บทที่ 100 ข้าจะเหมาที่นั่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

เขาเพิ่งจะส่งข้อความนี้เสร็จ กำลังจะเขียนข้อความต่อไป กระจกหยกก็มีข้อความส่องวาบขึ้นมาเป็นชุด

‘หนึ่ง: เรื่องวงในอะไร’

‘สอง: เจ้ารู้ความลับอะไร’

‘สี่: หมายเลขสาม ซังผอมีความลับจริงๆ หรือ’

‘ห้า: บอกพวกเราได้หรือไม่’

‘หก: อามิตาพุทธ’

‘เก้า: สหายน้อยเชิญกล่าว’

“…” สวี่ชีอันนั่งยองๆ อยู่ในพงหญ้าเหม็นฉึ่ง นิ่งไปพักหนึ่ง

ดูเหมือนว่าทุกคนจะสนใจเรื่องนี้กันนะ ก็จริง ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับกระบี่คุ้มเมืองอันล้ำค่าของต้าฟ่งนี่นา ความลับสุดยอดเช่นนี้ไม่มีใครไม่อยากรู้หรอก

โดยเฉพาะเมื่อทุกคนในพรรคฟ้าดินไม่ใช่ปุถุชนคนธรรมดา ล้วนแต่มีกลุ่มอำนาจอยู่เบื้องหลัง หรือไม่ตัวเขาก็มีพลังอยู่พอควร

คนเช่นนี้จะยิ่งสนใจความลับสุดยอดเหล่านี้ แม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง แต่ก็ไม่แน่ว่าในเวลาใดเวลาหนึ่ง ความลับเหล่านี้อาจจะมีบทบาทอย่างที่ยากจะจินตนาการก็ได้

‘สาม : ไม่ได้มียอดฝีมือระดับหนึ่งมาโจมตีหรอก เรื่องนี้ข้าแทบจะยืนยันได้เลย’

สวี่ชีอันไม่ได้บอกจนหมด

นิ่งไปพักหนึ่ง เขาก็เขียนข้อความส่ง ‘สาม: แต่ว่า ทำไมข้าต้องบอกพวกเจ้าด้วย’

ไม่มีใครพูดอะไรอยู่นาน

อา ยังดีที่ไม่มีคนยืนขึ้นพูดโง่ๆ ว่า ‘มิใช่บอกว่าข้อมูลดีๆ ต้องแบ่งปันช่วยเหลือซึ่งกันและกันหรอกหรือ’

นี่มันสนุกชะมัด ถ้าหากในกลุ่มมีพวกเถียงเก่งหรือว่าพวกคอยกินฟรีอยู่ล่ะก็ แผนการของเขาคงใช้ไม่ได้ง่ายๆ

สวี่ชีอันถือโอกาสพูด ‘นักบวชเต๋าจินเหลียน ข้าคิดว่าพรรคฟ้าดินมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง หากไม่จัดการกับข้อเสียนี้ พรรคฟ้าดินก็จะเป็นแค่องค์กรหละหลวมซึ่งประกอบด้วยกลุ่มคนที่ภายนอกดูสนิทสนมแต่ความจริงไม่ใช่ ความช่วยเหลือที่มอบให้ทุกคนก็จะมีจำกัด’

‘เก้า: สหายน้อยเชิญกล่าว’

‘สาม: ยอมรับว่าการช่วยเหลือกันและกันและแบ่งปันข้อมูลคือวัตถุประสงค์ของพรรคฟ้าดิน แต่มันเป็นอุดมคติเกินไป ข้าบอกความลับนี้กับทุกคนได้ แต่ข้าจะได้อะไรล่ะ ไม่ได้อะไรทั้งนั้น ข้าแบ่งปันความลับข้อนี้ แต่คนที่ชอบแอบอ่านอยู่เงียบๆ อย่างหมายเลขหนึ่งก็จะได้กัดแทะอาหารที่โยนให้อย่างสบายใจน่ะสิ หลังจากมีครั้งแรกและครั้งที่สองแล้ว ข้าก็จะกลายเป็นว่าไม่อยากแบ่งปันข้อมูลหรือแบ่งปันความลับอะไรอีก’

