ตอนที่ 118 ถูกทุกข้อ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

หลังกริ่งเตรียมตัวดังขึ้น เสียงกริ่งของการสอบอย่างเป็นทางการก็ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

 

อาจารย์ผู้คุมสอบสองคนเดินวนเวียนหน้าคนหลังคนอย่างสบายใจ

 

 

อาจารย์คุมสอบเป็นชายคนหญิงคน อาจารย์ผู้ชายยืนอยู่แถวหลัง เห็นนักเรียนทุกคนในสนามสอบอยู่ในสายตา

 

 

นักเรียนคนอื่นเริ่มฝนรหัสประจำตัวของตัวเองบนกระดาษคำตอบแล้ว นักเรียนหญิงที่นั่งตำแหน่งสุดท้ายของแถวสุดท้ายกลับนั่งเหม่อมองมือของตัวเอง ดูแปลกแยกจากกลุ่มคนพวกนี้

 

 

แต่เป็นสนามสอบสุดท้าย รวมพวกกลุ่มคนประหลาดไว้อยู่แล้ว อาจารย์ผู้คุมสอบก็ใช่ว่าจะเพิ่งเคยคุมสนามสอบสุดท้ายครั้งแรก จึงไม่ใส่ใจ

 

 

ที่น่าแปลกก็คือ ตอนแรกนักเรียนหญิงคนนั้นใช้มือขวาฝนรหัสนักเรียนบนกระดาษคำตอบอยู่ดีๆ ตอนที่เขียนชื่อกลับใช้มือซ้ายแทนเสียอย่างนั้น

 

 

ถนัดซ้าย?

 

 

อาจารย์ผู้ชายทนไม่ไหวสาวเท้าเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง เหลือบมองโดยไม่ตั้งใจแวบหนึ่ง นักเรียนหญิงคนนี้ใช้มือซ้ายเขียนดูเหมือนจะช้านิดหน่อย แต่ลายมือกลับเป็นระบบระเบียบ ไม่ไก่เขี่ยเหมือนคนอื่น

 

 

ฉินหร่านเริ่มเปิดข้อสอบแล้ว

 

 

ข้อสอบวิชาวรรณกรรมเริ่มต้นด้วยการอ่านตีความเหมือนที่เคย

 

 

เริ่มจากข้อใหญ่ของการอ่านตีความ ก็พบกับความลำบากแล้ว บทความก็คลุมเครือเข้าใจได้ยาก ประโยคยาวมากไวยากรณ์ต่างๆ นานาเรียงกันมา

 

 

การอ่านตีความแค่เริ่มก็ยากขนาดนี้แล้ว มีคนในสนามสอบเริ่มอ่านไม่เข้าหัว บ่นอุบอิบแล้ว

 

 

“โห แค่ข้อสอบกลางภาคยังยากขนาดนี้” มีผู้ชายพูดเสียงเบา

 

 

เพื่อนร่วมโต๊ะของเฉียวเซิงอยู่ข้างหน้าเยื้องกับโต๊ะของฉินหร่าน ปกติฉินหร่านเอะอะก็หมดความอดทนแล้ว

 

 

เขาเป็นห่วงสถานการณ์ของฉินหร่านนิดหน่อย

 

 

พอหันหน้า กลับเห็นฉินหร่านกำลังพลิกกระดาษข้อสอบ…

 

 

ดูท่าทางแล้วยังพอไหว

 

 

อ่านบทความเสร็จก็ตอบคำถามทันที

 

 

อาจารย์ผู้คุมสอบข้างหลังสังเกตฉินหร่านอยู่ตลอด พบว่าถึงเธอจะเขียนช้า แต่แทบจะไม่หยุดเขียน ไม่มีเวลาคิดด้วยซ้ำ เขียนอย่างสบายๆ

 

 

ฉินหร่านพลิกกระดาษข้อสอบ ทุกข้อตอบได้ตรงประเด็น

 

