หลินหลันเปลี่ยนเป็นชุดสตรีขณะอยู่บนรถม้า เมื่อมาถึงจวนหลี่ซึ่งก่อนพ้นประตูเข้าไปเหวินซานเผยสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัดขณะเอ่ยถาม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายขอรับ หากเอ้อร์เส้าเหยียถามขึ้นมา…” แม้ว่านายหญิงน้อยและคุณชายฮว๋าผู้นั้นจะแค่ดื่มชาและพูดคุยเรื่องการรักษากันเท่านั้น ทว่าเป็นการนั่งคุยกันถึงสองชั่วโมง อีกทั้งยังคุยกันอย่างสนุกสนาน หากนายน้อยของเขารู้เข้าคงจะไม่พึงพอใจนัก!
เมื่อหลินหลันหันไปมองเหวินซาน เหวินซานก็ก้มหน้าลงอย่างขาดความมั่นใจ
“เดี๋ยวข้าพูดกับเขาเอง” หลินหลันเผยรอยยิ้มเล็กน้อยแล้วมุ่งตรงเข้าไปด้านใน เหวินซานถือว่าเป็นคนหนึ่งที่ดีเยี่ยมและใช้งานได้ ทั้งยังมีไหวพริบอย่างมากและซื่อสัตย์มากด้วยเช่นกัน ทว่าหลินหลันรู้ดีว่าผู้เป็นนายในใจของเหวินซานอย่างแท้จริงคือเอ้อร์เส้าเหยีย ขอเพียงไม่เป็นการทำลายผลประโยชน์นายน้อยของเขา เขาก็สามารถปฏิบัติต่อนางด้วยชีวิตเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามนางจะทำลายผลประโยชน์ของหลี่หมิงอวินได้อย่างไรกันล่ะ ในเมื่อตอนนี้เขาเป็นถึงสามีอย่างแท้จริง เป็นคนที่นางรักด้วยใจจริงและเป็นรักเดียวเท่านั้นของนาง นางพูดคุยกับคุณชายฮว๋าแล้วจะเป็นไรไปหรือ พวกเขาพูดคุยกันด้วยเรื่องทักษะการรักษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผย และไม่เกรงกลัวที่จะบอกเล่าให้หลี่หมิงอวินรับรู้ด้วยเช่นกัน ซึ่งนางก็เชื่อว่าหลี่หมิงอวินไม่ใช่ผู้ที่จะหึงหวงโดยไม่มีเหตุผล
เมื่อกลับถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจาย หลินหลันถึงได้รู้ว่าวันนี้หลี่หมิงอวินกลับมาก่อนเวลา เดิมทีเขารอนางอยู่ในห้อง แต่เมื่อครู่ถูกบิดาเรียกไปเสียแล้ว โดยทิ้งคำพูดไว้ให้นางว่าอีกเดี๋ยวให้ตรงไปยังโถงจาวฮุยเพื่อปฏิบัติตามธรรมเนียมฉิ่งอานเลย
หลังจากหลินหลันอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย อวี้หลงก็ถือโจ๊กธัญพืชแปดชนิดมาให้ “ด้านนอกอากาศหนาวเย็น เอ้อร์เส้าหน่ายนายรับประทานโจ๊กให้ร่างกายอบอุ่นหน่อยนะเจ้าคะ! โจ๊กที่กุ้ยซ่าวต้มนี้รสชาติเยี่ยมมากเลยเจ้าค่ะ กลิ่นหอมและรสสัมผัสนุ่มลื่น รสชาติหวานแต่ไม่เลี่ยนจนเกินไป เอ้อร์เส้าเหยียก็รับประทานไปแล้วหนึ่งชามเจ้าค่ะ”
หลินหลันดื่มน้ำชาจากด้านนอกมาตลอดทั้งช่วงบ่ายจนพุงป่องไปหมดแล้ว ต่อให้โจ๊กหอมหวนเพียงใดนางก็กินไม่ลงเสียแล้ว “วางไว้ก่อนเถิด! ข้ายังไม่หิว” หลังจากนั้นนางก็หันไปส่องกระจกแล้วจัดการผมเพร้าต่อไป
ระหว่างนั้นนางมองเห็นอวี้หลงซึ่งสะท้อนอยู่ในกระจกกำลังมีท่าทีอ้ำๆ อึ้งๆ ซึ่งไม่ต่างจากท่าทีของเหวินซานเมื่อครู่นี้
“มีเรื่องอันใดหรือ” หลินหลันเอ่ยถาม