‘หนึ่ง: เจ้าว่าใครกัดแทะอาหารที่โยนมาให้กัน’

หมายเลขหนึ่งคล้ายจะโมโหนิดหน่อย

คนที่พูดถึงก็คือเจ้าไง เจ้านั่นแหละที่ชอบเฝ้าหน้าจอที่สุด…สวี่ชีอันไม่สนใจหมายเลขหนึ่ง เขาเขียนข้อความต่อ ‘ท่านนักบวช ทุกคนในพรรคฟ้าดิน แต่ละคนอยู่ห่างไกล ไม่รู้จักกัน เป็นคนแปลกหน้าโดยธรรมชาติ ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจและพื้นฐานของการให้ ข้าขอถาม ผู้ใดยินดีจะอุทิศตนให้คนแปลกหน้าโดยไม่เห็นแก่ตัวบ้าง’

คนแซ่สวี่เกลียดพวกกินฟรีที่สุดแล้ว ต้องหยุดพฤติกรรมแบบนี้โดยเด็ดขาด

พันคำพูดหมื่นคำจาสรุปได้เป็นประโยคนี้ ‘ทำไมข้าต้องแบ่งปันความลับให้กับพวกเจ้าด้วย’

‘เก้า: คำพูดนี้ของสหายน้อยมีเหตุผล’

เมื่อเห็นเช่นนี้ สวี่ชีอันก็แย้มยิ้ม ‘ท่านนักบวชเห็นด้วยก็ดีแล้ว ข้าเชื่อว่าทุกท่านคงจะเห็นด้วยเช่นกันนะ’

สมาชิกพรรคฟ้าดินเงียบงัน

‘สาม: ท่านนักบวช ข้ามีความคิดหนึ่ง ตอนที่ท่านมอบชิ้นส่วนหมายเลขสามให้ข้านั้น ชิ้นส่วนหมายเลขสามถูกผนึกห้ามอยู่ จึงไม่ได้ติดต่อกับชิ้นส่วนอื่นๆ เช่นนั้นพวกเราสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ได้หรือไม่’

‘เก้า: สหายน้อยมีความคิดอะไร’ นักบวชเต๋าจินเหลียน

‘ข้าจะยกตัวอย่าง ข้านำความลับของซังผอมาขายให้พรรคฟ้าดินในราคาห้าร้อยตำลึงทอง ผู้ที่อยากรู้ข้อมูลสามารถส่งข้อความมาให้ข้าผ่านหนังสือปฐพีได้ ท่านนักบวชก็ช่วยผนึกเจ้าของชิ้นส่วนที่ไม่สนใจซื้อขายเหล่านั้นให้ข้า แน่นอนว่าข้าไม่ใช่คนที่สนใจวัตถุเงินทอง แต่ถ้าหากไม่มีใครมีข้อมูลที่มีค่าเท่ากันเล่าก็ ข้าสามารถอนุญาตให้พวกเจ้าใช้ทองคำและเงินขาวมาแลกเปลี่ยนได้’

เร็ว รีบใช้เงินทองมาซื้อข้อมูลของข้าเร็ว ข้าจะได้ไปซื้อบ้านหลังใหญ่ที่เมืองชั้นใน…สวี่ชีอันเปลี่ยนท่านั่งยอง จ้องมองไปที่ผิวกระจกอย่างคาดหวัง

ตอนนี้แม้แต่พงหญ้าเหม็นหึ่งก็หอมหวนขึ้นมาแล้ว

‘เก้า: พูดอย่างไม่ปิดบัง แม้ว่าข้าจะรู้วิชาผนึกหนังสือปฐพี แต่อาการบาดเจ็บของข้ายังไม่หายดี วันนั้นที่กลับไปชิงหนังสือปฐพีมาก็ได้ปลุกจิตดั้งเดิมของผู้นำเต๋าเข้า ทำให้หนังสือปฐพีถูกปิดผนึก ข้าก็ได้รับบาดเจ็บ ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ข้าคงไม่มีสภาพย่ำแย่เช่นนี้หรอก’