 

พอเขียนโจทย์ข้างหน้าเสร็จ เธอก็พลิกไปหน้าสุดท้ายเริ่มอ่านโจทย์เรียงความ

 

 

ตอนนี้สนามสอบสุดท้ายเริ่มสร้างความวุ่นวายแล้ว มีคนฉวยโอกาสตอนที่อาจารย์ไม่สังเกตเริ่มส่งคำตอบข้อสอบปรนัยกัน

 

 

ต่างก็เป็นนักเรียนในสนามสอบสุดท้าย จะมีใครดีไปกว่ากัน

 

 

ฉินหร่านยังคงเขียนเรียงความอย่างเชื่องช้า มือซ้ายของเธอเขียนได้ช้าจริงๆ

 

 

ตอนแรกอาจารย์ผู้ชายที่จับตามองเธออย่างใกล้ชิดคนนั้นยังกังวลว่าเธอเขียนช้าขนาดนี้ จะส่งข้อสอบได้ทันเวลาหรือไม่ สุดท้ายพบว่าแม้เธอจะเขียนช้า แต่เธอแทบจะไม่หยุดเลย ก็โล่งใจ

 

 

กระทั่งสุดท้ายตอนที่ฉินหร่านทำข้อสอบเสร็จแล้ว ยังเหลือเวลาอีกยี่สิบนาที

 

 

ฉินหร่านหาวหวอดๆ ขยับข้อสอบไปไว้อีกมุม คลำหากบเหลาดินสอออกจากลิ้นชักใต้โต๊ะมาเหลาดินสอ

 

 

วางข้อสอบแผ่หลาอยู่มุมนั้น คนที่สอบในสนามสอบเดียวกันรู้จักเธอกันหมด

 

 

ดาวเด่นของมอปลายปีสามห้องเก้า ต่อให้วางข้อสอบอยู่ตรงหน้าทุกคน พวกเขาก็ไม่คิดอะไรมาก อย่างมากก็แค่แอบมองว่าข้อสอบของบิ๊กบอสตอบไปกี่ข้อ

 

 

 

 

หลังสอบวิชาวรรณกรรมช่วงเช้าเสร็จ ปฏิกิริยาในห้องยังไม่นับว่ารุนแรงมากนัก

 

 

กระทั่งสอบวิชาคณิตศาสตร์ตอนบ่าย นักเรียนมัธยมปลายปีสามก็อาการแย่กันหมดแล้ว

 

 

“หัวข้อใหญ่สองข้อสุดท้าย ฉันไม่ได้ทำสักข้อเลย” คาบเรียนด้วยตัวเองตอนเย็น นักเรียนกลุ่มหนึ่งนั่งสุมหัววิเคราะห์ข้อสอบคณิต ผู้ชายคนหนึ่งพูดอย่างหมดอาลัยตายอยากว่า “จากนั้นฉันก็อ่านชื่อคนออกข้อสอบแวบหนึ่ง คือโฮ่วเต๋อหลง”

 

 

โฮ่วเต๋อหลง คนบ้าบิ่นที่วิจัยข้อสอบโอลิมปิกโดยเฉพาะในมณฑล

 

 

มักจะเป็นคนออกข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย

 

 

ไม่ใช่ว่านักเรียนอีจงจะไม่เคยทำข้อสอบของโฮ่วเต๋อหลง แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่า ข้อสอบกลางภาค โรงเรียนจะงัดไม้ตายมาเล่นกับพวกเขา

 

 

“คุณชายสวี ทำข้อสอบวิชาคณิตเสร็จหรือเปล่า” เฉียวเซิงเขียนได้ไม่เยอะ ตอนแรกสอบเสร็จแล้วอ่อนเพลียอย่างมาก พอได้ยินคนในห้องคุยกัน เขาก็ไม่กังวลขนาดนั้นแล้ว

 

 