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ได้ยินว่าฤดูใบไม้ที่ครั้งหน้า ฮูหยินเตรียมส่งสาวใช้ที่อายุถึงวัยแล้วออกจากจวนหรือจัดหาคู่ครองให้เจ้าค่ะ” อวี้หลงกล่าวเสียงบางเบา
“แล้วอย่างไรหรือ พวกเจ้าจะอยู่หรือไปยังคงขึ้นอยู่กับข้าอยู่ดี” หลินหลันไม่ได้เก็บเอามาคิดมากมายแต่อย่างใด
“ข้าน้อยอายุยังไม่ถึงวัยนะเจ้าคะ! และต่อให้ถึงแล้ว ข้าน้อยก็เชื่อว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายจะเป็นผู้ตัดสินเพื่อพวกเราเจ้าค่ะ ทว่านี่เป็นเพียงความคิดของตัวข้าน้อยเอง ส่วนผู้อื่นจะคิดเช่นไรก็คงไม่อาจรู้ได้ เกิดมีคนรีบร้อน…” อวี้หลงชะงักคำพูดไว้เพียงเท่านั้น
หลินหลันรู้สึกตื่นตกใจ ทันใดนั้นก็ตระหนักขึ้นมาได้ นางวางหวีลงแล้วกล่าวขึ้นอย่างใจเย็น “เรื่องนี้ข้าจะระมัดระวังไว้ เจ้าเองก็ช่วยจับตามองหน่อยแล้วกัน แต่อย่าได้กะโตกกะตากจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตไป”
อวี้หลงเห็นนายหญิงเข้าใจได้แล้วจึงรู้สึกสบายใจขึ้นก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าน้อยรับทราบเจ้าค่ะ”
เมื่อหลินหลันไปถึงโถงจาวฮุย หมิงอวินไปถึงก่อนหน้าแล้วซึ่งทันทีที่เขาเห็นนางมาถึง หมิงอวินจากเดิมที่มีนัยน์ตาเรียบเฉยกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด
หลินหลันฉีกยิ้มบางเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปคาราวะหญิงชราและพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายกับแม่มดชรา
“ลุกขึ้นเถอะ! ได้ยินว่าวันนี้เจ้าออกไปข้างนอกมาอีกแล้ว” น้ำเสียงของหญิงชราเรียบเฉยภายใต้สีหน้าอันเคร่งขรึมซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจในตัวนาง
ด้วยระยะนี้ออกไปนอกบ้านอยู่บ่อยครั้ง หญิงชราจะรู้สึกคับข้องใจก็คงมิใช่เรื่องแปลก ในเมื่อนี่เป็นยุคสมัยโบราณซึ่งสตริไม่สามารถออกนอกบ้านได้ตามอำเภอใจ ทว่านางเป็นหมอ เป็นหมอจะไม่ให้ออกไปนอกบ้านได้อย่างไรกัน นางไตร่ตรองมาโดยตลอดว่าจะเอ่ยถึงเรื่องการเปิดร้ายยาเมื่อไหร่ดี ทว่าหมิงอวินก็เอ่ยว่าเรื่องนี้ยกให้เป็นหน้าที่ของเขาเอง…หลินหลันจึงมองไปยังหลี่หมิงอวิน เห็นเพียงหมิงอวินพยักหน้าให้นางเล็กน้อย หลินหลันถอนหายใจออกมาอย่างเบาใจ ดูเหมือนว่าทางด้านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายนั่นจะจัดการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เรียนท่านย่า หลานอยากเปิดร้านขายยามาโดยตลอดเจ้าค่ะ หลายวันมานี้ ท่านลุงช่วยจัดหาร้านค้าให้หนึ่งห้อง หลานจึงไปเยี่ยมชมมา ทำเลไม่เลวทีเดียวและราคาก็ยังเป็นธรรมด้วยเจ้าค่ะ จึงคิดว่าจะเช่าเพื่อเปิดร้านขายยาสักห้อง หลายวันนี้จึงยุ่งวุ่นวายกับเรื่องดังกล่าวเจ้าค่ะ” หลินหลันไม่เอ่ยว่าร้านค้าเป็นท่านลุงส่งมอบให้แต่อย่างใด ด้วยเกรงว่าท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายจะไม่พึงพอใจ เพราะเดิมทีท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายก็รู้สึกไม่ถูกใจต่อการที่ตระกูลเยี่ยปฏิบัติต่อหมิงอวินอย่างดี และยังเกรงว่าแม่มดชราจะโลภมากแล้ววางแผนมาหุบไปอีก จึงตัดไฟแต่ต้นลมเสียดีกว่า
