บทที่ 99 แบ่งปันข้อมูล

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

และความลับนี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเสียงขอความช่วยเหลือที่ข้าได้ยินมากกว่าครึ่ง ถึงขั้นที่ว่า…ถึงขั้นที่ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นก็เพราะข้า…สวี่ชีอันตกใจในการคาดเดาของตัวเอง

เขาเป็นตำรวจฝ่ายอาชญากรรมผู้เติบใหญ่แล้ว มีตรรกะความคิดละเอียดรอบคอบ จึงไม่ได้เชื่อสนิทใจว่าตนคือ ‘ฆาตกรตัวจริง’ ในทันที แต่กล่าวอย่างเด็ดขาดว่าเขาเป็นผู้ต้องสงสัย

เรื่องราวยังมีความเป็นไปได้อื่นอยู่อีก แม้ว่าจะตรวจสอบจากซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวดูแล้วรู้ว่ามีเพียงเขาคนเดียวที่ได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือก็ตาม

แต่ยังไม่แน่หรอกว่าจะเป็นตัวเขาที่ทำให้เกิดความวุ่นวายเช่นนี้

ทะเลสาบซังผอมีความลับซ่อนอยู่ อีกอย่างก็เป็นความลับที่มีเพียงจักรพรรดิหยวนจิ่งผู้เดียวที่รู้ เป็นไปได้ว่าความวุ่นวายครั้งนี้อาจจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นเพราะความพิเศษของตัวเขา จึงได้ยินเสียงที่ไม่ควรได้ยินขึ้นมา

‘ความพิเศษของตัวข้า…น่าจะเป็นความสามารถเก็บเงินได้อย่างน่าประหลาดนี่แหละ’ ความรู้สึกของสวี่ชีอันซับซ้อนยิ่ง มีทั้งความกระหายรู้อย่างแรงกล้าและความกังวลใจที่จะตามหาความจริง เพราะกลัวว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ตนในวัยแบบนี้จะทนรับไม่ไหว

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษก็เสร็จสิ้น

ทหารรักษาพระองค์และบุคคลระดับสูงของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคุ้มครองเชื้อราชวงศ์และขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายจากไป พวกสวี่ชีอันจึงเลิกงานได้อย่างโล่งอก

“แปลกจริง ที่แท้แล้วมีอะไรอยู่ในวัดหย่งเจิ้นซานเหอกันแน่”

ระหว่างทางกลับ ซ่งถิงเฟิงมีสีหน้าผ่อนคลาย เริ่มซุบซิบนินทาระบายเรื่องที่อยู่ในใจ

“เบิกตาดูทางด้วย หลี่หรงเฮ่า[1]” สวี่ชีอันหัวเราะพลางเล่นมุก พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของตนเพื่อให้ใจสงบ

“ผู้ใดคือหลี่หรงเฮ่า” ซ่งถิงเฟิงถามกลับด้วยความสงสัย

สวี่ชีอันไม่สนใจเขา

เหล่าฆ้องทองแดงคนอื่นๆ ก็กำลังพูดถึงความผิดปกติเมื่อครู่เช่นกัน

“เมื่อครู่คือปราณกระบี่ใช่หรือไม่ ข้าไม่เคยเห็นปราณกระบี่ที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อน แม้แต่ฆ้องทองคำจางที่เลี้ยงดูจิตกระบี่ก็ยังเทียบไม่ได้เลย” ฆ้องทองแดงผู้หนึ่งกล่าว

“ตกใจหมด เมื่อครู่ข้าคิดว่าจะมีนักฆ่าเสียแล้ว ข้าว่านักฆ่าที่น่ากลัวขนาดนี้จะเข้ามาในเมืองหลวงได้อย่างไร เมืองหลวงของพวกเขามีทั้งท่านโหราจารย์และท่านราชครูประจำอยู่เชียวนะ”

“พวกเจ้าว่าในวัดนั่นมีอะไรอยู่กันแน่”

