เล่มที่ 4 บทที่ 117 ระมัดระวังทุกย่างก้าว

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“เจ้ามีแผนแล้วหรือ?”

    อันที่จริง หลังจากหลงเทียนอวี้ได้ยินคำพูดของหลินเมิ้งหยา เขาวางแผนไว้ในใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ทว่า เขาอยากลองฟังแผนการของหลินเมิ้งหยาก่อน

    สตรีคนนี้หาได้เหมือนคนอื่นไม่ นางมักมีแผนการแปลกประหลาดมากมายนับไม่ถ้วน

    กลยุทธ์บางอย่างเขาก็ไม่เคยรู้และไม่เคยเห็น

    อยากรู้เหลือเกินว่าสมองเล็กๆ ของนางยังมีข้อมูลอะไรที่เขาไม่รู้จักอีกบ้าง

    “ถึงอย่างไรก็คงต้องรบกวนท่านอ๋องกระจายข่าวลือว่าเจอตัวฆาตกรแล้วออกไปเพคะ”

    หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มมีเลศนัย รอยยิ้มเช่นนั้นทำให้หลงเทียนอวี้รู้สึกคันยุบยิบ

    ทุกครั้งที่นางยิ้มเช่นนี้ จะต้องมีคนซวย

    “ได้” หลงเทียนอวี้พยักหน้า ไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองเอ็นดูหญิงสาวคนนี้มากมายขนาดไหน

    “เช่นนั้นต้องขอบพระทัยท่านอ๋องมากเพคะ พวกเรามารอลุ้นข่าวดีกันดีกว่า”

    รอยยิ้มของหลินเมิ้งหยาเจือไว้ซึ่งความเย็นชา

    เมื่อครู่นางพอจะรู้แล้วว่าทั้งไท่จื่อและฮ่องเต้หมิงล้วนรู้เรื่องการถูกข่มขืนของพี่เยว่ถิง

    มิเช่นนั้น เหตุใดพวกเขาจึงสงสัยนางซึ่งมีความแค้นกับหูลู่หนานก่อนเป็นคนแรก?

    ฮ่องเต้แห่งซีฟานตัวดี องค์ชายรัชทายาทแห่งต้าจิ้นตัวดี

    ในเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นคงต้องปล่อยไปตามน้ำ ถึงอย่างไรนางก็มั่นใจในแผนการของตนเอง

    ตกลงโลกใบนี้ยังมีคำว่ายุติธรรมอยู่หรือไม่?

    ในเมื่อเรื่องราวเป็นไปแบบนี้แล้ว เช่นนั้นอย่าหาว่านางใจร้ายเลยแล้วกัน

    หลินเมิ้งหยาดำดิ่งในความคิดของตนเอง นางมองไม่เห็นสายตาอ่อนโยนของชายหนุ่มตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

    ทั้งสองแอบกลับไปยังกระโจมของจวนอวี้ โดยที่ไม่มีใครทันสังเกต

    หลงเทียนอวี้ยืนอยู่ด้านนอก มองดูหลินเมิ้งหยาแหวกผ้าม่านและหายไปจากแนวสายตา

    สีหน้าอ่อนโยนเสมือนสายน้ำไหลพลันหายไป

    ใบหน้าของเขากลับมาเย็นชาดังเดิม ก่อนหมุนตัว สาวเท้ายาวๆ ออกจากกระโจม

    ดูเหมือนเขาที่มักแสดงท่าทีสงบนิ่งเสมอจะทำให้ไท่จื่อคิดว่าเขาเป็นคนที่สามารถรังแกได้ง่ายๆ

    “หลินขุ๋ย สั่งให้คนของเรากระจายข่าวว่าจับตัวคนร้ายที่ทำร้ายหูลู่หนานได้แล้ว”

    แผนการของหลินเมิ้งหยาล้ำเลิศ แต่ถ้าอยากจะทำให้คนพวกนี้เผยไต๋ออกมา เช่นนั้นคงต้องใช้ไม้แข็งดูสักหน่อย

    “พ่ะย่ะค่ะ”

    หลินขุ๋ยไปจัดการงานของตนเอง หลงเทียนอวี้กลับไปยังที่พักของหลงชิงหาน

    ทันทีที่เดินผ่านประตูเข้ามา เขาได้เห็นหลงชิงหานนอนเหยียดกายอยู่บนเตียง กลิ่นเหล้าที่คละคลุ้งกลางอากาศทำให้คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดเข้าหากัน

    ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่ไปกินเหล้าจากที่ใดมา ท่าทางของเขาจึงเละเทะเช่นนี้

    “พี่สาม? เป็นอะไรไป? ถูกพี่สะใภ้ไล่ออกมาอีกแล้วหรือ?”

