเฉยชา

 

 

เสียงของเซี่ยเฟยที่กำลังท่องสูตรหยุดลงทันที

 

 

ฉินหร่านลุกขึ้น ดึงประตูแล้วเดินออกไป พลางล้วงหูฟังที่ยัดใส่กระเป๋าออกมา เสียบเข้าไปแล้วกดรับสายของฉางหนิง

 

 

เธอก้มหน้า มือหนึ่งยัดหูฟังใส่หู อีกข้างเปิดก๊อกน้ำ กดเสียงแล้วพูดว่า “ว่ามา”

 

 

ปกติแล้วฉินหร่านจะใช้เครื่องเปลี่ยนเสียงคุยกับตัวเอง นี่เป็นครั้งที่สองที่ได้ยินเสียงของเธอโดยตรง น้ำเสียงเย็น ชัดเจนและอ่อนเยาว์

 

 

ฉางหนิงที่คิดมาตลอดว่าหมาป่าเดียวดายเป็นชายฉกาจฉกรรจ์เงียบไปครู่หนึ่งแล้วค่อยพูดว่า “ในฐานะที่เธอเป็นสมาชิกยอดนิยมของ 129 ถึงตอนนั้นปล่อยข่าวออกไปว่า โจทย์รับสมัครปีนี้ของพวกเรามาจากหมาป่าเดียวดาย เธอลองคิดดูสิว่าจะดึงดูคนที่ซ่อนตัวออกมาตั้งเท่าไหร่…”

 

 

ฉางหนิงที่อยู่ปลายสายถือกาแฟแก้วหนึ่ง ยืนอยู่ข้างหน้าต่างบานกระจก พูดอย่างจริงใจว่า “เธอรับภารกิจ จะไม่ทำข่าวหน่อยเหรอ”

 

 

เซี่ยเฟยก็ตามออกมาติดๆ

 

 

ฉินหร่านล้างมือแล้วปิดก๊อกน้ำ หยุดคิดครู่หนึ่ง ไม่ได้ปฏิเสธ “ก็ได้ ฉันขอคิดดูก่อน”

 

 

ฉางหนิงวางสายไปด้วยความดีใจ

 

 

เซี่ยเฟยก็ล้างมือเหมือนกัน จากนั้นก็ตามหลังฉินหร่านไปแล้วเริ่มท่องสูตรต่อ

 

 

ฉินหร่านรู้สึกว่าเธอเป็นพระถังซัมจั๋ง

 

 

อ๊ากกกกกก น่ารำคาญจริงๆ

 

 

 

 

ผ่านคาบเรียนด้วยตัวเองที่แปลกพิลึกไปแล้ว ในที่สุดก็กลับถึงหอพักสักที

 

 

หลินซือหรานเดินตามหลังฉินหร่าน ทำตามข้อเสนอแนะของตัวแทนติววิชาภาษาอังกฤษ ถือหนังสือคำศัพท์สองเล่มตามหลังฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านที่สังเกตเห็นอากัปกิริยาของเธอก็อดยกมือข้างที่มีมือถือขึ้นไม่ได้ จากนั้นปิดตา มืออีกข้างก็กุมหญ้าต้นนั้นตรงกลางอกที่หลินซือหรานให้มา

 

 

“เจ๊ฉิน!” ตรงบันได เฉียวเซิงตามเธอมา

 

 

“ไม่มีธุระอย่ามาหาฉัน มีธุระยิ่งไม่ต้องมาหาฉัน” ฉินหร่านยัดมือถือใส่กระเป๋า ไม่หยุดก้าวเท้า ตอบเขาอย่างเหลืออด

 

 

ลดมือที่ปิดตาลง ใบหน้าดูเย็นชาทีเดียว ดวงตาคู่สวยเย็นเยือก สามารถมองเห็นเส้นเลือดจางๆ ในดวงตาของเธอผ่านแพขนตาที่ลู่ลงน้อยๆ ได้

 

 

ระยะนี้ ในดวงตาเธอแทบจะไร้สีเลือด น้อยครั้งที่จะแสดงสีหน้าหมดความอดทน

 

 

วันนี้เริ่มตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว

 

 

พวกเฉียวเซิงต่างก็คิดว่าฉินหร่านหงุดหงิดเพราะการสอบกลางภาคในวันเสาร์ ตั้งใจรอปลอบใจเธอตอนเลิกเรียน

 

 