คำถามนี้ทำให้เหล่าฆ้องทองแดงต่างมองหน้ากัน ตอบไม่ได้

“มันคือกระบี่ที่องค์จักรพรรดิผู้ก่อตั้งอาณาจักรใช้สู้ศึกในสนามรบเมื่อสมัยนั้น” สวี่ชีอันกล่าว

ทุกคนพากันหันมามอง ท่าทีของพวกฆ้องทองแดงในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต่อสวี่ชีอันมีอยู่สองขั้ว

บางคนอยากคบหากับเขา บางคนก็อิจฉาริษยาเขา

ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ที่สามารถทำให้ฆ้องทองคำสองคนต่อสู้แข่งกันยกใหญ่ได้ ต่อไปเจ้าหนูนี่จะต้องมีอนาคตไร้ที่สิ้นสุดแน่นอน อย่างน้อยก็ต้องได้เป็นฆ้องเงิน

“เจ้าจะไปรู้อะไร” มีคนเอ่ยเยาะเย้ยขึ้นมา

“ไปถามศิษย์พี่รุ่นก่อนเอาเองสิ” สวี่ชีอันก็ยิ้มเยาะเช่นกัน

คนเหล่านี้ล้วนเป็นฆ้องทองแดงอายุน้อย ไม่ค่อยรู้เรื่องสงครามด่านซานไห่นัก แต่ฆ้องทองแดงและฆ้องเงินคนเก่าๆ น่าจะรู้เรื่องในอดีตที่จักรพรรดิหยวนจิ่งได้อัญเชิญกระบี่เทพออกมามอบให้อ๋องสยบแดนเหนือดี

ที่น่าพูดถึงคืออ๋องสยบแดนเหนือดำรงตำแหน่งชินอ๋อง[2] เป็นน้องชายแท้ๆ ของจักรพรรดิหยวนจิ่ง

ราชทินนามที่แท้จริงคือไหวอ๋อง

อ๋องสยบแดนเหนือคือคำเรียกอย่างเคารพของไหวอ๋อง เพราะเขารักษาการณ์อยู่ทางเหนือ คอยสยบชนเผ่าทุ่งหญ้าพวกนั้น

ชินอ๋องมีอยู่มากมาย แต่อ๋องสยบแดนเหนือมีเพียงคนเดียว

เมื่อสังเกตเห็นกลิ่นความขัดแย้งของสวี่ชีอันกับฆ้องทองแดงผู้นั้นแล้ว ฆ้องทองแดงทุกคนก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นอย่างแนบเนียน

พิธีบวงสรวงบรรพบุรุษครั้งนี้น่าตกใจแต่ไม่มีอันตราย เมื่อภารกิจเสร็จลุล่วงด้วยดีแล้ว เหล่าฆ้องทองแดงก็พูดคุยปรึกษากันว่ายามเย็นจะไปที่สำนักสังคีตหรือหอนางโลมที่คุ้นเคยแห่งไหนดี

นี่เป็นยุคสมัยที่แห้งแล้งน่าเบื่ออย่างยิ่ง กิจกรรมบันเทิงและการเข้าสังคมของเหล่าชายหนุ่มนั้น นอกจากจะไปฟังดนตรีที่หอคณิกาแล้ว ก็มีเพียงไปนอนกับผู้หญิงที่หอนางโลมเท่านั้น

น่าเบื่อจริงๆ!

