ตอนที่ 120 ตบหน้าอย่างแรง ท่านหร่านยังคงเป็นท่านหร่าน

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

โรงเรียนเหิงชวนอีจงเน้นสายวิทยาศาสตร์เสมอมา สวีเหยากวงก็ถนัดวิชาวิทยาศาสตร์ วิชาวรรณกรรมกับภาษาอังกฤษแค่กลางๆ

 

 

โรงเรียนอวิ๋นเฉิงอีจงเน้นสายภาษา ปกติแล้วทุกครั้งที่สอบข้อสอบมาตรฐานกลาง อันดับหนึ่งสองของวิชาภาษาอังกฤษจะเป็นของโรงเรียนอวิ๋นเฉิง

 

 

ภาษาอังกฤษของสวีเหยากวงเป็นที่หนึ่งของทั้งเมืองตอนไหนกัน

 

 

แล้วเขาสอบได้กี่คะแนนกัน

 

 

พอหลี่อ้ายหรงเหลือบตามอง

 

 

คะแนนแถวที่สอง 150!

 

 

“คะแนนเต็ม?” หลี่อ้ายหรงตกใจ เมื่อสายตาเหลือบไปมองชื่อในแถวแรกก็พูดไม่ออกอย่างสิ้นเชิง…

 

 

ฉินหร่าน?

 

 

อาจารย์คนอื่นได้ยินว่าคะแนนเต็มก็กรูกันเข้ามาดู

 

 

ข้อสอบครั้งนี้ยากผิดปกติ ตอนที่ตรวจข้อสอบ อาจารย์แต่ละวิชาเคยถกกันแล้วว่า ครั้งนี้คงจะมีข้อสอบที่ได้คะแนนเต็มยาก

 

 

“คะแนนเต็มเหรอ ข้อสอบยากขนาดนี้ยังมีคนสอบได้เต็มด้วยเหรอ” อาจารย์หลี่แปลกใจมากทีเดียว “ข้อสอบปรนัยข้อสุดท้าย มีคำศัพท์ของตัวเลือกสองข้อผมไม่รู้จักด้วยซ้ำ พอเปิดพจนานุกรมถึงได้รู้ว่าเป็นศัพท์แปลก”

 

 

“สวีเหยากวงสินะ”

 

 

“สุดยอดไปเลย”

 

 

“เขาย้ายมาจากจิงเฉิง พื้นฐานดีมาตลอด…”

 

 

พอได้ยินหลี่อ้ายหรงบอกว่ามีคนได้คะแนนเต็ม อาจารย์บางส่วนก็เข้ารุมล้อม โดยเฉพาะอาจารย์หลี่ ที่เบียดอยู่หน้าสุดของทุกคน

 

 

“ฉินหร่าน?” ข้างหลังมีอาจารย์คนหนึ่งอ่านชื่อแถวแรกออกมา หลังเห็นคะแนนบนหน้าจอแล้ว

 

 

เสียงของอาจารย์ที่ยืนดูคะแนนแถมยังวิจารณ์กันเซ็งแซ่ข้างหลังอาจารย์เฉินหายไปหมดแล้ว

 

 

ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สีหน้าพิลึกอย่างมาก

 

 

ชื่อของฉินหร่านนั้นแม้แต่หนอนหนังสือที่ใจคิดแต่จะเรียนของมัธยมปลายปีหนึ่งก็ยังรู้จัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาจารย์ผู้สอนมัธยมปลายปีสาม

 

 

สิ่งที่โด่งดังพร้อมกับชื่อเสียงของเธอก็คือ ผลการเรียนของเธอที่ไม่เหมาะสมกับศักยภาพโรงเรียนเหิงชวนอีจง

 

 

ข่าวลือเกี่ยวกับเธอมีตั้งแต่เปิดเทอมแล้ว คล้ายว่าจะเป็นนักเรียนพฤติกรรมแย่ ได้ยินว่าประวัติย่ำแย่อย่างยิ่ง ควิซรายอาทิตย์รายเดือนได้คะแนนสองหลักก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

 

 

ถ้าเธอสอบได้คะแนนเต็ม แล้วสมบัติของโรงเรียนอย่างสวีเหยากวงกับพานหมิงเยว่จะไปอยู่ตรงไหน?

