ตอนที่ 119 ที่หนึ่ง ที่หนึ่งหมดเลย!

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เขาพลิกดูด้านที่สองโดยไม่รู้ตัว

 

 

เหนือความคาดหมายของเขา ข้อสามใหญ่ของหน้าที่สองก็เขียนแล้วเหมือนกัน เขาจำคำตอบก่อนหน้านี้ได้แทบจะขึ้นใจหมดแล้ว

 

 

เห็นกระดาษคำตอบที่แม้แต่หัวข้อใหญ่ด้านหลังก็ถูกเขียนจนหมดครั้งแรก เขาถือเฉลยพร้อมกับตรวจคำตอบไปด้วย

 

 

“อาจารย์เกา นี่ใช่นักเรียนห้องคุณ…สวีเหยากวงคนนั้นหรือเปล่า” อาจารย์สวีที่ตรวจข้อสอบอดอุทานไม่ได้ ชี้กระดาษคำตอบแผ่นสุดท้ายถามเกาหยาง “ข้อสอบปรนัยไม่เห็น แต่โจทย์ข้อใหญ่ข้างหลังได้คะแนนเต็ม คุณลองดูสิ”

 

 

ครั้งนี้โฮ่วเต๋อหลงออกข้อสอบยากเกินไป อีจงแทบจะพินาศกันหมด แยกออกแค่อัจฉริยะกับคนธรรมดา

 

 

แยกนักเรียนห่วยกับคนธรรมดาไม่ออกเลย

 

 

คิดไปคิดมา มีแต่สวีเหยากวงที่เคยเข้าร่วมการแข่งขันคณิตศาสตร์ของเหิงชวนอีจงเท่านั้นที่จะทำข้อสอบนี้ได้

 

 

“สวีเหยากวง?” เกาหยางดันแว่น มองมาด้วยความแปลกใจ “หัวข้อใหญ่ข้างหลังได้คะแนนเต็มเหรอ”

 

 

เขาเคยเห็นข้อสอบชุดนี้แล้ว ครั้งนี้โฮ่วเต๋อหลงเอาจริง ข้อสุดท้ายเป็นโจทย์แข่งขันชัดๆ แถมยังเป็นโจทย์วัดใจที่จะมีแค่ในการแข่งขันระดับนานาชาติเสียด้วย

 

 

ถ้าเป็นสมัยที่อบรมในห้องแข่งขันเมื่อก่อน สวีเหยากวงอาจจะทำได้

 

 

พอมองกระดาษคำตอบในมืออาจารย์สวี เขาไล่มองแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้าทันที “ไม่ใช่ลายมือของสวีเหยากวง”

 

 

กระดาษแผ่นนี้เขียนได้เป็นระเบียบเรียบร้อย

 

 

แต่ตัวหนังสือกลับให้ความรู้สึกอันคุ้นเคยของความไม่ยี่หระ

 

 

ลายมือของสวีเหยากวงเหมือนเขา หวัดนิดหน่อย แถมยังเจือความเย่อหยิ่ง ลายมือที่เป็นระเบียบเรียบร้อยแบบนี้ไม่ใช่ของสวีเหยากวงจริงๆ

 

 

“คงจะเป็นของพานหมิงเยว่ละมั้ง เธอเป็นพวกม้ามืด ผมจำได้ว่าตอนที่เธอเพิ่งเข้าโรงเรียนเราสอบคณิตไม่ผ่าน น่ากลัวจริงๆ” คนอื่นเริ่มซุบซิบกันขึ้นมา

 

 

แต่พอคนพวกนี้ตรวจกระดาษคำตอบที่เหลือเสร็จ

 

 

คะแนนที่สูงที่สุดคือ 86 คะแนน มาจากกระดาษคำตอบที่เกาหยางคิดว่าเป็นของสวีเหยากวง ตอนนี้ยืนยันแล้วว่าเป็นของพานหมิงเยว่กระดาษคำตอบที่ได้คะแนนเต็มเพียงหนึ่งเดียวถูกแยกไว้มุมหนึ่ง

 

 