….รอยยิ้มบนใบหน้าของสวี่ชีอันค่อยๆ หายไป

เขาเดาได้ไม่ผิด นักบวชเต๋าจินเหลียนยอมมอบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีให้กับทุกคนในพรรคฟ้าดิน จะต้องมีวิธีควบคุมและเก็บกลับมาแน่

แต่เขาเดาจุดเริ่มต้นได้ ทว่ากลับเดาบทสรุปไม่ได้

ก็หมายความว่าในระยะใกล้นี้ไม่อาจเปิดใช้งานการคุยส่วนตัวได้น่ะสิ

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไรอยู่นาน หมายเลขหนึ่งก็ส่งข้อความเร่งด่วนมา

เขา (นาง) ไม่อยากเห็นการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ล้มเหลวโดยไม่ได้อะไร

‘หนึ่ง: ไม่อย่างนั้นทำเช่นนี้ เจ้าสามารถเปิดเผยความลับให้พวกเราได้ พวกเราสัญญาว่าจะให้ข้อมูลที่มีค่าเท่ากันเป็นการแลกเปลี่ยนและสามารถใช้เงินทองซื้อได้ด้วย’

‘สี่: แต่นี่ก็ยังมีช่องโหว่อยู่ อย่างเช่นใช้ความลับที่มีค่าเท่ากันมาแลกกับหมายเลขสาม หมายเลขสามไม่เสียเปรียบ แต่ความลับของข้ากลับถูกสมาชิกคนอื่นๆ ได้ไปโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ’

‘สอง: อีกอย่างพวกเราล้วนอยู่ห่างไกลกัน ต่อให้คิดจะซื้อความลับของเจ้า แล้วจะส่งเงินไปถึงมือเจ้าอย่างไร’

ทุกคนส่งข้อความกันอย่างกระตือรือร้น แสดงความคิดเห็นและความกังวลของตนออกมา

มุมปากของสวี่ชีอันกระตุก เหล่าสมาชิกพรรคฟ้าดินไม่ใช่แค่ให้ความสำคัญกับความลับที่เขามี แต่ยังมีเหตุผลที่ว่าพวกเขามองเห็นผลประโยชน์อยู่

ถ้าหากวิธีการของตนเป็นจริงได้ดั่งใจ เช่นนั้นพวกเขาก็สามารถใช้ข้อมูลที่พวกเขามีอยู่มาแลกกับค่าตอบแทนได้น่ะสิ

ได้ๆ มีผลประโยชน์จึงมีแรงจูงใจ นี่สิถึงจะเป็นท่าทางที่การประชุมทางธุรกิจพึงมี

‘สาม: ก่อนที่อาการบาดเจ็บของนักบวชเต๋าจินเหลียนจะหายดี ไม่สู้พวกเราทำเช่นนี้ ข้าสามารถบอกความลับให้กับพวกเจ้าได้ พวกเจ้าก็ใช้ข้อมูลที่มีค่าเท่ากันกับเงินทองมาแลกเปลี่ยน แต่สามารถลงบัญชีไว้ได้ ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนตอนนี้ แบบนี้ความกังวลของหมายเลขสี่ก็จะไม่มีแล้ว ส่วนความกังวลของหมายเลขสองนั้น ข้าจะคิดหาวิธีจัดการชั่วคราวก่อน อืม ข้ายังสามารถให้ติดเป็นหนี้ได้ ในอนาคตสามารถใช้ข้อมูลมูลค่าเท่ากันมาแลกเปลี่ยน’

‘เช่นนั้นแบบนี้ก็จะไม่มีปัญหาแล้ว…’ ทุกคนคิดในใจ

‘หนึ่ง: ข้าไม่มีความเห็นอื่น’