 

 

หลี่อ้ายหรงดูอันดับที่สอง สวีเหยากวง 145 คะแนน อันดับที่สองของโรงเรียน อันดับห้าของเมือง

 

 

สอดคล้องกับการคาดเดาของเธอมาก

 

 

เพียงแต่ว่า

 

 

 

 

หลี่อ้ายหรงวางแก้วลงบนโต๊ะ สองมือกอดอก แสยะยิ้มมองอาจารย์เฉิน ท่าทางเย้ยหยัน “อาจารย์เฉิน ฉันแค่ไม่สอนเธอก็เท่านั้น ต่อให้เธอจะโกรธ แต่ก็อย่าถึงขั้นไปเอาคำตอบของข้อสอบกลางมาเลย เห็นพวกเราตาบอดหรือไง หา!”

 

 

 

 

ขณะเดียวกัน ฉินหร่านยังฟุบอยู่โต๊ะ ไม่ได้หลับ แค่คลุมหัวเท่านั้น

 

 

คำตอบยังไม่ถูกส่งมา หลินซือหรานกำลังตรวจคำตอบกับคนที่นั่งโต๊ะข้างหน้า เหลือบเห็นมือของฉินหร่านขยับ ก็อดกระทุ้งแขนเธอไม่ได้ จากนั้นเขยิบเข้าไปกระซิบว่า “วิชาภาษาอังกฤษของเธอตอบ c ทั้งหมดหรือเปล่า”

 

 

เธอยืมข้อสอบภาษาอังกฤษมาจากสวีเหยากวงเพื่อตรวจคำตอบ

 

 

ข้อสอบปรนัยวิชาภาษาอังกฤษคราวนี้มี 42 ข้อที่ตอบ c

 

 

ฉินหร่านเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะอย่างเชื่องช้า พอได้ยินคำถามของหลินซือหราน เธองงไปชั่วขณะdjvoได้สติคืนมาตอบกลับไป “ไม่หรอกมั้ง”

 

 

“ไม่งั้นเหรอ” หลินซือหรานพูดเสียงสูง

 

 

มีชั่ววูบหนึ่งที่เธออยากเขย่าฉินหร่านให้ตื่นมากเหลือเกิน “งั้นเธอเลือกอะไร a b หรือ d”

 

 

เธอคำนวณครู่หนึ่ง เอียงหัวบอกฉินหร่านว่า “ถ้าเลือก a ละก็ งั้นเธอก็อาจจะได้ 30 คะแนน ถือว่าไม่น้อย”

 

 

ที่จริงฉินหร่านก็นอนไม่หลับ เธอดึงยูนิฟอร์มที่คลุมตัวลงแล้วสวมให้ตัวเองช้าๆ

 

 

ตอนที่ฟังหลินซือหรานพูดก็แค่เลิกคิ้วนิดหน่อย ไม่ได้ตอบทันที

 

 

หลินซือหรานมองท่าทางของเธอ จู่ๆ ก็คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง เธอเงยหน้าขึ้นทื่อๆ “อย่าบอกนะว่า เธอเลือกตามความรู้สึกของตัวเอง”

 

 

ในความทรงจำของเธอ เจ๊ฉินเป็นคนที่แปลกมากคนหนึ่ง

 

 

ทุกครั้งที่สอบเธอสามารถเลี่ยงคำตอบที่ถูกต้องได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

 

ฉินหร่านกระแอมไอ เพราะนอนฟุบเป็นเวลานาน เสียงของเธอแหบนิดหน่อย

 

 

เธอใช้มือกดไปตรงลำคอ พูดอย่างสบายๆ ว่า “คงใช่”

 

 

เสร็จกัน

 

 

หลินซือหรานหันหน้ากลับไปอย่างเชื่องช้า

 

 

ผู้ชายที่นั่งหน้าหลินซือหรานก็มองฉินหร่านด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

 

 

หลังนิ่งไปหลายวินาที เขาก็กุมหน้าอก หันกลับไปด้วยท่าทางปวดใจ

 

 

เฉียวเซิงสังเกตเห็นสถานการณ์ของทางนี้ ก็เชยตาขึ้นอย่างลืมตัว “มีอะไรเหรอ”

 

 

“เจ๊ฉินเขียนคำตอบภาษาอังกฤษตามความรู้สึกของตัวเองอย่างแน่วแน่!”

