ตอนที่ 131 ตามใจเจ้า

ปฏิญญาค่าแค้น

หลังรับประทานอาหารมื้อค่ำเป็นที่เรียบร้อย พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายเรียกบุตรชายทั้งสองไปยังห้องหนังสือ หลินหลันจึงต้องอยู่พูดคุยกับแม่มดชราและหญิงชราไปพรางๆ 

 

 

ระหว่างนั้นเองหมิงจูและอวี๋เหลียนพากันจูงมือเข้ามาน้อมคารวะยามค่ำตามธรรมเนียบปฏิบัติ 

 

 

ป้าสะใภ้ใหญ่กลับไปช่วงเมื่อก่อนหน้านี้เพื่อฉลองปีใหม่ที่บ้านเกิดโดยทิ้งอวี๋เหลียนไว้ที่นี่ ทำให้นางตลอดทั้งวันก็จะตัวติดอยู่กับหมิงจู แต่ยังดีที่ไม่ก่อเรื่องเจ้าเล่ห์เจ้ากลอะไรขึ้นมา หลินหลันจึงไม่เก็บเอามาใส่ใจเป็นการชั่วคราว 

 

 

ประเด็นสนทนาในวันนี้ตกไปอยู่ที่เรื่องการวางแผนฉลองเทศกาลปีใหม่ 

 

 

แม่มดชราแสดงความประสงค์ว่าทั้งหมดจะจัดการตามความประสงค์ของหญิงชรา 

 

 

เดาว่าแม่มดชราคงรู้ดีอยู่แล้วว่าหญิงชราเน้นความประหยัดเป็นหลัก จึงจงใจเอ่ยถามความนึกคิดของหญิงชรา ซึ่งจะได้ง่ายต่อการใช้จ่ายอย่างประหยัดเข้าไว้ แต่หากว่ากันตามเหตุและผลนี่เป็นปีแรกที่หญิงชราจะได้ฉลองปีใหม่ที่นี่ซึ่งตามหลักก็ควรจัดอย่างครื้นเครง การที่แม่มดชราแสดงเจตจำนงเช่นนี้นอกจากจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่เคารพและเชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว ยังได้ขจัดปัญหาเรื่องการเงินไปในตัวอีกด้วย 

 

 

หญิงชรากล่าว “เรื่องเหล่านี้ ยึดไปตามความประสงค์ของเจ้าเองก็พอ ที่นี่เป็นเมืองหลวง จะเทียบกับพื้นที่ชนบทคงมิได้ที่ทุกคนแค่กินข้าวร่วมกันสักมื้อ ออกไปเดินชมการแสดงชื่นชมความครื้นเครงสักนิดก็เพียงพอแล้ว” 

 

 

ประเด็นดังกล่าวถูกโยนกลับมาอีกครั้ง “ลูกขอฟังความนึกคิดของเหล่าไท่ไทเสียก่อนแล้วค่อยถามไถ่ความประสงค์ของเหล่าเหยียอีกครั้ง หลังจากนั้นค่อยจัดการวางแผนให้ดีๆ เจ้าค่ะ” แม่มดชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม 

 

 

หมิงจูซึ่งอยู่ด้านข้างเอ่ยแทรกขึ้นมา “ท่านป้าเจ้าคะ ข้าได้ยินว่าปีนี้นิยมจุดดอกไม้ไฟ จวนเราก็จุดกันบ้างนะเจ้าคะ นี่คงสนุกกว่าจุดประทัดเยอะเลยเจ้าค่ะ” 

 

 

แม่มดชราเผยสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันใด นางตวัดสายตาไปยังหมิงจูซึ่งขณะนั้นหมิงจูดันหันหน้าไปพูดคุยกับอวี๋เหลียนพอดี จึงไม่ได้รับสัญญาณที่ส่งมาจากผู้เป็นมารดา “อวี๋เหลียน เจ้าไม่เคยเห็นดอกไม้ไฟสินะ! สวยงามมากๆ เลยล่ะ พอเสียดังปุงก็ลอยขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้า หลังจากนั้นเสมือนดอกไม้ที่กระจายตัวออก สีสันสดใส งดงามอย่างมากทีเดียว…” หมิงเจ๋อเอ่ยอย่างตื่นตาตื่นใจ 