‘สอง: ข้าด้วย’

‘สี่: อืม เช่นนั้นก็ทำตามวิธีการของหมายเลขสามเถิด’

‘ห้า: ข้าไม่มีปัญหา’

‘หก: ข้าก็เช่นกัน’

‘สาม: เหตุใดหมายเลขเจ็ดกับหมายเลขแปดจึงไม่เคยพูดอะไรเลย ถ้าพวกเจ้าไม่ออกความเห็น การแลกเปลี่ยนนี้ก็ไม่อาจทำสำเร็จได้นะ’

นักบวชเต๋าจินเหลียนกระโดดออกมาอธิบาย ‘หมายเลขเจ็ดหายตัวไปตั้งแต่ปีที่แล้ว หมายเลขแปดต้องตายไปแล้วแน่ ก็ละเว้นพวกเขาทั้งคู่ไว้ชั่วคราวเถิด’

‘สี่: แต่หมายเลขเจ็ดยังมีชีวิตอยู่ ใช่หรือไม่’

‘สอง: ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีของหมายเลขเจ็ดอยู่ที่ข้า…อืม เป็นเพราะเหตุผลบางอย่างเขาจึงแกล้งตายเพื่อหลบหนี ลี้ภัยไปแล้ว’

‘สาม: เช่นนั้นข้าก็ไม่มีปัญหา’

สวี่ชีอันหยุดนิ่งไปชั่วขณะแล้วส่งข้อความอีกครั้ง ‘ข้าได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือดังมาจากซังผอ!’

‘เสียงขอความช่วยเหลือดังมาจากทะเลสาบซังผอหรือ!’

ประโยคราวกับเมฆลอยลมโชยของหมายเลขสามคล้ายกับฟ้าผ่าลงมาในใจของทุกคนในพรรคฟ้าดินทันที

สถานที่พิสูจน์เต๋าของจักรพรรดิผู้ก่อตั้งต้าฟ่ง ในทะเลสาบที่ใช้สักการะกระบี่คุ้มเมืองอันล้ำค่ากลับมีเสียงขอความช่วยเหลือดังออกมาอย่างนั้นหรือ…

ใครกำลังข้อความช่วยเหลือ

แล้วขอความช่วยเหลือจากใคร

กลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีตกอยู่ในความเงียบอันแปลกประหลาด หลังผ่านไปเนิ่นนานหมายเลขหนึ่งผู้เงียบขรึมไม่พูดจามาตลอดก็ส่งข้อความมาคนแรก ‘เป็นไปไม่ได้!’

ทุกคนหันกลับมาสนใจชิ้นส่วน ‘หนังสือปฐพี’ ทันที รออยู่เป็นเวลานานก็ไม่ได้รับการตอบกลับจากหมายเลขสาม

ใช่แล้ว หมายเลขสามเป็นศิษย์ของสำนักอวิ๋นลู่ จิตใจหยิ่งยโส รังเกียจการโต้เถียง

นี่ก็พิสูจน์อ้อมๆ ได้ว่าคำพูดที่หมายเลขสามบอกมานั้นเป็นเรื่องจริง นักเรียนที่หยิ่งผยองเช่นนี้เดิมทีก็ดูแคลนการพูดโกหกอยู่แล้ว

หมายเลขหนึ่งคล้ายจะเข้าใจเหตุผลข้อนี้แล้ว หลังจากโพล่งความสงสัยเมื่อครู่ออกไปเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

‘สี่: ช่างเป็นข้อมูลที่ทำให้คนคาดไม่ถึงเสียจริง’

‘เก้า: มูลค่าของความลับนี้สูงยิ่งนัก’

‘สอง: ใต้ทะเลสาบซังผอกักขังอะไรบางอย่างเอาไว้หรือ พวกเจ้าว่าอย่างไร’