เมื่อกลับมายังที่ว่าการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็ใจสั่น รู้แล้วว่า ‘กลุ่มแชทหนังสือปฐพี’ เกิดการเคลื่อนไหว

เขาอ้างว่าจะไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นจึงหยิบกระจกหยกใบเล็กออกมา มองเห็นนักบวชเต๋าจินเหลียนกำลังเรียกปรึกษาตนกับหมายเลขหนึ่ง

‘เก้า: หมายเลขหนึ่ง หมายเลขสาม พิธีไหว้บรรพบุรุษเสร็จสิ้นแล้วเกิดเรื่องอะไรหรือถึงได้วุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้’

หมายเลขหนึ่งไม่ได้ตอบกลับ แต่เป็นคนอื่นที่มากินเผือกอย่างคึกคักอย่างยิ่งแทน

‘สอง: ท่านนักบวช พูดเช่นนี้หมายความว่าอะไรหรือ จักรพรรดิหยวนจิ่งเจอมือสังหารในพิธีไหว้บรรพบุรุษหรือ ตายหรือยัง ฮ่าๆ’

สวี่ชีอันกล้ายืนยันเลยว่าหมายเลขสองผู้นี้ต้องไม่ใช่คนในราชสำนักแน่นอน นอกจากว่าเขา (นาง) ไม่คิดจะพบหน้าหมายเลขหนึ่งกับตนไปชั่วชีวิต

ถ้าหากวัยรุ่นขี้โมโหหมายเลขสองผู้นี้มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยของข้าล่ะก็ คงถูกตำรวจประชาชนตามหาทางอินเทอร์เน็ตแล้วไปเชิญมากินข้าวแดงที่สถานีตำรวจบ่อยๆ แน่

‘เก้า: ข้ากำลังนั่งสมาธิอยู่ แต่จู่ๆ ก็มองเห็นปราณกระบี่สายหนึ่งจากทะเลสาบซังผอพุ่งทะลวงผ่านท้องฟ้าไป เหมือนกับปราณใสทะลวงขึ้นฟ้าของสำนักอวิ๋นลู่ในวันนั้น’

‘สอง: ยอดฝีมือคนไหนมาลอบสังหารล่ะ’

‘เก้า: กระบี่สมบัติประจำอาณาจักรเล่มนั้นคือกระบี่ของจักรพรรดิผู้ก่อตั้งต้าฟ่ง หลังจากต้าฟ่งก่อตั้งอาณาจักรแล้ว มันก็ถูกชำระล้างด้วยโชคชะตาของอาณาจักรทุกวันจนกลายเป็นสมบัติที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับชะตาของอาณาจักรต้าฟ่ง ตามหลักแล้ว อาวุธหนักๆ เช่นนี้ไม่น่าจะเกิดความผิดปกติขึ้นได้’

หลังจากหมายเลขสองพูดจบ นักบวชเต๋าจินเหลียนหมายเลขเก้าก็ส่งข้อความต่อมาติดๆ

หมายเลขสองเห็นว่าตนเขียนแทรกแล้ว จึงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก รออยู่สิบกว่าวินาที เมื่อเห็นว่านักบวชเต๋าจินเหลียนพูดจบแล้ว เขา (นาง) จึงส่งข้อความต่อ

‘สอง: ดังนั้นแล้ว ที่แท้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่’

‘สี่: อะไรนะ กระบี่เทพคุ้มเมืองคืนชีพแล้วหรือ มียอดฝีมือระดับหนึ่งไปที่เมืองหลวงแห่งต้าฟ่งแล้วดึงดูดอาวุธเทพชิ้นนั้นใช่หรือไม่ ไม่อย่างนั้น ข้าก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้กระบี่เทพคุ้มเมืองฟื้นคืนมาได้’

เห็นได้ชัดว่าหมายเลขสี่ตกใจมาก เขาเคยเป็นขุนนางในราชสำนัก เข้าใจเรื่องของต้าฟ่งดีไม่น้อยไปกว่าหมายเลขหนึ่งและหมายเลขสาม ถึงขั้นมากยิ่งกว่าด้วยซ้ำ

‘ห้า: ข้าสนใจแค่ว่าจักรพรรดิแห่งต้าฟ่งตายหรือไม่เท่านั้น ถ้าเขาตาย หม่าม้า[3]จะได้เอาไปบอกอาเตี่ย[4]’

แม่จ้าว…หมายเลขห้าเป็นสตรีหรอกเหรอ สวี่ชีอันดวงตาเป็นประกาย

‘สี่: บอกอาเตี่ยของเจ้าหรือ พวกเจ้าคิดจะทำอะไร’