 

 

ทั้งห้องเงียบสนิทไปครู่หนึ่ง

 

 

ตัวแทนติววิชาภาษาอังกฤษมองฉินหร่านด้วยความข้องใจ

 

 

หลินซือหรานไม่ถอดใจ พยายามร้องขอชีวิตสักครั้ง “เจ๊ฉิน เธอช่วยพูดว่าหลอกพวกเราได้ไหม”

 

 

ฉินหร่านร้องหา เธอกวาดสายตาผ่านคนพวกนี้ “ฉันขอปฏิเสธ”

 

 

หลินซือหรานทำท่าครุ่นคิด

 

 

เฉียวเซิงอ้าปาก อยากพูดว่า ‘เจ๊ฉิน เป็นตัวของตัวเอง’

 

 

ขณะนั้นเอง เกาหยางก็เดินเข้ามา

 

 

เสียงเจี๊ยวจ๊าวในห้องเงียบลงกะทันหัน

 

 

เห็นเกาหยางเงียบงันไม่พูดไม่จา เขายืนอยู่ข้างโต๊ะของหลินซือหรานกับฉินหร่าน จ้องฉินหร่าน มุมปากขยับ อยากพูดอะไรบางอย่าง

 

 

สุดท้ายก็ถอดใจ โพล่งออกมาว่า “ฉินหร่าน เธอ…เธอมากับอาจารย์หน่อย”

 

 

ฉินหร่านตามเกาหยางออกไปอย่างไม่มีความแปลกใจเลยสักนิด ฝีเท้ามั่นคง ไม่รีบร้อน

 

 

สีหน้านิ่งเฉย สง่าผ่าเผย

 

 

 

 

ทางด้านฉินหร่านที่ตามหลังเกาหยาง มาถึงห้องทำงานของหัวหน้าฝ่ายวิชาการ

 

 

ในห้องมีอาจารย์ที่รอชมเหตุการณ์อยู่ไม่กี่คน

 

 

ผู้อำนวยการติงเจอฉินหร่านในเหตุการณ์ใหญ่เป็นครั้งที่สี่แล้ว เพราะเธอมีสัมพันธ์โยงใยกับทั้งเฟิงโหลวเฉิงและท่านที่อยู่ในห้องพยาบาล

 

 

ท่าทีของผู้อำนวยการติงเรียกได้ว่าอ่อนโยน “นักเรียนฉิน เธอรู้ไหมว่าตัวเองสอบได้เท่าไหร่”

 

 

ฉินหร่านพยักหน้า ความมั่นใจเต็มเปี่ยม น้ำเสียงอวดดีอย่างยิ่ง “แน่นอนค่ะ นอกจากวิชาวิทยาศาสตร์แล้ว นอกนั้นน่าจะได้คะแนนเต็มหมด”

 

 

หลี่อ้ายหรงกลับเยาะเย้ย เธอมองฉินหร่านพลางแสยะยิ้ม “ที่บอกว่าไอคิวเธอไม่สูง ก็ไม่สูงจริงๆ ด้วย ถ้าเธอสอบผ่านแค่เส้นยาแดงผ่าแปด พวกเราอาจจะไม่แตกตื่นกันขนาดนี้ เธอไม่ระวัง สอบได้ที่หนึ่งของเมืองทั้งห้าวิชา ลอกได้สุดยอดไปเลย กลัวคนอื่นจะไม่รู้หรือไง”

 

 

อาจารย์คนอื่นฟังถึงตรงนี้ ต่างก็มองฉินหร่านอย่างเหลือเชื่อ

 

 

“เธอทำแบบนั้นเหรอ” ผู้อำนวยการติงนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถามฉินหร่านขึ้นมาอีกว่า “หรือเธอไม่รู้ว่าได้คำตอบมาจากไหน เธอบอกกับอาจารย์มาตามตรง ไม่เป็นไรหรอก”

 

 

ผู้อำนวยการติงรู้ว่าฉินหร่านมีคนหนุนหลัง เผลอช่วยเธออย่างลืมตัว

 

 

ในฐานะหัวหน้าฝ่ายวิชาการของมัธยมปลายปีสาม เขาย่อมเคยได้ยินเรื่องราวของดาวเด่นคนใหม่คนนี้อยู่แล้ว

 

 

ผู้อำนวยการติงเคยช่วยสะสางปัญหาให้ฉินหร่านถึงสามเรื่องแล้ว ตั้งแต่การกล่าวสุนทรพจน์ เรื่องรูปถ่ายไปจนถึงเรื่องไวโอลินของฉินอวี่ แท้ที่จริงแล้วไม่เกี่ยวข้องกับฉินหร่านเลยสักนิด

 

 

ครั้งนี้ผู้อำนวยการติงเชื่อว่าฉินหร่านถูกใส่ร้าย

 

 

“ผู้อำนวยการ!” ชัดเจนว่านี่เป็นคำพูดลำเอียง หลี่อ้ายหรงชะงัก เบิกตากว้างเล็กน้อย “คุณหมายความว่ายังไง”

 

 