หมายเลขสองเอ่ยการคาดเดา

จิตใจของสวี่ชีอันสั่นไหว ไม่ใช่เขาคนเดียวที่คิดเช่นนี้จริงๆ ด้วย

‘ห้า: โอ้ ทะเลสาบซังผอของต้าฟ่งจองจำมารร้ายสะเทือนโลกเอาไว้หรือ นี่ๆ หมายเลขหนึ่งหมายเลขสาม พวกเจ้าล้วนเป็นชาวต้าฟ่ง คิดอะไรออกบ้างหรือไม่’

‘หก: ไม่ต้องถามแล้ว เห็นได้ชัดว่าหมายเลขหนึ่งไม่รู้ ทุกคนรู้กันดีว่าหมายเลขหนึ่งเป็นบุคคลสำคัญในราชสำนัก ซึ่งหมายความว่าคงจะมีแค่ราชวงศ์ หรือถึงขนาดมีแค่จักรพรรดิหยวนจิ่งเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้’

‘หนึ่ง: ข้าจะลองตรวจสอบเรื่องนี้ดู หมายเลขสาม ถ้าหากข้ามีความคืบหน้า สามารถใช้มันมาชดเชยข้อมูลของเจ้าได้หรือไม่’

‘สาม: อา นี่ต้องดูว่าเจ้าตรวจสอบแล้วได้อะไรมา’

รออยู่ห้านาที ไม่มีคนพูด สวี่ชีอันจึงแน่ใจแล้วว่าเพื่อนออนไลน์ไร้คุณภาพกลุ่มนี้ออฟไลน์ไปแล้ว

เมื่อเก็บกระจกหยกแล้วเขาก็ออกจากพงหญ้า สูดอากาศบริสุทธิ์ลึกๆ สองสามที รู้สึกว่าได้กลับมามีชีวิตแล้ว

“ถ้าหากห้องน้ำที่โลกก่อนเป็นแบบนี้ล่ะก็ จะต้องเปลี่ยนแปลงนิสัยเสียที่ชอบนั่งแช่อยู่ครึ่งชั่วโมงได้แน่…เพราะไม่มีใครอยากจะเล่นโทรศัพท์ในสภาพแวดล้อมเลวร้ายเช่นนี้หรอก…” สวี่ชีอันเสริมขึ้นในใจหนึ่งประโยค ส้วมเหม็นสิถึงจะเป็นหมอรักษาโรคริดสีดวงทวารที่ดีที่สุด

เมื่อกลับมายังห้องข้าง จูกว่างเสี้ยวกำลังฝึกลมหายใจอยู่ ส่วนซ่งถิงเฟิงกำลังอ่านนิยายรักต้องห้ามที่มิอาจแพร่งพราย แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องของจักรพรรดิหยวนจิ่งกับราชครูผู้งดงามหรอก

“เจ้าไปคลอดลูกมาหรือ” ซ่งถิงเฟิงหรี่ตาลงพลางหัวเราะเยาะ

“ใช่” สวี่ชีอันพยักหน้า เอนหลังพิงเก้าอี้อย่างสบายแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “เจ้าคนผีทะเล นั่นลูกของเจ้าหนา”

จูกว่างเสี้ยวที่อยู่ข้างๆ หายใจสะดุด เขาลืมตาขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่คาดคิดแล้วมองไปที่สวี่ชีอัน

ซ่งถิงเฟิงตัวหนาวสั่น ประสานมือให้ แล้วก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ

เขาคิดว่าตัวเองเป็นคนประเภทถากถางสังคม อุปนิสัยเปิดเผยและยิ้มแย้มเมื่อพบปะผู้คน เป็นนิสัยที่เผชิญหน้ากับใครก็สามารถรับมือได้อย่างราบรื่น

แต่พอเป็นสวี่ชีอัน ซ่งถิงเฟิงคิดว่าตัวเขายังพอมีความเป็นสุภาพชนอยู่สักหน่อย

หลายครั้งที่รู้ชัดๆ ว่าอีกฝ่ายกำลังล้อเล่นขำขัน แต่เขากลับไม่สามารถรับมือได้และต้องพ่ายแพ้ไป