หญิงชราจ้องมองหลินหลันอย่างเงียบๆ ขณะที่สีหน้ากลับแสดงให้เห็นถึงความไม่พึงพอใจหนักยิ่งขึ้น ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เป็นสตรีต้องรู้จักเอียงอายแทนที่จะเที่ยวออกไปลอยหน้าลอยตาข้างนอกเช่นนั้น ยิ่งตนเองอยู่ในฐานะภรรยาแล้วด้วย ควรเชื่อฟังสามีและดูแลสั่งสอนบุตรเป็นหลักจะดีกว่า”
ฮานชิวเยว่ไม่ขอแสดงความคิดเห็นใดๆ เพราะถึงอย่างไรหลินหลันก็เปิดร้านขายยาโดยไม่ได้มาเอ่ยขอพื้นที่ร้านค้าจากนาง อีกอย่างการที่หลินหลันยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของตนเองก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่มีกะจิตกะใจมาหาปัญหาให้แก่นาง
ก็พอจะรู้อยู่ว่าหญิงชราผู้นี้ต้องคัดค้านหัวชนฝา ทว่าเวลานี้นางสงบปากสงบคำไว้จะเป็นการดีที่สุด ดังนั้นหลินหลันจึงก้มหน้าลงและไม่พูดไม่จาโดยหวังให้หมิงอวินรับช่วงพูดต่อ
“ข้ากลับคิดว่าก็ไม่เลวนะ เดิมทีหลินหลันเป็นหมออยู่แล้วและยังมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้างแล้วในเมืองหลวงแห่งนี้ ช่วงก่อนหน้าใต้เท้าอวี๋แห่งกระทรวงพิธีการยังขอบคุณข้าครั้งแล้วครั้งเล่า เอ่ยว่าต้องขอบคุณยาเป่าหนิงของหลินหลัน บุตรชายคนที่หกของครอบครัวเขาถึงได้ปลอดภัย ในฐานะที่เป็นภรรยา เรื่องเชื่อฟังสามีและมีหน้าที่อบรมลูกหลานก็เป็นสิ่งสำคัญ ทว่าหากได้ใช้ความสามารถที่ตนเองมี ช่วยเหลือผู้คนบนโลกได้ก็ถือว่าเป็นน้ำใจอันใหญ่หลวง ซึ่งจักต้องมีประโยชน์ต่อหน้าที่การงานของหมิงอวินในภายภาคหน้า เท่ากับยิ่งปืนนัดเดียวได้นกสองตัวก็ว่าได้” หลี่จิ้งเสียนกล่าวอย่างเนิบๆ
หลินหลันยังไม่ทันได้ยินหลี่หมิงอวินเอ่ยปาก กลับได้ยินท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายพูดขึ้นมาชุดใหญ่ หลังจากนางได้อยู่อาศัยในตระกูลหลี่มา นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ยินท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายเอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจและมีเหตุผลมากที่สุด ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นคำพูดโดนใจนางอย่างมากที่สุดเช่นกัน เห็นทีว่าผลงานด้านความคิดของหมิงอวินจะทำงานได้ดีเยี่ยมทีเดียวเชียว
หญิงชรากำลังครุ่นคิดคำพูดของบุตรชาย ซึ่งพอได้คิดๆ ดูแล้วก็มีเหตุผลเช่นกัน เพียงแต่จะให้หลินหลันออกไปลอยหน้าลอยตานางเองก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี จึงกล่าวขึ้นอย่างไม่แยแส “ในเมื่อพ่อตาเจ้าเห็นดีด้วย ข้าหญิงชราผู้หนึ่งก็ไม่มีอันใดต้องพูดแล้วล่ะ แต่อย่าได้ลืมหน้าที่การเป็นภรรยาที่ดีก็พอ”