ไม่นานก็มีอาจารย์ตรวจจนจะเป็นไบโพลาร์แล้ว คิดว่าเพราะปกติตัวเองสอนได้ไม่ดีหรือเปล่า แต่ละคนถึงได้แค่สามสิบสี่สิบคะแนน มาพลิกกระดาษคำตอบที่ได้คะแนนเต็มเรียกพลังสักหน่อยแล้วค่อยสู้กันต่อไป

 

 

อาจารย์คณิตศาสตร์ที่สอนห้องหนึ่งดีอกดีใจ

 

 

 

 

ทางด้านของฉินหร่านที่อยู่โรงพยาบาลไม่รู้เลยว่า อาจารย์กลุ่มหนึ่งกำลังรุมล้อมวิจารณ์กระดาษคำตอบของเธออยู่

 

 

เพราะเป็นเย็นวันอาทิตย์ ในโรงพยาบาลเลยมีแต่คุณยาย

 

 

พยาบาลกำลังเข็นท่านลงมาผ่อนคลายข้างล่างตึก

 

 

หนิงฉิงกับหนิงเวยมาเมื่อวานแล้ว ตอนนี้ไม่อยู่เลยสักคน

 

 

ฉินหร่านรับรถเข็นมาจากพยาบาล เข้าไปเข็นเฉินซูหลาน

 

 

“วันนี้สอบเป็นยังไงบ้าง” เฉินซูหลานพูดช้า แถมยังเบามาก เธอกดเสียงต่ำ กระแอมไอไปสองที

 

 

ฉินหร่านกำลังเข็นเฉินซูหลานไปทางเด็กกลุ่มหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าอย่างเกียจคร้าน ปากตอบไปว่า “พอใช้ได้ละมั้ง”

 

 

เฉินซูหลานพยักหน้า มือพาดบนรถเข็น “งั้นก็ดีแล้ว อย่าเข้าไปใกล้มาก ระวังจะแพร่เชื้อของยายให้เด็กๆ”

 

 

ฉินหร่านอยากพูดเหลือเกินว่า ยายน่ะร่างกายเสื่อมตามวัย ไม่ใช่โรคอะไรเลย มีเชื้อที่ไหนกัน

 

 

แต่พอคิดว่าเกิดเธอพูดออกไป ยายแก่ต้องมีวิธีทำให้เธอปิดปากแน่ๆ

 

 

ฉะนั้นจึงเปลี่ยนทิศทาง เข็นเฉินซูหลานไปยังริมน้ำพุที่อยู่ไม่ไกล

 

 

“หลานไปที่ห้องผู้ป่วย ไปหยิบกระเป๋าของยายมา” เฉินซูหลานเริ่มง่วงแล้ว แต่ยังไม่อยากกลับห้อง ยกมือขึ้นจรดข้างปากแล้วไอสองที ใช้ฉินหร่านไปหยิบของที่ห้อง

 

 

ฉินหร่านถือมือถือ ขว้างบอลที่เด็กคนหนึ่งไม่ระวังเผลอโยนมาทางนี้กลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน “ยายจะเอาอะไรในกระเป๋า”

 

 

“ตลับอันหนึ่ง ตลับเหล็ก” เฉินซูหลานอธิบายลักษณะของตลับให้ฉินหร่านฟัง

 

 

ข้าวของของเฉินซูหลานน้อย มีแค่กระเป๋าใบเดียว

 

 

เสื้อผ้าล้วนเป็นของที่หนิงฉิงซื้อให้ใหม่

 

 

ฉินหร่านค้นจนเจอตลับเหล็กในกระเป๋า ดูมีอายุมากแล้ว แถมยังมีรหัสล็อกด้วย

 

 

เธอลูบคางขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง คิดไม่ออกว่ายายของเธอมีของแบบนี้ได้อย่างไร

 

 

ตอนที่ลงจากตึก เด็กพวกนั้นยืนอยู่ข้างเฉินซูหลาน เงยหน้าพูดอะไรบางอย่างกับเฉินซูหลานอย่างยิ้มแย้ม

 

 

ตอนที่เฉินซูหลานเดินเข้าไป จู่ๆ เด็กผู้ชายหัวโจกที่กำลังคุยกับเฉินซูหลานเป็นจริงเป็นจังคนนั้นก็หันหน้าหนี ซ้ำยังใช้สายตาเมียงมองฉินหร่านอยู่บ่อยครั้ง