“ตอนเย็นไปสำนักสังคีตกันเถิด” ซ่งถิงเฟิงเอ่ยแนะนำ “ข้านัดให้สหายร่วมงานสองสามคนไปด้วย พวกเราไปเที่ยวเล่นด้วยกัน อยู่ด้วยกันมานานก็เป็นคนกันเองแล้ว”

หยุดไปพักหนึ่ง เขาก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หลังจากเรื่องของฆ้องทองคำหยางกับฆ้องทองคำเจียง คนในที่ว่าการที่อิจฉาริษยาเจ้าก็มีไม่น้อย ล้วนแล้วแต่ไม่คุ้นเคยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว เจ้าต้องไปพบปะเข้าสังคมให้มาก ไม่ใช่วันๆ เอาแต่อยู่กับข้าและจูกว่างเสี้ยว”

จูกว่างเสี้ยวลืมตา พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ ข้ามักจะได้ยินคนอื่นแอบพูดถึงเจ้าในทางเสื่อมเสีย”

สวี่ชีอันที่เดิมทีไม่อยากจะไปเล่นกับพวกเขาก็ลังเลไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า

เขาไม่ใช่วัยรุ่นใจร้อน รู้ดีถึงตรรกะที่ว่าไม้เรียวระหงกลางป่าย่อมถูกโค่นล้ม[1]

ตั้งแต่เข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เขาก็ละเลยการพบปะเข้าสังคมระหว่างสหายร่วมงานไปจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นเพราะไปพบเว่ยเยวียนทั้งวันและใช้เวลาอยู่กับโหรของสำนักโหราจารย์ โลกทัศน์จึงสูงขึ้นเล็กน้อย

ดังนั้นด้วยการชี้นำของซ่งถิงเฟิง เขาก็เรียกฆ้องทองแดงที่คุ้นเคยสองสามคนและอยู่ใต้บัญชาการของฆ้องเงินหลี่อวี้ชุนเหมือนกันมา จากนั้นจึงนัดแนะให้ไปเที่ยวที่สำนักสังคีตตอนเย็นกับพวกเขา

แน่นอนว่าไม่มีปัญหาเรื่องที่ใครจะเป็นคนเลี้ยง ทุกคนรู้ราคาของสำนักสังคีตดี ฆ้องทองแดงธรรมดาไม่อาจเลี้ยงใครได้

แต่ถึงอย่างนั้น สวี่ชีอันก็เอ่ยอย่างสบายอารมณ์ว่า ‘พวกเราจะไปเหมาหออิ่งเหมย ข้าเป็นคนจัดการเอง’

เหล่าฆ้องทองแดงในที่นั้นคึกคักทันที เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว

ณ คลังเอกสาร คลังอักษรเจี่ย

ธูปหอมกำลังเผาไหม้ สายควันสีครามเป็นเส้นตรง แสงแดดส่องลอดผ่านหน้าต่างตาราง สะท้อนภาพช่องตารางเป็นระเบียบมีกฎเกณฑ์อยู่บนพื้น

เว่ยเยวียนปิด ‘ต้าฟ่งสิบสามพิธี’ เล่มหนาลง ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็ลุกขึ้น ก่อนหยิบ ‘ประวัติศาสตร์จิ่วโจว ภาคตะวันตก’ ออกมาจากชั้นหนังสือหนึ่งเล่ม

ธูปหอมเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้า ควันธูปตกลงไปในกระถางใบเล็ก

เว่ยเยวียนปิดหนังสือทุกเล่ม บีบนวดที่หว่างคิ้วอย่างเหนื่อยล้า กองหนังสือข้างมือสูงพอๆ กับไหล่ของเขาโดยไม่รู้ตัว

“พ่อบุญธรรม เจออะไรบ้างหรือไม่ขอรับ” ในที่สุดหนานกงเชี่ยนโหรวก็รอจนได้โอกาส

“ข้าพอจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น” เว่ยเยวียนถอนหายใจออกมา

“ในทะเลสาบซังผอมีความลับอะไรหรือขอรับ” หนานกงเชี่ยนโหรวเอ่ยถาม

“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรจะรู้” เว่ยเยวียนส่ายหน้า เอ่ยเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง “ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปเสีย ไม่อนุญาตให้ตามสืบ ไม่อนุญาตให้พูดคุยหารือเป็นการส่วนตัว”

หยางเยี่ยนและหนานกงเชี่ยนโหรวก้มหน้าพร้อมกัน “ขอรับ”

…..