หลินหลันดีใจเป็นอย่างมาก นางรีบคาราวะให้แด่หญิงชราแล้วกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ขอบพระคุณท่านย่าเจ้าค่ะ” แน่นอนว่าก็ต้องไม่ลืมขอบคุณพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายด้วยเช่นกัน “ขอบพระคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ”
ฮานชิวเยว่ซึ่งเดิมทีวางตนเป็นผู้ชมริมขอบสนาม ตั้งใจว่าจะรอให้พวกเขาถกเถียงกันจนได้ข้อสรุปออกมาแล้วนางค่อยเอ่ยพูด แต่คาดไม่ถึงว่าหลินหลันจะกล่าวขอบคุณอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ ไม่ให้โอกาสนางได้แสดงท่าทีเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นการมองข้ามแม่ยายอย่างนางไปเห็นๆ ฮานชิวเยว่จึงรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างยิ่ง
หลี่จิ้งเสียนเอ่ยหน้าชื่นเบิกบาน “เปิดเถอะ! นี่เป็นเรื่องที่ดี หากขาดเงินทุน เจ้าก็แค่เอ่ยปากบอกกล่าว ขาดเท่าใด ที่บ้านจะช่วยสมทบให้เท่านั้น”
หลินหลันตาลุกวาว นี่พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายกลับตัวแล้วหรือ ให้เงินทั้งทีมีหรือจะไม่ต้องการ ทว่า…หลี่หมิงอวินกำลังส่ายหน้า
หลินหลันมองไปยังแม่มดชราอย่างหวาดระแวง เห็นเพียงแม่มดชรากำลังหน้าบึ้งตึง ทันใดนั้นก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ แม่มดชราได้ลงทุนเงินก้อนโตลงไปกับเหมืองถ่านหินแล้ว โดยนำเงินออมทั้งหมดรวมถึงเงินกู้ดอกเบี้ยสูงจับจ่ายออกไป แล้วจะเอาเงินจากที่ไหนมาช่วยสมทบให้กับนางหรือ และนั่นคงทำให้แม่มดชรารู้สึกกระวนกระวายใจได้ นอกจากนั้นอาจเป็นไปได้ว่าแม่มดชราจะหน้าไม่อายเอ่ยให้ตระกูลหลี่ร่วมเป็นหุ้นส่วนด้วยโดยต้องการส่วนแบ่งจากร้านขายยาของนาง…เช่นนั้นก็คงไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับ
เมื่อหลินหลันตระหนักได้อย่างกระจ่างแจ้งจึงกล่าวออกไปด้วยรอยยิ้ม “ขอบพระคุณท่านพ่อที่เมตตา ลูกคิดไว้แล้วว่าจะเปิดร้านขึ้นมาก่อนและรอทำเงินได้แล้วค่อยขยายกิจการให้ใหญ่ขึ้นทีละนิดเจ้าค่ะ ดังนั้นจากที่คำนวณไว้ก็มิต้องใช้เงินทุนจำนวนมากมายแต่อย่างใด อีกอย่างพวกเราใช้จ่ายอย่างประหยัดกันหน่อยก็น่าจะเพียงพอเจ้าค่ะ”
ทางด้านหลี่หมิงอวินกำลังจิบหน้าชาภายใต้สีหน้าซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสุขใจ ระหว่างเขาและหลินหลันมีสัมพันธ์เชื่อมกันอย่างชนิดที่ว่าเพียงสบตา เพียงยักคิ้ว เพียงรอยยิ้มเล็กๆ อีกฝ่ายก็จะสามารถเข้าใจความนึกคิดของเจ้าได้ ซึ่งการสื่อสารผ่านหัวใจเช่นนี้มันช่างเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์ใจเหลือเกิน