    หลงชิงหานหัวเราะ ราวกับว่าตั้งแต่ที่พี่สามได้รู้จักกับพี่สะใภ้ พี่สามมักถูกขู่เข็ญเสมอ

    หลงเทียนอวี้ไม่สนใจเขา นั่งลงบนเก้าอี้พลางอ่านเอกสาร

    “แต่พี่สาม พี่จะจัดการเรื่องของเยว่ถิงอย่างไร?”

    เริ่มสร่างเมา หลงชิงหานมองดูชายตรงหน้า ดวงตากลับมาแจ่มแจ้งชัดเจนดังเดิม

    “เรื่องของเยว่ถิงถูกวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เป้าหมายมิใช่เพียงสกุลเยว่ แต่ยังบีบข้าให้เข้ามาร่วมรับผิดชอบอีกด้วย”

    สกุลหลินเชื่อมความสัมพันธ์กับจวนอวี้

    หนึ่งร่วงทุกคนล่ม หนึ่งรุ่งโรจน์ทุกคนรุ่งเรือง

    ดังนั้น หลงเทียนอวี้จึงคิดอยากต่อสู้กับไท่จื่อ

    “ท่านไม่คิดว่ามันคือแผนการของฮองเฮาอย่างนั้นหรือ?”

    ไท่จื่อยังอ่อนหัด คนที่น่ากลัวที่สุดคือสตรีที่กุมอำนาจของวังหลวงคนนั้นต่างหาก

    ฮองเฮาได้กุมอำนาจสูงสุดเอาไว้ในมือ อีกทั้งนางยังมาจากตระกูลของชนชั้นสูง ความสามารถในการควบคุมผู้อื่นจึงมากมายเกินกว่าที่พวกเขาจะคาดถึง

    หลงเทียนอวี้กลับส่ายหน้า ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

    “เรื่องนี้น่าจะเป็นแผนการของไท่จื่อและองค์ชายรองเพียงสองคน หากฮองเฮารู้ ไท่จื่อต้องถูกตำหนิอย่างแน่นอน”

    ตลอดหลายปีมานี้ แม้พวกเขาจะต้องอยู่บนความหวาดระแวง แต่ไท่จื่อเองก็หาได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย

    ฮองเฮายังคงแผ่ขยายอำนาจ นางคิดเพียงว่าไท่จื่ออายุยังน้อย คิดได้ไม่รอบคอบ ดังนั้นจึงกุมอำนาจของไท่จื่อเอาไว้

    ทว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้ ไท่จื่อลงมือทำเพราะอยากพิสูจน์ตัวเอง

    จะไม่พูดไม่ได้ว่า นี่อาจเป็นโอกาสที่สวรรค์ประทานให้กับพวกเขา

    “จะว่าไปแล้วก็จริง ผู้หญิงคนนั้นวางกลอุบายได้อย่างเหนือชั้น ไม่มีทางเลยที่จะปล่อยให้เกิดความผิดพลาด”

    หลงชิงหานหัวเราะเสียงเบา แต่ถึงกระนั้นก็แสดงให้เห็นถึงความไม่ประสงค์ดี

    “หากมีใครสักคนทูลฮองเฮาเรื่องนี้แล้วละก็ เกรงว่าไท่จื่อคงจะโดนด่าจนแทบกระอักเลือดเลยทีเดียวเชียว”

    เมื่อเทียบกับพวกนักต้มตุ๋นแล้ว พวกเขาฉลาดกว่ามาก อีกทั้งยังลงมือโดยไร้ความปรานี

    “หากเป็นเช่นนั้น เขาคงไม่มีเวลาร่วมมือทำแผนชั่วกับฮ่องเต้หมิงอย่างแน่นอน”

    หลงเทียนอวี้เอ่ยออกมาสั้นๆ ราวกับว่าเรื่องของคนเหล่านั้นมิได้เกี่ยวข้องกับตนเองเลยแม้แต่น้อย

    เสียงซุบซิบนินทายังคงดังอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน ช่วงบ่ายหลินเมิ้งหยาขังตัวเองไว้ในกระโจมไม่ยอมออกไปไหน

    กำหนดการกลับเมืองหลวงถูกเลื่อนออกไป

    สายตาของทุกคนกำลังจับจ้องดูการเคลื่อนไหวของหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้

    รอดูว่าพวกเขาจะจับตัวคนร้ายได้เช่นไร

    “ยังไม่ดีขึ้นอีกหรือ?”

    คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น สายตาอันเปี่ยมไปด้วยความกังวลจ้องมองทางหมอหลวง

    “ทูลพระชายา คุณหนูเยว่มีอาการป่วยทางใจ ไม่มียาอันใดสามารถรักษาให้หายได้พ่ะย่ะค่ะ”

    หมอหลวงมองหลินเมิ้งหยาด้วยท่าทางลำบากใจ ไม่มีใครรู้เลยว่าความสัมพันธ์ของคุณหนูสกุลเยว่และพระชายาอวี้จะดีมากถึงเพียงนี้

    หากรักษาให้หายก็คงมิเป็นไร แต่ถ้ารักษาไม่หาย เกรงว่าจะต้องโทษจากพระชายาอวี้อย่างแน่นอน

    “ป่วยทางใจ?”

    หลังจากวันที่ได้สนทนากับตนเอง เยว่ถิงยังคงหลับและไม่ฟื้นขึ้นมาอีก

    ไม่ว่านางและเยว่ฉีจะร้องเรียกเยว่ถิงดังสักเพียงไหน แต่นางก็ไม่ตื่น

    เวลาเพียงสองวัน เยว่ถิงกลับซีดเซียวลงมาก

    มองดูใบหน้าขาวซีดบนเตียง แม้แต่ลมหายใจยังอ่อนแรง แม้หลินเมิ้งหยาจะร้อนใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

    “พี่สาว ต่อให้ท่านร้อนใจไปก็ไม่มีความหมาย พักสักหน่อยเถิด กินอะไรสักเล็กน้อย หากท่านเองก็เจ็บป่วยไปด้วยแล้วใครจะดูแลพี่เยว่ถิงเล่า?”

    หลินจงอวี้มองดูพี่สาว สายตาเป็นกังวลจ้องมองหลินเมิ้งหยาที่ดูแลเยว่ถิงโดยมิห่างแม้แต่เพียงก้าวเดียว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าร่างกายจะต้องรับไม่ไหวอย่างแน่นอน

    “ใช่แล้วเจ้าค่ะนายหญิง ท่านเป็นเสมือนหัวใจของพวกเรา หากท่านเป็นอะไรไปขึ้นมา พวกเราจะทำอย่างไร?”

    ทั้งที่มาที่นี่กันด้วยความเบิกบานสำราญใจ แต่อยู่ๆ เหตุการณ์กลับพลิกผันราวกับฟ้าและเหว

    นับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องขึ้นกับเยว่ถิง สาวใช้ทั้งสี่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศขุ่นมัว ใบหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้ม สภาพจิตใจหดหู่ ไม่แจ่มใส

    อาเสวี่ยนอนลงแนบเท้าของหลินเมิ้งหยา ดวงตาสดใสร่าเริง มันไม่ยอมหนีห่างจากหลินเมิ้งหยาแม้แต่เพียงก้าวเดียว

    มองดูใบหน้าเสมือนคนกำลังร้องไห้ของทุกคน หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าตนเองไม่สามารถปล่อยปละตัวเองให้เป็นเช่นนี้ต่อไปได้

    “พี่หลิน ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงพี่สาวของข้า” เยว่ฉีปาดน้ำตา ทว่ากลับฝืนยิ้มออกมา

    “ฉีเอ๋อร์รู้ว่าพี่หลินกำลังหาวิธีแก้แค้นให้กับพี่สาวของข้า แต่ท่านเองก็ต้องดูแลสุขภาพของท่านด้วย”

    หลายวันมานี้ เยว่ฉีเองก็มาอยู่ด้วยกันกับหลินเมิ้งหยาที่นี่

    ฮูหยินเยว่ส่งคนมาเชิญนางกลับ ทว่าป๋ายซ่าวไล่ตะเพิดคนเหล่านั้นกลับไปหมดแล้ว

    ต่อมา ได้ยินมาว่าท่านลุงเยว่ระเบิดอารมณ์รุนแรง ด่าว่าฮูหยินเยว่อย่างไม่ไว้หน้า ดังนั้นฮูหยินเยว่จึงสงบลง

    “อือ ข้ารับรู้ได้ถึงความหวังดีของพวกเจ้า พวกเจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว”