‘ห้า: ย่อมต้องส่งทัพไปตีชายแดนแล้วแย่งเสบียงกับผู้หญิงของต้าฟ่งมาน่ะสิ ว่ะฮ่าๆๆๆ’

ไม่เกินความคาดหมาย หมายเลขห้าเป็นชาวต่างแดนจริงด้วย ไม่อย่างนั้นคงไม่กระจ่างแจ้งเรื่องประวัติศาสตร์ของอาณาจักรหมื่นปีศาจหรอก อืม อาณาจักรหมื่นปีศาจอยู่ที่หนานเจียง เช่นนั้นหมายเลขห้าน่าจะไม่ใช่คนของชนเผ่าทางเหนือ

แล้วเป็นชนเผ่าหมานทางใต้หรือว่าชนเผ่าหมานทางตะวันออกกันล่ะ

ตอนนี้เองหมายเลขหนึ่งก็ออนไลน์แล้ว

‘หนึ่ง: พิธีบวงสรวงบรรพบุรุษเสร็จสิ้นแล้ว การฟื้นคืนชีพของกระบี่เทพภายในวัดหย่งเจิ้นซานเหอทำให้เกิดความวุ่นวายเล็กน้อย ตอนนี้กลับมาสงบอีกครั้งแล้ว จักรพรรดิหยวนจิ่งเสด็จเข้าไปในวัดหนึ่งเค่อ ไม่รู้ว่าทรงไปทำสิ่งใด’

‘เก้า: อา ไม่เกินความคาดหมาย ซังผอมีความลับอยู่จริงๆ เกรงว่าความลับนี้คงมีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่รู้’

‘หนึ่ง: ท่านนักบวชรู้มากแค่ไหนหรือ’

สวี่ชีอันตื่นเต้น

‘เก้า: ตัวข้าเป็นเพียงนักบวช ไม่ได้รู้ความลับอะไรนัก เพียงแต่ก่อนที่ปราณกระบี่จะพุ่งขึ้นฟ้า ข้ามองเห็นว่ามีไอมารรวมตัวอยู่ทางพระราชวัง’

‘หก: อาตมาก็สังเกตเห็นเช่นกัน แต่เกิดอยู่แค่ชั่วครู่ก็หายไป’

ศิษย์สำนักพุทธหมายเลขหกเอ่ยแทรก

นิกายปฐพีฝึกฝนกุศลบุญ คงจะมีเคล็ดวิชาสังเกตปราณที่คล้ายคลึงกับวิชามองปราณอยู่…ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องสำนักพุทธนัก แต่ตามหลักเหตุผลทั่วไปแล้ว คิดว่าคงมีสัมผัสไวต่อไอมารไอปีศาจอยู่พอสมควร

สวี่ชีอันเฝ้าจอเงียบๆ

‘สอง: ก็หมายความว่าตอนที่ทำพิธีไหว้บรรพบุรุษมีปีศาจใหญ่หรือบุคคลสายมารเข้ามาใกล้เมืองหลวง ดังนั้นจึงทำให้กระบี่เทพคุ้มเมืองตื่นตัวจนฟื้นขึ้นมา แล้วข่มให้ยอดฝีมือลึกลับผู้นั้นถอยไป’

หมายเลขสองทำการวิเคราะห์

‘สี่: แม้ว่าเมืองหลวงจะมีท่านโหราจารย์ประจำอยู่ แต่ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดของโลกเช่นกัน เช่นนั้นก็สามารถเข้าใกล้พระราชวังได้ทันที’

‘หก: ยอดฝีมือระดับหนึ่งมีจำนวนนับนิ้วได้ ใครจะมาก่อเรื่องที่เมืองหลวงในเวลาเช่นนี้กัน’