 

 

ในยุคสมัยนี้ ดอกไม้ไฟยังถือว่าเป็นสิ่งของที่จัดอยู่ในประเภทราคาแพง คนจำนวนมากจึงนิยมจุดประทัดเพื่อเป็นสัญลักษณ์ความครื้นเครง และสิ่งที่สวยงามยิ่งประเภทดอกไม้ไฟนี้ ครอบครัวธรรมดาทั่วไปมิอาจซื้อได้ไหว มิน่าล่ะแม่มดชราถึงไม่พึงพอใจขึ้นมาเสียแล้ว 

 

 

“ของเช่นนั้นมีอันใดดี เป็นการเอาเงินไปละลายทิ้งชัดๆ” เมื่อเห็นว่าสัญญาณลับที่ตนเองแอบส่งให้หมิงจูแต่นางกลับไม่ทันสังเกตเห็นไปเสียได้ ฮานชิวเยว่จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยขึ้นมาหนึ่งประโยค 

 

 

หญิงชราเดิมทีถูกหมิงจูบรรยายเสียจนรู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าพอได้ยินว่าสิ้นเปลืองเงินจึงรู้สึกเสียดายเงิน 

 

 

หลินหลันกล่าวอย่างอ่อนหวาน “ข้าได้ยินหมิงอวินเอ่ยว่า ช่วงเทศกาลโคมไฟภายในพระราชวังจะจุดดอกไม้ไฟ ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากทุกหนแห่งในเมืองหลวง ข้าคิดว่าในเมื่อทางพระราชวังก็ต้องจุดดอกไม้ไฟอยู่แล้ว บ้านเราจึงไม่จำเป็นต้องจุดเพื่อจะได้ไม่เป็นการข้ามหน้าข้ามตาฮ่องเต้เจ้าค่ะ” 

 

 

ฮานชิวเยว่กล่าวเสริมทันควัน “เป็นเหตุผลที่ถูกต้องยิ่ง เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินเหล่าเหยียเอ่ยไว้เช่นกัน ภายในวังจุดดอกไม้ไฟอย่างอลังการ ผู้ใดกล้าจุดดอกไม้ไฟแข่งกับทางพระราชวัง นั่นคงไม่ใช่เรื่องเหมาะสมนัก” 

 

 

ในที่สุดหลินหลันก็พูดอะไรที่ทำให้นางรู้สึกพึงพอใจขึ้นมาบ้างเสียที 

 

 

ข้าช่วยเจ้ามิใช่เพื่อตัวเจ้า ข้าช่วยเจ้าเพราะยิ่งเจ้าปกปิดเรื่องการลงทุนในเหมืองถ่านหินไว้ได้นานเท่าใด อัตราความสำเร็จของแผนการหมิงอวินก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้นต่างหากล่ะ หลินหลันรำพึงรำพันในใจ 

 

 

“เช่นนั้นอย่าได้จุดเชียว” หญิงชราตื่นตัวขึ้นมาตามๆ กัน 

 

 

หมิงจูเผยสีหน้าไม่พึ่งพอใจขึ้นมาทันที นางมองค้อนใส่หลินหลันและนึกให้ร้ายอยู่ภายในใจ เจ้านั่นแหละเรื่องมาก 

 

 

“ฮ่องเต้สนับสนุนให้รู้จักมัธยัสถ์มาโดยตลอด หากปีหน้ามิใช่วันเฉลิมพระชนมพรรษาหกสิบพรรษาของไท่โฮ่ว ก็คงมิยอมสิ้นเปลืองเช่นนี้เจ้าค่ะ” หลินหลันทำเป็นมองไม่เห็นหมิงจูที่มองค้อนใส่นาง ด้วยการหันไปให้ความร่วมมือกับแม่มดชรา 

 

 