    หลินเมิ้งหยาปกปิดความเจ็บปวดเอาไว้ในใจ ใบหน้าเผยให้เห็นความอ่อนโยน

    ตอนนี้ยังมิใช่เวลาเสียใจ

    หูลู่หนานกลายเป็นอัมพาตไปแล้ว แต่ยังมีเสืออีกหลายตัวให้นางต้องจัดการ

    “ฉีเอ๋อร์ ไปหาพ่อเจ้ากับข้าเถิด”

    ป๋ายจีสวมเครื่องประดับหยกบนศีรษะของหลินเมิ้งหยา ก่อนจะจัดแต่งเสื้อผ้าของนางให้ดี ดังนั้นในสายตาของผู้อื่น นางจึงยังคงเป็นชายาอวี้ผู้มิกลัวเกรงฮ่องเต้หมิงและไท่จื่อ

    พาเยว่ฉีเดินออกจากที่พัก ระหว่างทางได้ยินเสียงกระซิบกระซาบไม่น้อย

    ได้ยินคำพูดว่าร้ายพี่สาวของตนเองจากคนเหล่านั้น ใบหน้าเรียวเล็กขาวนวลของเยว่ฉีพลันซีดเผือด

    มือเล็กเย็นยะเยือกทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่น แต่กลับถูกความอบอุ่นบางอย่างโอบกอดไว้

    “พี่หลิน ข้า…” เงยหน้าขึ้น ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ซึ่งกำลังเปียกชื้นเงยขึ้นประสบกับแววตาอ่อนโยนอบอุ่นของหลินเมิ้งหยา

    อยู่ๆ นางก็เข้าใจความหมายในแววตาของหลินเมิ้งหยา มันคือแววตาที่ฝืนแสดงความเข้มแข็งออกมาและเก็บซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ในหัวใจ

    “ฉีเอ๋อร์ พี่เยว่ถิงถูกทำร้าย ตอนนี้เจ้าเป็นความหวังของสกุลเยว่แล้ว อย่าให้ใครได้เห็นความอ่อนแอของเจ้า”

    นอกจากเยว่ฉี ทุกคนในสกุลเยว่ล้วนคิดว่าเยว่ถิงคือความอับอาย

    แม้แต่ฮูหยินเยว่ยังวางแผนทำร้ายลูกสาวของตนเองได้ ดังนั้นมีเพียงเยว่ฉีเท่านั้นที่จะสามารถปกป้องดูแลเยว่ถิงได้

    “ข้า? ข้าจะแทนที่พี่สาวได้อย่างไร? พี่สาวต่างหากที่เป็นเสมือนแสงสว่างแห่งสกุลเยว่”

    นางก้มหน้าลง หยาดน้ำตารินไหลอีกครั้ง

    ตอนเยว่ถิงอายุสิบสาม ทุกคนในเมืองหลวงล้วนรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของนาง ทั้งเรื่องความสวยงามและสติปัญญา

    ในสายตาของเยว่ฉี พี่สาวเปรียบเสมือนนางฟ้าบนสวรรค์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก

    ทว่าตอนนี้นางฟ้าองค์นั้นถูกทำร้าย โลกของนางเองก็ย่อยยับตามไปด้วย

    “เจ้าเป็นน้องสาวแท้ๆ ของพี่เยว่ถิง เพราะฉะนั้นเจ้าเองก็เป็นเหมือนพี่เยว่ถิงเช่นเดียวกัน”

    สกุลเยว่มีทายาทเพียงพวกนางสองพี่น้อง แม้ภรรยาอนุจะมีลูกชาย แต่ถึงกระนั้นก็มิได้รับการยอมรับจากสกุลเยว่

    แต่เพราะเยว่ฉีอายุยังน้อย ดังนั้นนางจึงยังไม่เข้าใจเรื่องนี้

    มองดูกระโจมสกุลเยว่ที่อยู่ไม่ไกล แต่หลินเมิ้งหยาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงแรงกดดันที่ส่งออกมา

    “รบกวนแจ้งท่านลุงเยว่หน่อยว่าชายาอวี้มาขอพบ”

    ทาสรับใช้ของสกุลเยว่ล้วนจงรักภักดีต่อเยว่ถิง ดังนั้นพวกนางจึงรู้สึกตื้นตันในสิ่งที่หลินเมิ้งหยาทำ

    ทาสที่อยู่เฝ้าหน้ากระโจมรีบเข้าไปแจ้ง ไม่นานก็กลับออกมา

    “เชิญพระชายาอวี้และคุณหนูรองเจ้าค่ะ”

    ถวายคำนับอย่างมีมารยาท หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง จูงมือเยว่ฉีเข้าไปในกระโจม