ตอนที่ 130 กล่าวโทษอย่างไร้เดียงสา เสวนาถึงเรื่องจี้ซื่ออีกครั้ง (5)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ระหว่างที่เสวนา เหยาเยี่ยนอวี่ก็ถึงตรงหน้าประตูสวนหย่อมที่เรือนตนเองพอดี จากนั้นนางจึงหันหลังไปกล่าวราตรีสวัสดิ์กับเหยาเหยียนอี้ เหยาเหยียนอี้มองเหยาเยี่ยนอวี่เดินเข้าประตูเรือนไปแล้ว ค่อยหันหลังกลับห้องอักษรของตนเอง แต่ระหว่างทางก็นึกสงสัยว่า หากน้องรองของตนได้แต่งงานกับคุณชายตระกูลเซียว สถานการณ์จะเป็นเช่นไร

พอนึกถึงขั้นนี้เหยาเหยียนอี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง ถึงแม้ตระกูลเซียวจะมีอำนาจที่ไม่แกร่งพอ ทว่ากลับเป็นตระกูลปัญญาชนอย่างถ่องแท้ ถ้าหากได้กลายเป็นทองแผ่นเดียวกันกับตระกูลเซียว ฐานะของตระกูลเหยาก็จะสูงส่งขึ้นอีกขั้น

ว่าไปแล้ว เจิ้นกั๋วกงก็เพิ่งจะสู่ขอน้องสาว ถึงแม้บิดายังไม่ได้ตอบตกลง ทว่าหากบิดาเลือกตระกูลอื่นให้กับเยี่ยนอวี่ในอนาคตอันใกล้นี้ เช่นนั้นก็ต้องกลายเป็นมีเรื่องบาดหมางใจกับจวนเจิ้นกั๋วกงอย่างแน่นอน เหยาเหยียนอี้ถอนหายใจอีกครั้ง ภายในใจจึงคิดว่า เรื่องนี้น่าจะดำเนินไปได้ยาก

คืนนั้นเหยาเหยียนอี้นอนครุ่นคิดบนเตียงอย่างละเอียด หลังจากเวลายามสาม[1]ถึงจะหลับใหลไป

วันรุ่งขึ้น เหยาหย่วนจือพาเฉากุนซือและเหล่าบ่าวไพร่ออกเดินทาง ขากลับพวกเขากลับอย่างไม่ให้สุ่มไม่ให้เสียงยิ่งกว่าขามา นี่เป็นการกระทำของคนที่ฉลาดหลักแหลมอย่างแท้จริง ไม่มีทางที่จะทำตัวเป็นที่น่าสนใจใต้ฝ่าพระบาทของฮ่องเต้อย่างแน่นอน เพื่อที่จะไม่ทำให้ผู้อื่นอิจฉา

หลังจากที่เหยาหย่วนจือจากไป เหยาเหยียนอี้เริ่มปิดประตูไม่รับแขก จากนั้นก็ตั้งใจร่ำเรียนตำราในเรือนตามลำพัง

นอกจากเหยาเยี่ยนอวี่ไปเจอเฝิงโหย่วฉุนในทุกวี่ทุกวันแล้ว หลังจากที่สะสางงานบ้านงานเรือนเสร็จก็ยิ่งไม่มีอะไรทำ ดังนั้นจึงบอกเหยาเหยียนอี้ให้ทราบเรื่องว่านางจะนั่งรถม้าออกนอกเมือง แล้วมุ่งหน้าไปดูพืชสมุนไพรของนางที่บ้านนาน้อยวัวจวู

พอเห็นว่าเทศกาลตรุษจีนใกล้จะมาถึง ทั่วทุกที่ในเมืองหลวงอวิ๋นประดับประดาไปด้วยสิ่งมงคลงดงาม บางร้านขายประทัด บางร้านขายกระดาษบทกลอนสีแดง และบางร้านขายเสื้อผ้าใหม่ทุกชนิดและขายสินค้าปีใหม่ทุกอย่าง ทำให้บรรยากาศครึกครื้นกว่าก่อนหน้านี้ไปหลายเท่า เหมือนร้านเล็กๆ ในทุกซอกทุกซอยต่างตะโกนเร่ขายของกันอย่างครึกครื้น

เหยาเยี่ยนอวี่นั่งอยู่ในรถม้าพลางเลิกม่านมองไปด้านนอก แล้วอุทานในใจว่าอย่างไรที่นี่ก็คือเมืองหลวงที่มีมานับร้อยปี จึงโอ่อ่าอลังการและเจริญรุ่งเรือง ไม่มีอะไรที่เมืองหลวงนี้ไม่มี