 

 

ฉินหร่านยื่นของให้เฉินซูหลาน นั่งลงข้างรถเข็น มือหนึ่งเท้าคาง อีกข้างหยิบมือถือออกมาไถเล่น

 

 

ก้มหน้าก้มตา ไม่พูดไม่จา แต่สายตากลับดูเย็นเยือกและเฉยชา แผ่กลิ่นอายห้ามคนแปลกหน้าเข้าใกล้

 

 

เด็กพวกนี้มองเธออย่างลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ต่างก็ไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้

 

 

ในมือถือมีแต่ข้อความจากกลุ่มของห้อง

 

 

เฉียวเซิง ‘ติ้งต่อง วิชาวิทย์กับอังกฤษตายเรียบ’

 

 

จ้งต๋า ‘+1’

 

 

ที่เหลือก็มีแต่ข้อความจากหมายเลขที่ขึ้นต้นด้วย +10086 ตามด้วยรหัสบัตรประจำตัวประชาชน

 

 

เฉียวเซิง ‘ฉันถามนักเรียนห้องหนึ่งแล้ว ได้ยินว่าข้อใหญ่ข้อสุดท้ายพานหมิงเยว่คนนั้นไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว @สวีเหยากวง คุณชายสวี นายเขียนไปเท่าไหร่’

 

 

สวีเหยากวง ‘เขียนไม่หมด’

 

 

เฉียวเซิง ‘โล่งอกทันที’

 

 

เฉินซูหลานรับตลับเหล็กมา วางลงบนหัวเข่า ยื่นมือไปลูบไล้อยู่นาน สุดท้ายก็มองฉินหร่านที่นั่งอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง

 

 

ครุ่นคิดครู่ใหญ่ จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาว่า “หรานหร่าน ตาของหลาน…”

 

 

“หา” ฉินหร่านเงยหน้าขึ้น เธอเอนตัวพิงม้านั่ง ราวกับรู้ว่าเฉินซูหลานจะพูดอะไร น้ำเสียงราบเรียบ “หนูไม่เอา”

 

 

เฉินซูหลานชะงัก ช่วงนี้เธอดูแก่ขึ้นไม่น้อยเลย

 

 

ดูเหมือนอากาศจะอึมครึมขึ้นมาอีกเลย สายลมพัดเข้าคอ เย็นเยียบนิดหน่อย

 

 

ฉินหร่านหลุบตา รูดซิปเสื้อนอกของโรงเรียนขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเฉย

 

 

พยาบาลแจ้งฉินหร่านให้เข็นเฉินซูหลานกลับไป

 

 

 

 

เวลาแค่พริบตาเดียว วันจันทร์ก็มาถึงแล้ว

 

 

ข้อสอบส่วนใหญ่ตรวจเสร็จหมดแล้ว ช่วงเช้าของวันจันทร์ ก็มีคนได้ยินข่าวแล้วว่าคะแนนไม่สูง

 

 

ฝ่ายไอทีของโรงเรียนกำลังทำตารางคะแนน

 

 

ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือนักเรียนต่างก็ตื่นเต้นกันมาก

 

 

คาบเรียนด้วยตัวเองตอนกลางวัน วันจันทร์

 

 

ตัวแทนติววิชาเคมีไปส่งการบ้านที่ห้องพักครูกลับเข้าห้องมาด้วยท่าทางยากจะคาดเดา “ฉันเห็นอาจารย์หลายคนเอากระดาษคำตอบกลับมาแล้ว คะแนนน่าจะคำนวณเสร็จแล้ว!”

 

 

ข่าวนี้เป็นเหมือนชนวนระเบิด ทำให้ทั้งห้องระเบิด

 

 

“นายเห็นคะแนนหรือเปล่า เห็นอันดับไหม” นักเรียนคนอื่นกรูเข้ามาถามทันที

 

 

“ตอนที่ฉันไปเห็นอาจารย์เฉินถือกระดาษคำตอบปึกหนึ่งพอดี คะแนนน่าจะกำลังพิมพ์อยู่” ตัวแทนติววิชาเคมีลูบหัว “ฉันคิดว่าเลิกเรียนตอนเย็น น่าจะแจกกระดาษพวกนั้นแล้ว”