ฉินหร่านนวดขมับ เธอตอบกลับอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก “อ๋อ รู้แล้ว รำคาญ”

 

 

เฉียวเซิงรีบยกมือขึ้น รูดซิปปากตัวเองทันที

 

 

หลินซือหรานเดินตามฉินหร่านกลับหอพัก ส่งสายตาให้เฉียวเซิงไปทีหนึ่ง

 

 

คืนนี้ความโมโหของเจ๊ฉินรุนแรงนิดหน่อย คิดว่าคงจะเป็นเพราะท่องคำศัพท์

 

 

ไม่มีธุระอย่ายุ่งกับเธอ

 

 

พอพวกฉินหร่านกลับหอพักหญิงแล้ว เฉียวเซิงถึงหันหลัง เห็นสวีเหยากวงกำลังถือมือถือคุยกับใครอยู่ น้ำเสียงฟังดูอ่อนโยนนิดหน่อย

 

 

เฉียวเซิงได้สติ ปลายสายต้องเป็นฉินอวี่แน่นอน

 

 

นอกจากฉินอวี่แล้ว จนตอนนี้เฉียวเซิงยังหาคนที่สองที่ทำให้สวีเหยากวงมีท่าทีแบบนี้ไม่เจอ

 

 

ได้ยินสวีเหยากวงพูดว่า ‘อาจารย์เว่ย’ อะไรสักอย่าง เขาเลยกลอกตา

 

 

พอสวีเหยากวงคุยโทรศัพท์เสร็จ เฉียวเซิงถึงได้พูดว่า “ฉินอวี่เหรอ”

 

 

“อืม เธอถึงจิงเฉิงแล้ว วันนี้ได้เจอครอบครัวสกุลเสิ่น ท่านอาวุโสเสิ่นชอบเพลงใหม่ล่าสุดของเธอมาก เธอเลยพักที่สกุลเสิ่นชั่วคราว” สวีเหยากวงเก็บมือถือกลับที่เดิม น้ำเสียงยังคงราบเรียบ

 

 

“หึ อย่าพูดถึงเธอให้ฉันฟัง ฉันไม่สนใจเลยสักนิด” เฉียวเซิงอารมณ์ไม่ดี

 

 

สวีเหยากวงชายตามองเขา “ทำหน้าอะไรของนายน่ะ”

 

 

เฉียวเซิงล้วงมือถือออกมา เปิดเกม ครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยปากว่า “คุณชายสวี ฉันได้ยินมาจากหลินซือหราน นายรู้ไหมว่ารูปใบนั้นของฉินหร่านที่อยู่กับอู๋เหยียนใครเป็นคนให้เธอ”

 

 

พอได้ยินประโยคนี้ แววตาของสวีเหยากวงก็สั่นระริก “…ใคร”

 

 

“ฉินอวี่เป็นคนให้เธอ” เฉียวเซิงก็ใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้ว ถึงได้ตัดสินใจบอกความจริงกับสวีเหยากวง “ฉันไปยืนยันกับอู๋เหยียนแล้วถึงได้บอกเรื่องนี้กับนาย อีกอย่าง ฉันมองออกแล้ว ไม่เชื่อหรอกว่านายจะมองไม่ออก ฉินอวี่คนนั้นก็คิดร้ายกับนายเหมือนกัน”

 

 

คิดร้ายชัดเจนโจ่งแจ้ง เฉียวเซิงไม่เข้าใจ สวีเหยากวงทำแบบนี้เพราะอะไรกันแน่

 

 

ฉินอวี่เล่นไวโอลินได้เพราะก็จริง แต่ว่า… ไม่จำเป็นต้องหลงใหลขนาดนี้หรอกมั้ง

 

 

สวีเหยากวงจ้องหน้าเฉียวเซิงพักหนึ่ง เงียบงันอยู่นาน จากนั้นก็พูดเสียงเรียบว่า “อืม รู้แล้ว”

 

 

…?