สวีเหยากวงเป็นคนที่เก่งวิชาคณิตที่สุดในโรงเรียน ตอนที่สอบเข้าโรงเรียน ตอนแรกเขาควรจะอยู่ห้องหนึ่ง แต่สุดท้ายได้ยินว่าอาจารย์เกาหยางดูแลห้องเก้า เขาเลยมาอยู่ที่ห้องเก้า

 

 

อาจารย์เกาหยางเคยดูแลห้องที่สอบโอลิมปิกคณิตศาสตร์

 

 

“ข้อสุดท้ายไม่ได้ตอบ” เสียงของสวีเหยากวงยังคงสั้นกระชับ

 

 

เขาถือมือถือ ก้มหน้าส่งข้อสอบคณิตเมื่อตอนบ่ายให้ฉินอวี่

 

 

พรุ่งนี้ยังมีสอบอีกสองสนาม นักเรียนบางส่วนในห้องเริ่มตรวจคำตอบกัน หลังถามสวีเหยากวงไม่กี่ข้อแล้ว ก็เริ่มเจ็บใจกันสุดขีด

 

 

เฉียวเซิงเลยถามพวกเขาว่าทำไมต้องถามคำตอบจากสวีเหยากวงให้ได้

 

 

เท่ากับกระตือรือร้นจะยอมรับชะตา รนหาเรื่องให้เจ็บใจเองไม่ใช่เหรอ

 

 

แต่ก็มีคนเริ่มทบทวนวิชาวิทยาศาสตร์กับภาษาอังกฤษแล้ว

 

 

ทั้งห้องมีแค่ฉินหร่านที่ยังคงนิ่งสงบ เซี่ยเฟยนั่งบนที่นั่งข้างหน้าเธอ กำลังจะท่องสูตรเคมีให้เธอฟัง

 

 

ฉินหร่านล้วงแบบฝึกหัดวิชาชีววิทยาเล่มหนึ่งออกมา มองเธอช้าๆ “อ่า เธอไม่ต้องกลับไปทบทวนเหรอ”

 

 

ท่าทางของฉินหร่านดูพอใช้ได้ เซี่ยเฟยครางรับอ่อ ถึงได้เริ่มถามว่าฉินหร่านเป็นอย่างไรบ้าง

 

 

ปกติฉินหร่านสอบไม่เคยเขียนเลย ถ้าไม่ลอกหลินซือหราน เวลาลอกมักจะเลี่ยงคำตอบที่ถูกต้องได้เสมอ

 

 

หลินซือหรานกังวลว่าข้อสอบวิชาวรรณกรรมยาวขนาดนั้นเธอจะอ่านหรือเปล่า

 

 

ก่อนสอบ พวกเขาเคยบอกฉินหร่านแล้ว ถ้าเจอข้อที่ทำไม่เป็น ก็ให้ลอกหัวข้อ

 

 

ถ้าเป็นข้อสอบปรนัยไม่ต้องสนใจอะไรทั้งสิ้น เลือก c ให้หมด อิงจากสถิติการทำโจทย์ของพวกเขา c มีความเป็นไปได้สูงที่สุด

 

 

ครั้งนี้ตรวจคำตอบกับสวีเหยากวงแล้ว สัดส่วนของ c ก็ดีงามมากทีเดียว

 

 

ฉินหร่านถือปากกาตอบอืมอย่างไม่ยี่หระ และเริ่มทำแบบฝึกหัดจากแบบฝึกหัดเคมีเล่มนี้ที่เฉิงเจวี้ยนเพิ่งซื้อมาวันนี้

 

 

 

 

วันต่อมา ช่วงเช้าสอบวิชาวิทยาศาสตร์ ช่วงบ่ายสอบวิชาภาษาอังกฤษ

 

 

วิทยาศาสตร์สอบวิชาฟิสิกส์ เคมีและชีววิทยาพร้อมกันทั้งสามวิชา

 

 