ฮานชิวเยว่เผยสีหน้าโล่งอกอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน ตอนนี้ในมือของนางไม่มีเงินแม้แต่ก้อนเดียว เรื่องนั้นก็ได้ปิดบังผู้เป็นสามีเอาไว้ สามีที่ดีแต่พูดไม่รู้จักทำ รับปากไปเรื่อยเปื่อย เกิดหลินหลันละโมบโลภมากขึ้นมาแล้วนางจะไปเอาเงินจากที่ไหนมา ดีไม่ดียังต้องไปกู้ยืมเงินมาให้หลินหลันเปิดร้ายขายยาอีก นั่นมิเท่ากับขาดทุนเข้าไปใหญ่หรือ โชดดีที่หลินหลันรู้สึกแยกแยะ
“อืม ค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เต็มที่ก็พอ อย่างไรก็ตามหากมีปัญหาติดขัดก็พูดคุยกับที่บ้านได้ ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น อย่าได้เกรงใจไป” หลี่จิ้งเสียนในวันนี้แสดงความเป็นบิดาผู้เมตตากรุณาอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้ฮ่องเต้นับวันยิ่งเห็นความสำคัญของหมิงอวินมากขึ้น เขาได้รับข่าวคราวมาว่าในฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึง ฮ่องเต้เตรียมเลื่อนขั้นให้แก่หมิงอวิน และหมิงอวินก็ให้ความเคารพผู้เป็นบิดามากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน มีเรื่องอันใดล้วนเข้าไปปรึกษาหารือกับเขา ใช้ใจแลกใจ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกจึงเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างมาก หลี่จิ้งเสียนรู้สึกชื่นมื่น ท้ายที่สุดหัวใจของพ่อลูกก็เข้มข้นกว่าสายเลือด!
ฮานชิวเยว่หาโอกาสแทรกคำพูดเข้าไปด้วยการกล่าวเสริม “เหล่าเหยียพูดได้ถูกต้องอย่างยิ่ง มีปัญหาอันใดก็พูดคุยกับที่บ้านได้เสมอ”
หลินหลันแสยะยิ้มในใจ ตอนนี้ผู้ที่จะมีปัญหาขึ้นมาจริงๆ คือเจ้าแม่มดชราต่างหาก และปัญหาที่ว่าจะใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ เสียด้วย สะใภ้รองอย่างข้ามีเงินเหลือเฟือและชีวิตก็สุขสบายกว่าเจ้ามากโข
“หมิงเจ๋อ ภรรยาเจ้าร่างกายดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง” หญิงชราไม่อยากสนทนาในประเด็นนี้อีกต่อไป จึงหันไปเอ่ยถามหมิงเจ๋อที่กำลังนั่งหน้าเศร้าสร้อยอยู่ด้านข้าง
หมิงเจ๋อสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อตนเองถูกขานเรียก ก่อนจะรีบกล่าวตอบ “ดีขึ้นบ้างแล้วขอรับ เพียงแต่ร่างกายยังไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงและไม่ค่อยรับประทานอาหารเท่าไหร่นักขอรับ”
หญิงชราถอนหายใจแล้วหันไปมองหลินหลัน “หลินหลัน เจ้าไปตรวจอาการหลั้วเหยียนมาแล้ว สรุปนางป่วยเป็นอันใดกันแน่หรือ”
จะเป็นอันใดไปได้นอกเสียจากอาการป่วยทางใจ สามีตนเองแอบกินเล็กกินน้อยนอกบ้านแล้วยังเกือบจะดึงสัตว์ร้ายกลับเข้ามา จะมีสตรีนางใดที่จะไม่โกรธเคืองบ้าง เฮ้อ ดอกไม้สดสวยๆ ดันถูกปักลงไปบนกองขี้วัว ติงหลั้วเหยียนเป็นโรคซึมเศร้าเข้าเสียแล้ว หลินหลันรำพึงรำพันในใจ