 

 

ได้ยินเขาพูดแบบนี้ นักเรียนห้องเก้าก็ร้อนใจยิ่งกว่าเดิม

 

 

แต่ร้อนใจไปก็ไม่เห็นอะไร

 

 

มีคนแอบไปดูที่ห้องพักครูให้แน่ชัด

 

 

“คุณชายสวี นายไม่ไปดูหน่อยเหรอ” เฉียวเซิงก็ร้อนใจเหมือนกัน

 

 

ในการสอบครั้งนี้คนในห้องต่างก็ทุ่มเทสุดความสามารถ หลี่อ้ายหรงทิ้งพวกเขาไปเพราะฉินหร่าน คนอื่นกลัวว่าฉินหร่านจะกดดันด้วยสาเหตุนี้

 

 

เฉียวเซิงคิดว่า ถ้าสวีเหยากวงไป ไม่แน่ว่าอาจจะได้ผลคะแนนก่อนอาจารย์แต่ละคนก็ได้

 

 

เพราะเขามีเส้นสาย

 

 

เลยคอยยุยงสวีเหยากวงให้ไปเอาผลคะแนนสอบที่ห้องสุดพลังสวีเหยากวงกำลังเล่นมือถือ มืออีกข้างถือดินสอกำลังขีดเขียนอะไรบางอย่าง ตอนที่คุยกับเฉียวเซิงก็ไม่ค่อยแยแสเท่าใดนัก “ไม่ไป ฉันเดาคะแนนไว้แล้ว”

 

 

เฉียวเซิงชะงัก จากนั้นก็กลอกตา

 

 

สวีเหยากวงเป็นประเภทปัญญาชน ข้อที่ทำได้ทุกครั้งในการสอบก็ได้คะแนนทั้งหมด ข้อที่ทำไม่ได้ตัวเขาเองรู้ดี

 

 

ทุกครั้งที่คาดเดาคะแนนจะมีแค่วิชาวรรณกรรมที่ต่างอยู่สองสามคะแนน

 

 

พิลึกคนเหลือเกิน

 

 

เฉียวเซิงเหลือบตามอง เห็นสวีเหยากวงกำลังวิเคราะห์ข้อสอบฟิสิกส์ของเช้าเมื่อวานอยู่

 

 

ข้างๆ มือกระดาษทดสองชุดวางอยู่ แผ่นหนึ่งน่าจะเป็นของตัวเอง เขาเขียนลงไปทั้งหมดโดยที่ไม่ขาดแม้แต่ตัวเดียว

 

 

มีอีกแผ่นหนึ่ง

 

 

เฉียวเซิงสังเกตเห็นหน้าจอมือถือของสวีเหยากวงมีภาพขยายของกระดาษแผ่นหนึ่ง ถ้าเดาไม่ผิดล่ะก็ น่าจะเป็นวิธีทำของคำตอบที่ฉินอวี่ส่งมาให้สวีเหยากวงกำลังวิเคราะห์

 

 

เฉียวเซิงดูอยู่นานสองนาน รู้สึกไม่น่าสนใจ เลยหันกลับไปมองฉินหร่านแวบหนึ่ง

 

 

ฉินหร่านยังคงใช้เสื้อนอกของโรงเรียนคลุมหัวเช่นเคย สายหูฟังสีดำห้อยลงมาตามแนวเสื้อของเธอ น่าจะกำลังหลับอยู่

 

 

เพราะช่วงนี้สอบ ฉินหร่านไม่ได้อ่านหนังสือนอกเวลา ไม่ได้เล่นเกม แถมยังทนทุกข์ทรมานจากคนทั้งห้องจนเอียนแล้ว

 

 

เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงที่น่าเวทนามากคนหนึ่ง

 

 

เฉียวเซิงคิดๆ ดูแล้ว เลยไม่รบกวนฉินหร่าน หันกลับไปเริ่มคุยเรื่องนี้กับผู้คนรอบข้าง

 

 

 

 

ในเวลาเดียวกัน ณ ห้องพักครูใต้ตึก

 

 

อาจารย์แต่ละวิชาได้กระดาษคำตอบของวิชาตัวเองแล้ว เพราะเป็นกระดาษคำตอบ ไม่มีอะไรน่าดู