ก่อนสอบ ผู้ชายที่สอบสนามเดียวกับฉินหร่านทำตามคำสั่งของเฉียวเซิง ท่องสูตรต่างๆ ให้ฉินหร่านฟัง และกำชับเธอให้เลือกตอบ c ทั้งหมด

 

 

ครั้งนี้ฉินหร่านโชคไม่ค่อยดี หนึ่งในอาจารย์ผู้คุมสอบคือหลี่อ้ายหรง

 

 

ฉินหร่านกับผู้ชายคนนั้นไม่มองหลี่อ้ายหรงเลย

 

 

หลี่อ้ายหรงกลับจงใจหยุด มองสองคนเชิงเย้ยหยัน “ปกติไม่ตั้งใจเรียน มาเร่งเอาก่อนสอบจะมีประโยชน์อะไร”

 

 

หลี่อ้ายหรงทึกทักไปเอง ตอนที่คุมสอบ ก็เอาแต่จับตามองสองคนนี้

 

 

ทั้งสองคนก้มหน้าก้มตาทำข้อสอบอยู่ตลอด แทบจะไม่เงยหน้าขึ้นเลย

 

 

ข้อสอบปรนัยหกข้อแรกเป็นโจทย์ฟิสิกส์

 

 

ทั้งไฟฟ้า สนามแม่เหล็กและการเคลื่อนที่ของวัตถุผสมผสานกัน ฉินหร่านอ่านครั้งแรก หยิบดินสอคำนวณบนกระดาษทด ตอนแรกจะเขียน แต่กลับหยุดชะงัก มองโจทย์ฟิสิกส์พวกนี้อยู่นานสองนาน

 

 

แล้วค่อยขยับปากกา

 

 

โจทย์พวกนี้ไม่มีตัวหนังสือเยอะเหมือนวิชาวรรณกรรม ฉินหร่านส่งข้อสอบก่อนวิชาที่แล้วเกือบครึ่งหนึ่งของเวลา

 

 

ตอนบ่ายฉินหร่านส่งข้อสอบเร็วกว่าเดิม ข้อสอบการฟังใช้เวลา 30 นาที จากนั้นเธอก็ใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงในการทำโจทย์ข้างหลัง เสียเวลาตอนฝนคำตอบกับเขียนเรียงความภาษาอังกฤษมากไปหน่อย

 

 

 

 

เพราะสุดสัปดาห์นี้สอบ วันเสาร์ฉินหร่านเลยไม่ได้ไปเยี่ยมเฉินซูหลาน

 

 

หลังสอบวิชาภาษาอังกฤษวิชาสุดท้ายเสร็จ ฉินหร่านถึงได้ไปหาเฉินซูหลาน

 

 

เฉิงเจวี้ยนกับลู่จ้าวอิ่งรอเธอที่หน้าโรงเรียน

 

 

“สอบเป็นยังไงบ้าง” ลู่จ้าวอิ่งถามเธอ

 

 

ฉินหร่านครุ่นคิด จากนั้นเอ่ยปากว่า “พอได้ละมั้ง”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งสำรวจท่าทางของเธอ จากนั้นพยักหน้า บ่งบอกว่าเข้าใจ

 

 

ตอนกลางวันมีนักเรียนที่สอบเข้าห้องพยาบาลเพราะท้องเสีย บ่นกับลู่จ้าวอิ่งว่าข้อสอบครั้งนี้ยากแค่ไหน

 

 

ตอนแรกทั้งสองคนยังกลัวว่าเธอจะกดดันกับการสอบครั้งนี้ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ต่างอะไรกับที่ผ่านมา จึงไม่ได้พูดอะไรมาก

 

 

 

 

โรงเรียนเหิงชวนอีจงมีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง

 

 

เพราะต้องคำนวณค่าเฉลี่ย คำนวณอันดับของทั้งเมืองด้วย เหล่าอาจารย์กินมื้อเย็นเสร็จต่างก็ตรวจข้อสอบล่วงเวลา