ผู้อำนวยการติงมองเธอแวบหนึ่ง “เด็กอายุยังน้อย ขาดสติไปบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา”

 

 

ขณะที่พูด ผู้อำนวยการติงก็ส่งสายตาบอกฉินหร่านให้รับผิด จากนั้นเขาจะลบคะแนนทิ้งไป คิดเสียว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น

 

 

เขาเปลี่ยนเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก

 

 

มิเช่นนั้นหากเรื่องแดงขึ้นมา ไม่ว่าใครแอบเล่นตุกติกลับหลังฉินหร่าน ฉินหร่านหนีไม่พ้นถูกกล่าวว่าทุจริตในการสอบ แถมยังต้องบันทึกไว้ในแฟ้มประวัติอีกด้วย

 

 

ตอนแรกผู้อำนวยการคิดว่าฉินหร่านต้องเข้าใจเจตนาของเขาแน่นอน

 

 

แต่ทว่า…

 

 

ใบหน้าของฉินหร่านมีรอยยิ้มปรากฏให้เห็น จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบอย่างยิ่งว่า “เปล่าค่ะ ไม่มีใครให้คำตอบหนู หนูเป็นคนเขียนเอง”

 

 

ผู้อำนวยการติงชะงัก

 

 

มันไม่ค่อยเหมือนกับที่เขาคาดการณ์ไว้ เขารีบใช้สายตาส่งสัญญาณให้ฉินหร่าน ในเวลาแบบนี้อย่าพูดอะไรแบบนี้เด็ดขาด

 

 

เขาอ้าปาก “นักเรียนฉินหร่าน…”

 

 

จากนั้นผู้อำนวยการยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกหลี่อ้ายหรงแย่งไป มุมปากของหลี่อ้ายหรงยกขึ้นสูงมาก “ฉินหร่าน นี่เธอยอมรับเองกับปากว่าเธอเป็นคนเขียนคำตอบเองงั้นเหรอ”

 

 

หลี่อ้ายหรงอยากจะขำ

 

 

ผู้อำนวยการติงตั้งใจอยากปกป้องฉินหร่าน หลี่อ้ายหรงไม่มีทางทำอะไรได้แน่นอน

 

 

แต่เสียดายที่คนอย่างฉินหร่านไม่มีหัวคิด ผู้อำนวยการเสนอทางออกให้เธอแล้ว แต่เธอยังจะเป็นหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวกอีก

 

 

ไม่สำเหนียกเลยว่า คะแนนแบบนี้เธอมีปัญญาทำได้หรือไง

 

 

ผู้อำนวยการติงขมวดคิ้ว เขามองฉินหร่านด้วยความวิตกกังวล อ้าปาก อยากพูดให้ฉินหร่านเข้าใจเจตนาของเขา

 

 

ฉินหร่านมองเขาก็จริง แต่ไม่เข้าใจความนัยแอบแฝงของเขาเลย แค่พยักหน้าอย่างไม่แยแส “จริงแท้แน่นอน”

 

 

เพราะกลัวฉินหร่านจะกลับคำ หลี่อ้ายหรงเลยรีบเอาข้อสอบรายเดือนของเดือนหน้าที่เธอเพิ่งจะคิดให้ฉินหร่านก่อน

 

 

ข้อสอบยังทำไม่เสร็จ มีแค่ข้อสอบปรนัยกับข้อสอบเติมคำ แต่ระดับความยากเพียงพอแล้ว

 

 

ไม่เพียงแค่นี้ เธอยังให้อาจารย์หลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์คิดโจทย์ ณ ตอนนั้นอีกด้วย

 

 

เธอวางข้อสอบภาษาอังกฤษไว้บนโต๊ะว่างของห้องพักครู ให้ฉินหร่านทำ ขณะเดียวกันก็ให้อาจารย์คนอื่นคิดโจทย์ไปด้วย

 

 

แน่นอนว่า เพราะกลัวเกาหยางจะปกป้องฉินหร่าน หลี่อ้ายหรงไม่ได้ให้เขาร่วมคิดโจทย์ด้วย แต่เรียกอาจารย์คณิตศาสตร์อีกท่านมาแทน

 

 

ผู้อำนวยการติงมองฉินหร่านอย่างกระวนกระวายใจ คิ้วขมวดเป็นปมแสดงความกังวล

 

 

ฉินหร่านไม่พูดอะไร ตอนที่เธอตัดสินใจว่าจะตั้งใจสอบให้ดี ก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้

 

 

เธอนั่งลงเริ่มทำข้อสอบภาษาอังกฤษที่หลี่อ้ายหรงเป็นคนออก

 