“นั่นสิ! ปีก่อนๆ เหล่าเหยียก็พูดเช่นนี้ ดังนั้นทุกปีที่ฉลองปีใหม่ล้วนกำชับอยู่เสมอว่าพยายามจัดให้เรียบง่ายมากที่สุด…” ฮานชิวเยว่ปั้นเรื่องโกหกตาใส 

 

 

หมิงจูไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้เป็นมารดาต้องการสื่อ นางเข้าใจเพียงผู้เป็นแม่ถูกหลินหลันจูงจมูกเสียแล้ว จึงกล่าวเชิงโต้แย้ง “ในช่วงฉลองเทศกาลปีใหม่ของปีก่อนนู้น ในจวนยังเรียนเชิญคณะแสดงละครซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงมามิใช่หรือเจ้าคะ และข้ายังจำได้ว่าปีก่อนก็ร้องรำทำเพลงกันถึงสามวันสามคืนด้วยซ้ำ ส่วนปีที่แล้วยังเรียนเชิญคณะเล่นมายากลมาด้วยสองคณะ…” 

 

 

ฮานชิวเยว่รู้สึกหงุดหงิดอย่างจริงจังเสียแล้วจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าจะไปเข้าใจอันใด เวลานี้หาได้เหมือนเมื่อก่อนไม่ ตอนนี้ท่านลุงเขยเจ้าเป็นถึงรองเสนาบดีกรมคลัง อยู่ในตำแหน่งสูงศักดิ์ พี่รองของเจ้าก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ผู้คนมากมายต่างพากันจับจ้องมายังตระกูลเราจึงไม่ควรทำเรื่องอันใดซึ่งเป็นความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยถึงจะเป็นการดีที่สุด” เจ้าเด็กไม่รู้ประสีประสาคนนี้มันน่าโมโหนัก ยังกล้าเอ่ยถึงการเชิญคณะแสดงละครขึ้นมาอีก แค่วันเดียวก็เป็นเงินมากถึงห้าร้อยเหลี่ยงเงิน ซึ่งนั่นเป็นราคาของปีที่แล้ว ไม่รู้ว่าปีนี้ขึ้นราคาไปถึงไหนต่อไหน ตอนนี้นางมีเงินมากพอที่จะไปเชิญอะไรเช่นนั้นมาได้ที่ไหนกัน 

 

 

หมิงจูเบะปากด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจเมื่อถูกผู้เป็นแม่ขึ้นเสียงใส่ นางก้มหน้าพร้อมกับบิดผ้าเช็ดหน้าในมือ โดยคิดเสียว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเป็นใบหน้าอันชวนจงเกลียดจงชังของหลินหลัน ซึ่งรู้สึกอยากจะบีบนางให้ตายไปเสีย 

 

 

อวี๋เหลียนกระตุกชายแขนเสื้อหมิงจูด้วยความเห็นใจ 

 

 

หญิงชรากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เอาเป็นว่าไม่ต้องให้อลังการมากเกินไปจะเป็นการดี ประหยัดได้ก็ประหยัดเข้าไว้” 

 

 

ในที่สุดฮานชิวเยว่ก็ได้รู้สึกเบาใจลงเสียที นางรีบน้อมรับความคิดเห็นอย่างว่องไว “เหล่าไท่ไทพูดถูกอย่างยิ่งเจ้าค่ะ!” ในเมื่อหญิงชราเอ่ยเช่นนี้แล้ว นางก็สามารถหยิบยกคำพูดดังกล่าวไปแอบอ้างเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเมื่อพูดคุยต่อหน้าผู้เป็นสามีได้แล้ว 

 

 

การถกเถียงผ่านพ้นไปโดยสมดั่งปรารถนาของแม่มดชรา สีหน้าของแม่มดชราจึงผ่อนคลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

เมื่อออกมาจากโถงจาวฮุย หมิงจูจงใจลากอวี๋เหลียนเดินเชิดหน้าลอยตาผ่านหลินหลันขณะเดียวกันก็กล่าวพึมพำขึ้นมา “สมกับที่มาจากบ้านนอก ยากจนเสียจนเคยชิน…” 