 

 

รออยู่ตั้งนาน ตอบแค่ว่า ‘รู้แล้ว’ นี่มันปฏิกิริยาบ้าอะไรกัน

 

 

“คุณชายสวี!” เฉียวเซิงเกาหัว ไม่ค่อยเข้าใจมากนัก

 

 

“ที่นายพูดมาฉันรู้แล้ว แต่ตอนนี้เธอไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายที่สลักสำคัญอะไร” สวีเหยากวงหันหลังเดินไปทางหอพักแล้ว

 

 

เฉียวเซิงมองแผ่นหลังที่เดินจากไปของเขา ชัดเจนตรงไปตรงมา ไม่ต่างอะไรกับที่ผ่านมาเลย

 

 

 

 

ในการสอบกลางภาคครั้งนี้ของโรงเรียนเหิงชวนอีจงคือวันเสาร์และวันอาทิตย์สองวัน

 

 

ระยะเวลาสามวัน ฉินหร่านตกนรกทั้งเป็น หนึ่งวันยาวนานเหมือนหนึ่งปี

 

 

เช้าวันเสาร์ เข้าเรียนตามปกติ

 

 

ช่วงนี้สภาพอารมณ์ของฉินหร่านไม่ค่อยดี เส้นเลือดที่แทบจะไม่ปรากฏให้เห็นช่วงก่อนเริ่มกลับมาอีกแล้ว

 

 

ทุกคืนที่หลินซือหรานลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ จะเห็นเธอกำลังท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษ

 

 

นักเรียนห้องเก้าก็ไม่ค่อยกล้าหาเรื่องเธอ

 

 

เลิกเรียนช่วงเช้า ฉินหร่านบอกหลินซือหรานว่าจะไม่ตามพวกเขาไปโรงอาหาร แต่จะไปห้องพยาบาลเพียงลำพัง

 

 

เพราะฉินหร่านไม่อยู่ หลินซือหรานเลยตามพวกเซี่ยเฟยไปโรงอาหาร

 

 

สวีเหยากวงกับเฉียวเซิงไม่ได้ไปกินอาหารเช้าที่โรงอาหาร แต่ไปกินบะหมี่ที่ร้านข้างนอก

 

 

ตอนที่ทั้งคู่ออกไป เว่ยจื่อหังก็สั่งบะหมี่เนื้อมากินแล้ว

 

 

“มีแค่พวกนายเหรอ” เว่ยจื่อหังกำลังกินอย่างเชื่องช้า ดวงตาคู่นั่นหรี่ลงเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลา ทำให้รู้สึกว่าร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้ไม่เข้ากับเขาขึ้นมาทันที

 

 

“เธอไปห้องพยาบาลแล้ว” เฉียวเซิงนั่งลงบนโต๊ะเดียวกับเขา ถือเมนูแล้วเริ่มสั่งบะหมี่ “วันนี้สอบ นายยังกล้ากินไข่อีกเหรอ”

 

 

เขาเหลือบมองไข่ที่สั่งเพิ่มในถ้วยของเว่ยจื่อหัง

 

 

เว่ยจื่อหังเอาแต่กินบะหมี่ ไม่สนใจเขา

 

 

นี่ก็บิ๊กบอสวางขี้เก๊กเหมือนฉินหร่านอีกคน

 

 

ระหว่างที่รอบะหมี่ เฉียวเซิงก็พูดคุยกับสวีเหยากวง “คุณชายสวี อาจารย์เว่ยที่นายคุยกับฉินอวี่เมื่อวานคือใครน่ะ เขารับฉินอวี่หรือเปล่า”

 

 

สวีเหยากวงส่ายหน้า บ่งบอกว่าไม่รู้ “ได้ยินว่าอาจารย์เว่ยไปเมือง m แล้ว”

 

 

หลังฉินอวี่ไปจิงเฉิง แม้จะยังติดต่อเขา แต่เวลาที่ติดต่อน้อยลงมาก เรื่องนี้สวีเหยากวงรู้ดี

 

 

ตอนแรกเว่ยจื่อหังไม่รู้เรื่องที่สองคนนี้คุยกัน จนกระทั่งฟังถึงตรงนี้ มือที่กำลังคีบไข่ของเขาชะงักไปที

 

 

“จะว่าไป อาจารย์เว่ยกับนายก็แซ่เว่ยเหมือนกัน” เฉียวเซิงไม่เคยชอบฉินอวี่อยู่แล้ว พูดถึงตรงนี้ เขาก็มองเว่ยจื่อหังพลางยิ้มน้อยๆ “นายคงไม่ใช่ครอบครัวของอาจารย์เว่ยคนนั้นหรอกนะ”

 

 

เว่ยจื่อหังมองเขาแวบหนึ่ง ยังคงเย็นชาพูดไม่อะไร

 

 

“ฉันล้อเล่น นายอย่าจริงจัง” บะหมี่มาแล้ว เฉียวเซิงหยิบตะเกียบมาคีบ “ดูจากสังคมของนายแล้ว ไม่เหมือนญาติของศิลปินคนนั้น”