 

ข้อสอบปรนัย 15 ข้อกับเลือกคำมาเติมในช่องว่าง 20 ข้อ

 

 

ง่ายกว่าข้อสอบกลางภาคเสียอีก มองแวบเดียวก็ตอบได้แล้ว ฉินหร่านใช้เวลาทำทั้งหมดไม่ถึงสิบห้านาที

 

 

หลี่อ้ายหรงมองเธออย่างเย้ยหยัน พอเธอทำเสร็จ ก็รีบดึงข้อสอบที่ฉินหร่านทำมาทันที ไล่สายตาตั้งแต่ข้อหนึ่งลงไป

 

 

กำลังดูอยู่ดีๆ จู่ๆ หน้าก็นิ่งไป ความเยาะเย้ยกลายเป็นความตกตะลึง

 

 

ผู้อำนวยการสังเกตมองความเป็นไปตลอด พอเห็นสีหน้าของหลี่อ้ายหรงเปลี่ยนไป เขาก็คาดเดาผลลัพธ์ออกแล้ว

 

 

ไม่ค่อยเหมือนกับที่เขาคาดการณ์ไว้ เขาก็เงยหน้ามองฉินหร่านด้วยความตกใจเหมือนกัน

 

 

ขณะเดียวกัน อาจารย์คณิตศาสตร์คนหนึ่งก็คิดโจทย์เสร็จแล้ว

 

 

อาจารย์คณิตศาสตร์คนนี้เป็นอาจารย์มัธยมปลายปีสามเช่นกัน โจทย์ที่เขาคิดมีแต่หัวข้อใหญ่ มีความยากสูงมาก วิธีทำก็ซับซ้อนมากเช่นเดียวกัน

 

 

ฉินหร่านทำเสร็จทั้งสามข้อ ใช้เวลาไม่เกินยี่สิบนาที

 

 

ทั้งหมดเป็นเพราะมือซ้ายของเธอเขียนได้ค่อนข้างช้า

 

 

อาจารย์ท่านนั้นหยิบข้อสอบไปด้วยความเหลือเชื่อ ปลีกตัวไปอีกมุมหนึ่ง เริ่มใช้ห้องทำงานของหัวหน้าฝ่ายวิชาการกับกระดาษคำนวณหาคำตอบ

 

 

หลังได้คำตอบแล้ว เขานั่งอยู่ข้างโต๊ะทำงานด้วยสีหน้าสับสน

 

 

จากนั้นก็เป็นอาจารย์วิชาชีววิทยาที่ถือคำตอบของฉินหร่านนั่งครุ่นคิด โจทย์ที่เขาคิดมีเรื่องการถ่ายทอดของโครโมโซม 4 ชนิด การสังเคราะห์แสงและการหายใจระดับเซลล์กับการไฮเพอร์โพลาไรเซชัน

 

 

ทุกข้อล้วนต้องมีความรู้และการศึกษานอกห้องเรียนจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะการแสดงวิธีทำของพันธุศาสตร์ ต่อให้เขาทำปกติ แค่ข้อเดียวก็ต้องใช้เวลาสิบนาทีในการวาดแผนภาพยีน

 

 

แต่ฉินหร่านใช้เวลาสิบนาทีในการทำโจทย์สามข้อต่อหน้าต่อตาเขาไม่พอ ยังถูกหมดอีกด้วย

 

 

อาจารย์พวกนี้ไม่ได้บอกคำตอบ แต่คนอื่นสามารถคาดเดาคำตอบได้จากสีหน้าท่าทางของพวกเขาแล้ว

 

 

คราวนี้ผู้อำนวยการติงตะลึงงันแล้วจริงๆ เขามองฉินหร่านอยู่นานสองนานไม่พูดอะไร

 

 

เห็นได้ชัดว่าเกาหยางที่ยืนอยู่มุมหนึ่งก็คาดไม่ถึง เขาอยู่หน้าอาจารย์คณิตศาสตร์คนนั้น อ่านโจทย์กับคำตอบ พร้อมกับหันไปมองฉินหร่านอยู่บ่อยครั้ง ราวกับเพิ่งเคยเห็นเธอครั้งแรก

 

 

ทั้งห้องทำงาน คนที่สงบนิ่งที่สุดก็คือฉินหร่าน

 

 

เธอบีบนวดข้อมือตัวเอง เชยตาขึ้นแล้วยิ้ม “ยังเหลือวิชาเคมี จะเชิญอาจารย์เคมีสักคนมาอีกหรือเปล่า”