 

 

หลินหลันรู้ดีว่าประโยคดังกล่าวของหมิงจูนั่นโจมตีมาทีนาง อย่างไรก็ตามดูเหมือนสีหน้าของอวี๋เหลียนที่ถูกหมิงจูจูงมืออยู่นั้นจะย่ำแย่เสียยิ่งกว่า ขณะนั้นนางจึงฟื้นยิ้มหวานให้และแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเท่านั้น ลูกพี่ลูกน้องหญิงซึ่งไม่ได้ขึ้นชื่ออย่างเป็นทางการอย่างเจ้าก็มาจากบ้านนอกเช่นกันมิใช่หรือ รวมถึงพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายที่ไม้กล้ายอมรับเจ้าก็มาจากบ้านนอกเช่นกันมิใช่หรือ จะด่าคนอื่นทั้งทียังไม่รู้จักใช้สมองกลั่นกรองเสียบ้าง 

 

 

หรูอี้เข้ามาช่วยผูกผ้าคลุมกันลมให้นายหญิงน้อยพร้อมกับกล่าวโน้มน้าว “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าค่ะ ท่านอย่าได้สนใจนางเลย ก็แค่ลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่ง และจากมารยาทก็เทียบกับคนที่เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกันจริงๆ มิได้ด้วยซ้ำเจ้าค่ะ” 

 

 

หลินหลันกระชับผ้าคลุมกันลมและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นางอาจเจ้าใจว่าตนเองกลายเป็นคุณหนูจริงๆ แล้วกระมัง” 

 

 

หรูอี้เดิมทีก็ไม่เห็นลูกพี่ลูกน้องคนนี้ในสายตาอยู่แล้ว จึงกล่าวขึ้นเชิงตำหนิ “นางหรือจะคู่ควร มิรู้จักมองดูสถานะตนเองเสียหน่อย” 

 

 

“เอาล่ะ มิต้องพูดแล้ว รู้อยู่แก่ใจก็พอ ระวังผู้ใดจะมาได้ยินเข้า” หลินหลันกล่าวตักเตือน 

 

 

ขณะนี้เองหรูอี้ถึงได้สงบปากสงบคำลง เดินตามหลังนายหญิงที่กำลังมุ่งหน้ากลับไปโดยเดินไปตามระเบียงทางเดินอย่างเงียบๆ 

 

 

ท้องนภามืดสนิทและเงียบสงัด บรรยากาศภายนอกเหน็บหนาวไปถึงกระดูก หรือว่าหิมะใกล้จะตกแล้ว หลินหลันอดไม่ได้ที่จะเร่งฝีก้าวให้ไวขึ้นด้วยอยากกลับไปยังห้องนอนอันอบอุ่นของนางให้ไวที่สุด 

 

 

ทันทีที่หลินหลันกลับมาถึงห้องนางก็นั่งรออยู่สักประเดี๋ยว เมื่อไม่เห็นทีท่าว่าหมิงอวินจะกลับมานางจึงไปอาบน้ำอาบท่าหลังจากนั้นก็ซุกตัวลงใต้ผ้าห่มอุ่นๆ บนเตียงนอน แม้ว่าหยินหลิ่วจะใส่โถน้ำร้อน [1] ไว้ในผ้าห่มให้แต่แรกแล้ว แต่โถน้ำร้อนนี่ก็ให้ความอบอุ่นในตำแหน่งเดียว มีหรือจะสู้ผ้าห่มอย่างหมิงอวินที่ให้ความอบอุ่นได้ทั่วทุกตำแหน่ง หลินหลันอดโอดครวญไม่ได้ พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายมีอะไรต้องพูดมากมายขนาดนั้น ดึกดื่นแล้วยังไม่ยอมปล่อยคนเขากลับมาอีก 

 

 

ขณะที่กำลังคิดอยู่เช่นนี้ก็ได้ยินเสียงอันออดอ้อนของป๋ายฮุ่ยดังเข้ามา “เอ้อร์เส้าเหยียกลับมาแล้วเจ้าค่า…” 