ไม่มีใครพูดอะไรอยู่พักหนึ่ง ทุกคนคงจะเปรียบเทียบอยู่ในใจ มีการคาดเดาของตนเองอยู่

แต่สวี่ชีอันรู้ว่าไม่ใช่ยอดฝีมือระดับหนึ่งมาก่อเรื่องอะไรหรอก ปัญหาน่ะมาจากทะเลสาบซังผอเองต่างหาก

‘สี่: นักบวชเต๋าจินเหลียน ปราณกระบี่พุ่งขึ้นฟ้าเกิดขึ้นเมื่อไหร่หรือ’

‘เก้า: หนึ่งชั่วยามก่อน เจ้าถามไปทำไมหรือ’

เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน…ตอนที่หมายเลขสามถามหาข้อมูลของทะเลสาบซังผอก็คือหนึ่งชั่วยามก่อนพอดี แทบจะเป็นจังหวะเดียวกัน…

จากท่าทีที่หมายเลขสามแสดงออกมาในตอนนั้น เขาดูอยากจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับซังผออย่างเร่งด่วนยิ่งนัก

หมายเลขสี่นึกย้อนไปถึงคำถามของหมายเลขสามเมื่อไม่นานมานี้ แล้วเชื่อมโยงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษ เห็นได้ชัดอย่างยิ่งว่าหมายเลขสามไม่ได้ถามขึ้นมาโดยไร้เหตุผล

หมายเลขสามเป็นศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ เชี่ยวชาญด้านหนังสือประวัติศาสตร์อย่างดี ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ประวัติของซังผอ แล้วเหตุใดถึงต้องมาถามในหนังสือปฐพีโดยไม่จำเป็นด้วยเล่า

ตัวหมายเลขสี่เองก็รู้ประวัติศาสตร์ของซังผอ ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะแทนตัวเองเข้าไปในมุมมองของหมายเลขสาม

‘ถ้าหากข้าได้เข้าร่วมพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษของราชวงศ์แล้วเกิดเรื่องนี้ขึ้นกลางคันล่ะก็ ข้าจะต้องทำความเข้าใจสถานการณ์โดยเร็วที่สุด จากนั้นจึงค่อยปรึกษาสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงกับสมาชิกพรรคฟ้าดิน และจะต้องสรุปผลลัพธ์ออกมาว่าอาจมียอดฝีมือระดับหนึ่งมาก่อเรื่องแน่ แต่หมายเลขสามไม่ได้ทำ หมายเลขสามตั้งใจถามเรื่องประวัติของซังผอมาก หมายเลขสามไม่มีทางเป็นคนโง่เง่า กลับกัน เขาเป็นคนฉลาดอย่างยิ่ง’

หมายเลขสี่อนุมานเงียบๆ ว่า ‘เขาเป็นนักเรียนของสำนักอวิ๋นลู่ ไม่น่าจะเอ่ยถามเรื่องพวกนี้ทั้งที่ไม่จำเป็น เว้นแต่ว่าเขาได้พบอะไร ดังนั้นจึงเกิดความสงสัยถึงประวัติศาสตร์ที่ตนเคยร่ำเรียนมาก่อนหน้านี้ สงสัยว่าตนเข้าใจซังผอได้ถูกต้องหรือไม่’

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หมายเลขสี่ก็ตกตะลึง เขาได้ข้อสรุปที่ทำให้ตัวเองต้องประหลาดใจแล้ว

ปัญหาอยู่ที่ซังผอ หมายเลขสามสอดแนมได้เบาะแสบางอย่างและความจริงข้อนี้ก็ทำให้เขาสงสัยในความรู้ของตน

‘สี่: หมายเลขสาม เจ้ารู้เรื่องอะไรบางอย่างใช่หรือไม่ ตอนนั้นเจ้าก็อยู่ในที่เกิดเหตุ หลังจากเจ้าถามเกี่ยวกับเรื่องของซังผอเสร็จแล้ว กระบี่คุ้มเมืองก็เกิดปฏิกิริยาทันทีแล้วทำให้เกิดการเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้ขึ้น นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่’