 

 

อาจารย์ถือกระดาษคำตอบพร้อมกับเทียบเกณฑ์คะแนน พลางพูดคุยกันไปด้วย “ครั้งนี้ยากมากเลย นักเรียนพวกนั้นย่ำแย่กันมาก ฉันก็ไม่คิดเลยว่า พวกเขาจะเชิญโฮ่วเต๋อหลงมาออกข้อสอบ”

 

 

เป็นที่รู้กันดีว่าข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ยาก แต่พอเห็นนักเรียนเว้นหัวข้อใหญ่ข้อท้ายๆ กันเยอะอาจารย์พวกนี้ก็วิตกกังวล

 

 

การสอบกลางภาคครั้งนี้เป็นการทดสอบมาตรฐานกลางทั่วเมือง แถมยังต้องแข่งขันกับไม้เบื่อไม้เมาอย่างโรงเรียนอวิ๋นเฉิงอีจง ไม่ได้สำคัญน้อยไปกว่าการสอบปลายภาคเลย

 

 

ไม่ใช่แค่ค่าเฉลี่ยของทุกห้องที่จะถูกนำมาเทียบกับโรงเรียนทั่วเมืองเท่านั้น หลายโรงเรียนยังคำนวณเกณฑ์คะแนนโดยอิงจากหลายปีก่อน แบ่งเป็นระดับหนึ่ง ระดับสองและระดับสาม

 

 

ครั้งนี้จบเห่ วิชาคณิตศาสตร์แบบนี้ เส้นตัดคะแนนต่ำสุดอยู่ที่ระดับสาม

 

 

อาจารย์โฮ่วเต๋อหลงจะแบ่งแยกนักเรียนหัวกะทิ โรงเรียนมัธยมจะทดสอบความฉลาดของนักเรียนมัธยมปลายปีสาม ยากอย่างไรก็เอาอย่างนั้น

 

 

ยังดีที่อาจารย์โฮ่วเต๋อหลงไม่ได้บ้าบิ่นถึงขั้นตัดข้อสอบปรนัยทิ้ง เขายังให้โอกาสนักเรียนได้ทำข้อสอบปรนัย ไม่อย่างนั้นครั้งนี้คงจะพินาศกันหมด

 

 

ตั้งแต่ข้อสอบเติมคำไปจนถึงโจทย์คำนวณข้างหลัง เกือบจะทุกคนที่ทำแค่ไม่กี่ข้อ

 

 

ข้างหน้ายังพอมีคนทำบ้างประปราย

 

 

พอพลิกกระดาษคำตอบ หัวข้อใหญ่ข้างหลังก็ว่างเปล่ากันแทบจะทั้งหมด

 

 

จะพูดว่าว่างเปล่าก็ไม่ได้ ทุกข้อยังมีคำว่า ‘วิธีทำ’ ไม่ก็ ‘ตรวจคำตอบ’ อยู่

 

 

อาจารย์เริ่มพิจารณากันแล้วว่าจะให้คะแนนคนที่เขียนวิธีทำกับตรวจคำตอบหนึ่งคะแนนดีไหม

 

 

ต่างก็ประคองแก้วเก็บความร้อน เริ่มเคลือบแคลงใจแล้วว่าวิธีการสอนของตัวเองไม่ถูกต้อง

 

 

มีประโยคหนึ่งพูดว่า ถ้าไม่โชว์พลังให้เห็นตอนสอบ อาจารย์คิดว่าตัวเองสอนได้ดีมากหรือไง

 

 

จนกระทั่งอาจารย์ท่านหนึ่งตรวจกระดาษคำตอบแผ่นหนึ่ง

 

 

เขามองหน้าแรกของกระดาษคำตอบแผ่นนี้ นิ่งไปพักใหญ่…

 

 

ดูเหมือนว่าหน้าแรกของคนนี้จะถูกหมดเลย