 

 

เสียงเมื่อครู่ที่ได้ยินวันนี้กลับรู้สึกว่ามีความนุ่มนวลอ่อนหวานเป็นพิเศษและก็บาดหูเป็นพิเศษด้วยเช่นกัน หลินหลันถอนหายใจด้วยความอึดอัด ท้องนภาต้องมีฝนตก สตรีต้องแต่งงาน จะฉุดรั้งอย่างไรก็คงมิอาจรั้งได้ ระยะเวลาที่ผ่านมานางไม่เคยมีความประสงค์ขัดขวางไม่ให้ป๋ายฮุ่ยเข้าใกล้หมิงอวิน ด้วยหวังว่าป๋ายฮุ่ยจะเข้าใจได้ด้วยตนเองว่านายน้อยไม่มีทางชอบพอนางและยิ่งไม่มีทางต้องการคนอย่างนาง น่าเสียดายที่นางไม่อาจเข้าใจ 

 

 

ผ้าม่านถูกเลิกขึ้น ทันใดนั้นสายลมอันเย็นยะเยือกก็พัดผ่านเข้ามา ทำให้รู้สึกถึงอากาศภายนอกที่หนาวจับใจ หลินหลันถึงกับตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้นหมิงอวินก็เดินเข้ามา 

 

 

หลี่หมิงอวินเห็นหลินหลันขึ้นไปอยู่บนเตียงนอนเป็นที่เรียบร้อย เขาส่งยิ้มให้ “ข้าแวะไปรับเจ้าที่โถงจาวฮุยด้วย” 

 

 

ป๋ายฮุ่ยเดินตามเข้ามาและช่วยปลดผ้าคลุมกันลมให้แก่ผู้เป็นนาย 

 

 

“พูดคุยสัพเพเหระกันไม่กี่ประโยคก็แยกย้ายแล้วล่ะ” หลินหลันเอ่ยโดยจับจ้องสายตาไปยังป๋ายฮุ่ยที่กำลังช่วยปลดเข็มขัดบนชุดให้หมิงอวิน นางอยากลุกขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าไปผลักป๋ายฮุ่ยออกไปอย่างมาก ทว่าด้วยความเหน็บหนาวจากด้านนอกที่มากเกินไปจึงได้แต่อดกลั้นไว้ 

 

 

“นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้ารีบไปอาบน้ำอาบท่าเถิด พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้าอีก!” หลินหลันเอ่ยโดยเบนสายตาไปทางอื่นเพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นท่าทีอันกระตือรือร้นของป๋ายฮุ่ย 

 

 

หลี่หมิงอวินเอ่ยภายใต้สีหน้าเบิกบาน “เดี๋ยวข้ามา” 

 

 

เขามุ่งไปยังห้องน้ำขณะเอ่ย หลังจากนั้นก็มีเพียงเสียงของอวี้หลงที่ดังขึ้น “เดี๋ยวข้าช่วยปรนนิบัติเอ้อร์เส้าเหยียแล้วกัน!” และนางก็ปล่อยป๋ายฮุ่ยไว้ด้านนอกเช่นนั้น 

 

 

หลินหลันส่งเสียงกระแอมขึ้นมาสองที “ป๋ายฮุ่ย ข้ารู้สึกกระหายเล็กน้อย เจ้าช่วยไปชงน้ำผึ้งให้ข้าทีสิ” 

 

 

ป๋ายฮุ่ยสอดส่ายสายตาไปมาอยู่ชั่วขณะก่อนจะขานรับแล้วเดินออกไป 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] โถน้ำร้อน หรือในภาษาจีนคือทังโผจื่อ (汤婆子) ซึ่งมีมาตั้งแต่ราชวงศ์ซ่ง โถน้ำร้อนจะมีรูปทรงกลมแบน มักทำมาจากทองแดง ดีบุก หรือเซรามิก ด้านในกลวง ด้านบนมีรูสำหรับใส่น้ำร้อน มีฝาปิด มีหูหิ้วด้านบนคล้ายกาน้ำชาเล็กๆ