 

 

อาจารย์พวกนี้วางกระดาษคำตอบลง เปิดคอมพิวเตอร์ เริ่มเปิดดูตารางคะแนนที่หัวหน้าวิชาการเพิ่งส่งในกลุ่มอาจารย์

 

 

หลี่อ้ายหรงมักจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษทุกครั้ง

 

 

เธอรับผิดชอบห้องหนึ่ง ห้องเรียนรวมตัวนักเรียนที่ดีที่สุดของโรงเรียน ทุกครั้งที่คะแนนออกนักเรียนของเธอจะอยู่ในห้าสิบอันดับแรก

 

 

ครั้งนี้ก็ไม่เกินคาด

 

 

เธอดูคะแนนรวมของห้องตัวเองก่อน ไม่เกินความคาดหมายเลยสักนิด พานหมิงเยว่ได้คะแนนรวมเป็นอันดับหนึ่ง

 

 

หลังสอบครั้งนี้เสร็จ หลี่อ้ายหรงก็หารือกับอาจารย์วิชาอื่นของห้องหนึ่งแล้ว ข้อสอบครั้งนี้ยากผิดปกติ

 

 

คะแนนรวมของพานหมิงเยว่คือ 709 คะแนน อยู่ในอันดับสองของโรงเรียน ไม่แปลกใจเลย งั้นที่หนึ่งก็เป็นของสวีเหยากวง

 

 

อันดับสองตลอดกาลของพานหมิงเยว่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร

 

 

หลี่อ้ายหรงเริ่มดูคะแนนสอบวิชาภาษาอังกฤษ

 

 

เธอให้ความสำคัญกับคะแนนสอบวิชาภาษาอังกฤษของห้องตัวเองมาก ขอแค่มีคาบเรียนด้วยตัวเอง ก็จะให้นักเรียนห้องหนึ่งทำแบบฝึกหัด ควิซภาษาอังกฤษนานาชนิดทุกครั้ง

 

 

ตารางนี้รวมคะแนนไว้แล้ว แค่เลือกวิชาก็จะฉายตารางห้าแถวขึ้นมาใหม่

 

 

แถวแรกคือชื่อสกุล แถวที่สองเป็นผลคะแนนเฉพาะวิชา แถวที่สามเป็นอันดับเฉพาะวิชาของห้อง แถวที่สี่คืออันดับของทั้งโรงเรียน แถวที่ห้าเป็นอันดับของทั้งเมือง

 

 

ตัวเลขแต่ละแถวของพานหมิงเยว่คือ

 

 

พานหมิงเยว่ 143 1 3 4

 

 

สองแถวแรกไม่มีปัญหา แต่แถวที่สามนี่มันอะไรกัน

 

 

หลี่อ้ายหรงสะดุ้งนั่งตัวตรง ที่หนึ่งของห้อง ได้แค่ที่สามของโรงเรียนเหรอ

 

 

ในโรงเรียนนอกจากสวีเหยากวงแล้ว ยังมีคนที่สองที่ได้คะแนนดีกว่าพานหมิงเยว่ ได้คะแนนเยอะกว่านักเรียนที่เธอสอนอีกงั้นเหรอ

 

 

หลี่อ้ายหรงเห็นข้อสอบภาษาอังกฤษแล้ว ระดับความยากสูง ข้อสอบการฟังลึกล้ำ ข้อสอบเติมคำหลอกเยอะ การอ่านตีความคลุมเครือเข้าใจยาก มีแต่ศัพท์แปลกๆ หลายคนทำเสร็จยังไม่รู้ความหมายด้วยซ้ำ

 

 

คงจะเพราะนักเรียนคนนั้นโชคดีละมั้ง

 

 

แต่แม้จะเป็นแบบนี้ หลี่อ้ายหรงก็ขมวดคิ้ว ไม่ค่อยพอใจกับเรื่องนี้เท่าใดนัก

 

 

เธอภูมิใจในคุณภาพการสอนมาตลอด สวีเหยากวงคว้าที่หนึ่งไปไม่ว่า ทำไมนักเรียนคนอื่นถึงเหนือกว่าพานหมิงเยว่

 

 