 

 

เว่ยจื่อหังสร้างชื่อจากการเป็นอันธพาล อยู่ในวงการอันธพาล แถมยังรู้จักผู้มีอิทธิพลด้วย

 

 

แต่อาจารย์เว่ยที่สกุลหลินให้ความสำคัญ ต้องเป็นคนที่มีสมรรถนะทางวัฒนธรรมแน่นอน

 

 

ทั้งสองคนไม่ว่าจะมองจากด้านไหน ก็ไม่มีทางอยู่ในระดับชั้นเดียวกันได้

 

 

 

 

ทางด้านนี้ ฉินหร่านที่อยู่ในห้องพยาบาลก็กำลังกินข้าวอยู่เหมือนกัน

 

 

ลู่จ้าวอิ่งสั่งอาหารมื้อใหญ่บำรุงสมองให้เธอเป็นพิเศษด้วย

 

 

ฉินหร่านกินอย่างเชื่องช้า

 

 

ตอนที่กลับห้องหลังกินเสร็จแล้ว นักเรียนห้องเก้าก็มากันพอสมควรแล้ว ต่างก็กำลังลากโต๊ะเก้าอี้ เริ่มจัดสนามสอบ

 

 

ฉินหร่านลากเก้าอี้ของตัวเองกับหลินซือหรานพร้อมกับพวกเขาด้วยความยืดยาด ไม่นานก็ถูกผู้ชายที่นั่งข้างหน้าแย่งไป

 

 

พอเห็นแบบนี้ ฉินหร่านก็ไม่แย่งเขา

 

 

“หรานหร่าน เธอดูดีขึ้นเยอะเลยนี่นา” หลินซือหรานเห็นคิ้วที่ขมวดมาสามวันของฉินหร่านคลายแล้ว ก็อดพูดด้วยความตกใจไม่ได้

 

 

ฉินหร่านดึงเสื้อกันหนาวของตัวเอง ได้ยินดังนั้น ก็ตอบแค่อืม

 

 

น้ำเสียงก็ราบเรียบทีเดียว ไม่ได้ก้มหน้าหมดความอดทนอย่างก่อนหน้านี้

 

 

ตอนแรกหลินซือหรานยังกังวลว่าวันนี้ฉินหร่านจะตึงเครียด

 

 

เพราะเมื่อคืนฉินหร่านดูเหลืออดมากทีเดียว ตอนนี้เห็นท่าทางของเธอดูเหมือนจะดีมาก ก็โล่งใจทันที

 

 

ครั้งนี้กำหนดเวลาเหมือนการสอบเข้ามหาวิทยาลัย

 

 

เคร่งครัดสุดขีด

 

 

ที่นั่งเรียงลำดับตามผลคะแนนของการสอบประจำเดือน เริ่มจัดสนามสอบหลังจากห้องหนึ่ง นักเรียนห้องหนึ่งอยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกของโรงเรียนเกือบจะทั้งห้อง ระดับกลางๆ จะไปสอบที่ห้องบรรยาย

 

 

ฉินหร่านเป็นอันดับสุดท้ายที่ฟ้าผ่าก็ไม่หวั่นไหวทุกครั้ง แน่นอนว่าอยู่สนามสอบสุดท้าย

 

 

วิชาแรก สอบวิชาวรรณกรรมตอนเก้าโมง

 

 

ฉินหร่านใช้ดินสอ 2B ฝนกระดาษคำตอบ และใช้ปากกาดำเขียนคำตอบ

 

 

“เจ๊ฉิน เธอไม่พกยางลบเหรอ” เพื่อนร่วมโต๊ะของเฉียวเซิงก็อยู่สนามสอบสุดท้ายเหมือนกัน

 

 

เขาเห็นฉินหร่านมีแค่ดินสอกับปากกาสองแท่ง

 

 

เมื่อคิดๆ ดูแล้วว่าอีกคนเป็นบิ๊กบอส แค่เคาะหัน ก็นึกออกทันที ก็จริง บิ๊กบอสจะมีของอย่างยางลบได้อย่างไร

 

 

สองมือประคองยางลบของตัวเองทันที ยื่นให้ฉินหร่านในท่าโค้งตัว 90 องศา “เจ๊ฉิน ใช้สิ ใช้ทอยลูกเต๋าตอนทำข้อสอบปรนัยได้

 

 

ฉินหร่าน “…”