ข้อความที่หมายเลขสี่ส่งมาทำให้สมาชิกทุกคนของพรรคฟ้าดินมีการตอบสนอง

ที่แท้เมื่อครู่ที่หมายเลขสี่ถามนักบวชเต๋าจินเหลียนถึงเวลาที่ปราณกระบี่พุ่งขึ้นฟ้าก็มีเหตุผลเช่นนี้

ขณะที่ความคิดของเหล่าผู้ถือครองชิ้นส่วนมีหลากหลาย หมายเลขสี่ก็ส่งข้อความต่อ ‘หมายเลขสาม เจ้าเป็นศิษย์ของสำนักอวิ๋นลู่ เจ้าต้องรู้ประวัติของซังผอสิ แม้ว่าสำนักอวิ๋นลู่จะถอนตัวออกจากราชสำนักมาสองร้อยปีแล้ว แต่ก็มีภูมิหลังล้ำลึก บันทึกประวัติศาสตร์ซังผอในหอเก็บตำราของสำนักน่าจะละเอียดกว่าที่ข้าบอกนะ ตอนนั้นข้าก็รู้สึกแปลกๆ แล้วว่าทำไมเจ้าต้องถามเช่นนี้ด้วย’

ไม่ใช่ ข้าไม่รู้จริงๆ…สวี่ชีอันไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรดี เสียงร้องขอความช่วยเหลือที่น่ากลัวนั่นทำให้เขาสติแตก ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น เดิมทีก็ไม่มีทางคิดถึงการรักษาบุคลิกเอาไว้ได้หรอก

‘สี่: เพราะว่าเจ้าเกิดความสงสัยถึงความรู้ของเจ้า เจ้าคิดว่าประวัติซังผอที่เจ้าได้เรียนก่อนหน้านี้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะไม่ถูกต้องสินะ’

ทุกคนนึกขึ้นได้ทันที ‘ที่แท้ก็เป็นเรื่องเช่นนี้’

สวี่ชีอันนึกขึ้นได้ทันที ที่แท้ข้าก็คิดเช่นนี้

หมายเลขสี่ช่างเป็นนักวิเคราะห์เหตุผลจริงๆ…อืม แม้ว่าจะเดาได้ไม่ถูกต้อง แต่จำต้องยอมรับว่าเขาความรู้สึกไวอย่างยิ่ง เป็นผู้ที่ตอบสนองได้ไวที่สุดในบรรดาคนทั้งหมดเลย ไม่แปลกที่จะเป็นบัณฑิตผู้เคยเข้ารับราชการในราชสำนัก

‘สอง: ช้าก่อน ถ้าพูดอย่างนี้แล้ว ปัญหาก็มาจากซังผอเอง ไม่ได้มียอดฝีมือระดับหนึ่งเข้าไปแทรกแซงอย่างนั้นหรือ’

‘สี่: นี่ต้องถามหมายเลขสามแล้ว’

‘ห้า: หมายเลขสาม เหตุใดไม่กล่าวอะไรเล่า รีบบอกพวกเราสิ’

เมื่ออ่านถึงตรงนี้สวี่ชีอันก็ตัดสินใจจะไม่เงียบอีกต่อไป เขาใช้นิ้วต่างพู่กัน เขียนตัวอักษรลงไปว่า

‘เฮ้อ ข้ารู้เรื่องวงในบางอย่างที่ยังไม่มีใครรู้จริงๆ’

………………………………..

[1] หลี่หรงเฮ่า นักร้องนักแต่งเพลงชาวจีน มีดวงตาเล็กๆ ชั้นเดียวจึงถูกนำไปล้อเลียนบ่อยๆ

[2] ชินอ๋อง เป็นตำแหน่งองค์ชายในพระจักรพรรดิ

[3] หม่าม้า ภาษาจีน แปลว่า แม่ มารดา

[4] อาเตี่ย ภาษาจีน แปลว่า พ่อ บิดา