ตอนแรกหลี่อ้ายหรงอยากคุ้ยหากระดาษคำตอบของพานหมิงเยว่ ดูว่าจุดนี้ที่เธอทำได้ไม่ดี

 

 

ขณะนั้นเองก็นึกถึงคนอื่นๆ ในห้องพักครู

 

 

“อาจารย์หลี่ คะแนนภาษาอังกฤษของห้องคุณเป็นยังไงบ้าง คะแนนสูงสุดเท่าไหร่” หลี่อ้ายหรงเอี้ยวตัว มองอาจารย์หลี่คนที่ปฏิเสธเกาหยางครั้งก่อนที่นั่งถัดจากเธอ

 

 

เพราะเรื่องที่เขาปฏิเสธห้องเก้า หลี่อ้ายหรงเลยสนิทกับเขานิดหน่อย

 

 

“พอใช้ได้ คะแนนสูงสุดคือ 121 คะแนน อันดับที่ 45 ของชั้น ในห้องมีสี่คนที่อยู่ในร้อยอันดับแรกของชั้น” อาจารย์ยิ้ม เห็นได้ชัดว่าพอใจกับผลลัพธ์นี้มาก

 

 

ร้อยอันดับแรกของชั้นปีเกือบครึ่งเป็นนักเรียนห้องหนึ่ง อีกราวๆ สี่สิบคนที่เหลือถูกนักเรียน 18 คนของห้องอื่นคว้าไปเท่าๆ กัน ห้องของเขาติดอันดับสี่คนถือว่าดีมากแล้ว

 

 

หลี่อ้ายหรงยิ้ม ไม่ค่อยยี่หระมากนัก ให้ความรู้สึกโอหังอวดดี “อ้อ งั้นก็โชคดีมากจริงๆ”

 

 

ตอนนี้เธอหันสายตามองไปทางอาจารย์เฉิน นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถามว่า “อาจารย์เฉิน ครั้งนี้คะแนนวิชาภาษาอังกฤษของห้องคุณน่าจะไม่เลวสินะ คะแนนเฉลี่ยเท่าไหร่”

 

 

พอเธอถาม อาจารย์เฉินไม่ตอบ เพียงแค่เหม่อมองหน้าจอที่ฉายบนคอมพิวเตอร์

 

 

อากัปกิริยาของอาจารย์เฉินน่าแปลก คงจะไม่ใช่เพราะคะแนนสอบของห้องแย่เกินไปจนรู้สึกผิดหวังหรอกนะ

 

 

อาจารย์คนอื่นมองหน้ากัน ไม่พูดอะไร

 

 

มีแค่หลี่อ้ายหรงที่มุมปากยกขึ้น ชอบสะกิดแผลของอาจารย์เฉิน ยกแก้วน้ำชา เดินไปทางอาจารย์เฉิน “ขอฉันดูหน่อย สวีเหยากวงห้องคุณสอบได้เท่าไหร่”

 

 

พอเดินไปถึงฝั่งอาจารย์เฉิน เธอก็โน้มตัวลงเล็กน้อย บนหน้าจอของอาจารย์เฉินเป็นคะแนนของห้องเก้าจริงๆ

 

 

เธอมองอันดับหนึ่งทันที อยากรู้ว่าสวีเหยากวงสอบได้เท่าไหร่

 

 

ทุกครั้งที่สอบคะแนนของสวีเหยากวงกับพานหมิงเยว่จะใกล้เคียงกันมาก

 

 

หลี่อ้ายหรงเลยคำนวณว่า ครั้งนี้สวีเหยากวงน่าจะได้ประมาณ 144 คะแนนถึง 145 คะแนน

 

 

เธอมองคะแนนของอันดับหนึ่งโดยตรง

 

 

แก้วชาในมือหยุดนิ่ง

 

 

แถวที่สาม อันดับของห้อง 1

 

 

แถวที่สี่ อันดับของชั้นปี 1

 

 

พวกนี้ยังไม่มีอะไร แต่แถวที่ห้าทำให้หลี่อ้ายหรงตะลึงงัน

 

 

แถวที่ห้า อันดับภาษาอังกฤษของทั้งเมือง 1!

 

 

ที่หนึ่ง ที่หนึ่งหมดเลย!