 

 

เธอนั่งอยู่แถวสุดท้าย ตำแหน่งสุดท้าย ติดกับประตูห้องบรรยาย

 

 

หลี่อ้ายหรงคุมสอบห้องข้างๆ ตอนเดินผ่านที่นี่ ก็ย่อมเห็นฉากนี้เข้าเป็นธรรมดา

 

 

ฉินหร่านเป็นต้นแบบของห้องเก้า

 

 

ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็จะเป็นจุดเด่นที่สุดของผู้คน ทั้งดูเซื่องซึมและเถื่อนนิดหน่อย

 

 

หลี่อ้ายหรงเหลือบมองแวบหนึ่ง นัยน์ตาหม่นหมอง

 

 

ในอีจงแม้จะเป็นสนามสอบสุดท้ายก็ตาม คุณภาพของนักเรียนก็ไม่ถือว่าแย่เกินไป ไม่พูดถึงกระดาษทด อย่างน้อยพวกเขาก็พกถุงดินสอ หรือไม่ก็ยางลบ

 

 

มีแค่ฉินหร่านนี่แหละ นอกจากปากกาดินสอที่ใช้เขียนแล้ว อย่างอื่นไม่มีอะไรเลย

 

 

คนแบบนี้ เหมือนนักเรียนที่จะตั้งใจสอบไหม

 

 

ความไม่สบายอันน้อยนิดของหลี่อ้ายหรงหายไปอย่างหมดจด

 

 

ขี้เกียจจะพูดอะไรกับอาจารย์ผู้คุมสอบ ละสายตา หันตัวกลับไปที่สนามสอบข้างๆ

 

 

 

 

ในการสอบกลางภาคครั้งนี้ไม่ว่าเนื้อหา เวลาสอบ หรือระดับความคุมเข้ม ล้วนปฏิบัติตามมาตรฐานของการสอบเข้ามหาวิทยาลัย

 

 

และเป็นการทดสอบมาตรฐานกลางทั่วเมืองครั้งแรก ทางโรงเรียนให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ทุกสนามสอบจะมีครูผู้คุมสอบสองคน

 

 

แต่เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ที่คุมสนามสอบสุดท้ายไม่มีใครจริงจังมากนัก หลังเปิดเครื่องตรวจจับสัญญาณโทรศัพท์แล้ว ก็นั่งดื่มช้าพูดคุยกันข้างหน้า

 

 

เสียงกริ่งเตรียมตัวดังขึ้น

 

 

อาจารย์เริ่มแจกข้อสอบ “ทุกคนรู้กฎดี อย่าลอกกัน และห้ามหยิบมือถือขึ้นมา เครื่องตรวจจับอยู่ตรงนี้ อีกอย่าง จะเข้าห้องน้ำต้องให้อาจารย์ไปด้วย”

 

 

“มีเครื่องตรวจจับสัญญาณด้วย เข้มงวดจังเลย…”

 

 

“อาจารย์ อย่าสิ อาจารย์ไปห้องน้ำกับผม ผมกลัวนะ…”

 

 

“สอบกลางภาค ไม่ต้องถึงขั้นนี้หรอกมั้ง…”

 

 

ข้างล่างพากันโอดครวญ

 

 

ไม่มีใครคิดเลยว่า จะเข้มงวดขนาดนี้

 

 

กระดาษข้อสอบถูกส่งจากข้างหน้าไปข้างหลัง

 

 

คนที่นั่งแถวรองสุดท้ายรู้ว่าคนนี้เป็นดาวโรงเรียน บิ๊กบอสแห่งห้องเก้าที่แม้แต่เว่ยจื่อหังยังกลัว

 

 

เขาเรียกความมั่นใจอยู่นาน กว่าจะยื่นมือส่งกระดาษข้อสอบไปให้ด้วยความระมัดระวัง

 

 

ฉินหร่านสวมยูนิฟอร์มที่วางอยู่อีกฝั่ง กระแอมไอ ในห้องเงียบสงัด เธอกระซิบพูดว่า “ขอบใจ”

 

 

นักเรียนแถวรองสุดท้ายหันกลับมาด้วยท่าทีจริงจัง ตอบเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไร”

 

 

ฉินหร่านเปิดดูข้อสอบก่อน จากนั้นมองมือขวาแล้วมองมือซ้ายของตัวเอง ขมวดคิ้ว

 

 

เอ่อ จะใช้มือข้างไหนล่ะ