ยามพลบค่ำ เวลาเลิกงาน

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทั้งสิบคนรวมไปถึงสวี่ชีอันเดินอาดๆ เข้ามาในตรอกของสำนักสังคีต

ในช่วงตรวจสอบข้าราชสำนักที่เหล่าขุนนางเงียบกริบดุจจักจั่นในฤดูหนาวเช่นนี้ พวกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจึงสามารถเดินอาดๆ เข้าไปในสำนักสังคีตได้

“หนิงเยี่ยน คณิกาฝูเซียงจะยอมพบพวกเราจริงๆ หรือ”

“ข้าได้ยินมาว่าคณิกาฝูเซียงไม่ได้รับแขกมานานแล้ว”

“หออิ่งเหมยจะให้พวกเราเหมาที่นั่งจริงๆ หรือ”

เหล่าฆ้องทองแดงรู้สึกไม่เชื่ออยู่สักหน่อย เพราะสถานที่เช่นสำนักสังคีตนี้ต้อนรับพวกปัญญาชนมากที่สุด กิจกรรมบันเทิงต่างๆ ก็เอนเอียงไปให้บริการแก่เหล่าปัญญาชน

นี่คือบรรยากาศของสังคม

แม้ว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจะตรวจสอบขุนนางค่อนข้างเข้มงวด แต่ก็มีความสัมพันธ์สมดุลกันกับพวกขุนนาง

ถ้าหากบุ่มบ่ามมาที่สำนักสังคีต กรมพิธีการก็จะดีใจมาก และอดไม่ได้ที่จะคว้าโอกาสกล่าวโทษหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้

ดังนั้น ถ้าหากว่านางคณิกาฝูเซียงไม่อยากต้อนรับพวกเขา เหล่าฆ้องทองแดงก็มีแต่ต้องจากไปเท่านั้น ทั้งยังเสียหน้าอีกด้วย

เพียงแต่เกมเล่นหลายคนที่สวี่ชีอันเสนอขึ้นมานั้นน่าดึงดูดเกินไป พวกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้ยินแล้วก็ด่าว่าสวี่ชีอันช่างทำให้ศีลธรรมอันดีงามเสื่อมเสีย แต่พอถามว่าจะไปหรือไม่ ก็ตอบรับกันอย่างรวดเร็ว

เมื่อมาถึงหออิ่งเหมย ฆ้องทองแดงทุกคนก็เดินช้าลงอย่างอดไม่ได้แล้วดันตัวสวี่ชีอันผู้ธรรมดาสามัญจนปะปนอยู่ในฝูงคนออกไป

สวี่ชีอันปลดดาบพกที่เอวออก ฝักดาบตบไปที่ก้นของพนักงานเต่า[2]แล้วเอ่ยยิ้มๆ อย่างสบายอารมณ์ว่า “ไปบอกนายหญิงของเจ้า ข้าจะเหมาที่นั่ง”

……………………………………….

[1] ไม้เรียวระหงกลางป่าย่อมถูกโค่นล้ม ความหมายคลายสำนวน หัวเดียวกระเทียมลีบของไทย

[2] พนักงานเต่า หมายถึง ลูกจ้างในหอนางโลมที่มีหน้าที่แบกคณิกาที่ห่อตัวด้วยผ้าห่มขึ้นหลังไปยังห้องนอน ท่าทางแบกคนหลังค่อมเหมือนมีกระดอง จึงถูกเรียกว่าพนักงานเต่า