“จากที่หลานได้ตรวจอาการของพี่สะใภ้ เป็นเพียงอาการเลือดลมเดินไม่สะดวก ส่งผลให้ม้ามและกระเพาะอาหารทำงานผิดปกติ ค่อยๆ กินยาปรับสมดุลไปเดี๋ยวก็ดีขึ้นเจ้าค่ะ” หลินหลันช่วยติงหลั้วเหยียนปกปิดด้วยรู้สึกเห็นใจนางเป็นอย่างยิ่ง
ฮานชิวเยว่กล่าวขึ้นเช่นกัน “ข้าได้ถามไถ่สาวใช้ข้างกายของนาง เห็นบอกว่าทุกช่วงฤดูหนาวก็จะไร้เรี่ยวแรง ไม่ค่อยอยากอาหาร เดี๋ยวพอถึงฤดูใบไม้ผลิแล้วอากาศกลับมาอุ่นขึ้นก็หายดีแล้วเจ้าค่ะ”
ความเป็นจริงหญิงชราก็รู้อยู่แก่ใจเป็นอย่างดีว่าหลั้วเหยียนยังคงไม่ปล่อยวางเรื่องนั้น นางจึงหันไปอบรมสั่งสอนหมิงเจ๋อด้วยใจจริง “หมิงเจ๋อ เจ้าต้องดูแลเอาใจใส่หลั้วเยียนให้มากๆ เข้าไว้ มีเวลาว่างก็ไปพูดคุยอยู่เป็นเพื่อนนางหรือพานางออกไปเดินเล่นบ้าง”
หมิงเจ๋อพยักหน้าเป็นการขานรับ แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกอัดอั้น ตอนนี้หลั้วเหยียนไม่ยินดีจะพูดคุยกับเขาเหลือแม้แต่คำเดียวและไม่สนใจเขา แล้วจะให้เขาปลอบประโลมนางได้อย่างไร
หลี่จิ้งเสียนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเสริมเข้าไปอีกประโยค “อย่าเอาแต่ขานรับด้วยวาจา ต้องลงมือกระทำให้มากๆ ด้วยล่ะ”
หมิงเจ๋อลุกขึ้นยืนทันทีแล้วก้มศีรษะคำนับพร้อมกับกล่าว “ลูกจำขึ้นใจแล้วขอรับ”
หลี่จิ้งเสียนตวัดสายตามองไปที่เขา “พ่อได้แนะนำเจ้ากับคนผู้หนึ่งให้เจ้าเข้าร่วมการสอบหมิงจิ้ง [1] เจ้าเตรียมตัวให้พร้อม อย่าทำให้ข้าขายหน้าอีก”
ใบหน้าของหมิงเจ๋อยิ่งดูย่ำแย่เข้าไปใหญ่ สอบอีกแล้วหรือ
ฮานชิวเยว่กล่าวด้วยความดีใจเมื่อได้ยินดังกล่าว “หมิงเจ๋ออ่า! นี่เป็นโอกาสดี เจ้าต้องคว้าเอาไว้ให้ดีๆ ล่ะ” ฮานชิวเยว่มองไปยังผู้เป็นสามีด้วยนัยน์ตาอ่อนโยน ดูเหมือนผู้เป็นสามีของนางก็ยังคงใส่ใจหมิงเจ๋ออยู่เช่นกัน ถึงอย่างไรก็เป็นลูกแท้ๆ ของตนเอง จะร้ายดีอย่างไรก็ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขอยู่ดี
หลินหลันอยากหัวเราะเยาะเมื่อมองเห็นท่าทีทุกข์ระทมของหมิงเจ๋อ สหายหลี่หมิงเจ๋อก็เจ้าชู้เสมือนพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอาย ในส่วนอื่นๆ หาได้เทียบเท่าไม่ มิน่าล่ะพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายนับวันยิ่งไม่พึ่งพอใจในตัวเขาขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อหันไปมองผู้ที่อยู่ข้างๆ ซึ่งมีอิริยาบถอันแสนสุขุมนุ่มลึกและสง่างามอย่างหมิงอวิน สองคนพอได้จับมาเปรียบเคียงกันแล้ว เห็นได้ชัดว่าผู้หนึ่งเป็นท้องนภา อีกผู้หนึ่งเป็นพื้นพสุธา
——
[1] การสอบหมิงจิ้ง (明经考试) เป็นการสอบที่เรียกว่า บัณฑิตขั้นสูง ถือว่าเป็นระดับการสอบที่ยากที่สุด โดยจากจำนวนผู้สอบหนึ่งร้อยคน จะเลือกเพียงหนึ่งถึงสองคนเท่านั้น