รถม้าออกจากประตูเมืองหลวง แก้วหูของนางรู้สึกสงบขึ้นมาทันที เหยาเยี่ยนอวี่จึงพิงอยู่บนหมอนนุ่มแล้วคุยกับเฝิงหมัวมัว “นึกไม่ถึงว่าเมืองหลวงอวิ๋นจะครึกครื้นเยี่ยงนี้ ทั่วทุกที่คละเคล้าด้วยกลิ่นอายของวันตรุษจีนจริงๆ”

เฝิงหมัวมัวยิ้ม “นี่เป็นครั้งแรกที่บ่าวได้เห็นบรรยากาศของวันตรุษจีนในเมืองหลวงนี้ เมื่อเทียบกับบรรยากาศทางเขตตอนใต้ของพวกเรา ที่นี่ครึกครื้นกว่าหลายเท่า ทว่าของตรุษจีนที่ขายในเขตตอนใต้ ที่นี่ก็หาซื้อไม่เจอเลยเจ้าค่ะ”

“แต่ละที่ย่อมมีประเพณีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มบางๆ

“ฉะนั้นตอนบ่าวซื้อของตรุษจีนเข้าจวน ก็ต้องทำความเข้าใจประเพณีของเมืองอวิ๋นเสียก่อน ว่าไปแล้ว บ่าวก็ได้รู้อะไรใหม่ๆ มามากมาย”

เหยาเยี่ยนอวี่พึมพำด้วยเสียงเบา “วันไว้อาลัยของแคว้นก็ครบปีแล้ว บรรยากาศในเมืองหลวงอวิ๋นก็คงจะครึกครื้นขึ้นมาแน่นอน”

เฝิงหมัวมัวได้ยินคำพูดนี้จึงรู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที “เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ ร้านผ้าต่วนของพวกเราก็มีคนมาสั่งตัดเสื้อผ้าอยู่บ้าง ส่วนใหญ่ก็คือชุดแต่งงานเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า “พอครบวันไว้อาลัยของแคว้น เหล่าบรรดาผู้ที่มีบุตรหลานและได้พูดคุยเรื่องงานสมรสก็คงจะยุ่งวุ่นวายกันน่าดู สถานที่จัดงานก็คงได้เปิดเป็นปกติ ร้านเครื่องประดับ ร้านเครื่องหอม และร้านผ้าต่วน ฯลฯ คงจะดำเนินกิจการไปได้ด้วยดี”

“คุณหนูกล่าวถูกแล้วเจ้าค่ะ” เฝิงหมัวมัวพูดถึงตอนนี้ จู่ๆ ก็นึกอะไรได้ขึ้นมา เลยอุทานขึ้น “ทว่าก็มีบางตระกูลรู้สึกดีใจ และบางตระกูลก็รู้สึกเสียใจเจ้าค่ะ”

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ล่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่เอ่ยถามอย่างค้างคาใจ

“บ่าวได้ยินมาว่า ฮูหยินท่านซื่อจื่อแห่งจวนติ้งโหวคงไม่ได้รับการให้ความสำคัญอีกต่อไป ตระกูลเฟิงกำลังเตรียมสินสมรสให้กับคุณหนูรองเจ้าค่ะ มีข่าวรั่วออกมาว่าคุณหนูรองท่านนี้จะได้กลายเป็นเถียนฝัง[2]ของท่านซื่อจื่อจวนติ้งโหวเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่สะดุ้งตกใจทันที จากนั้นก็มีใบหน้าอันงดงามและอ่อนโยนของเฟิงซิ่วอวิ๋นลอยขึ้นมาทันที จึงอดไม่ได้ที่จะพึมพำขึ้น “จะให้เป็นเถียนฝังอีกแล้วหรือ”

เฝิงหมัวมัวเห็นเช่นนี้จึงพลันเกลี้ยกล่อม “คุณหนูอย่าเพิ่งคิดมากเจ้าค่ะ บ่าวก็แค่ได้ยินข่าวลือที่คนอื่นซุบซิบขึ้นมาก็เท่านั้น”

เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า แล้วไม่เอ่ยอะไรอีก

เฝิงหมัวมัวบอกว่าข่าวลือที่ซุบซิบกัน เหยาเยี่ยนอวี่รู้ดีว่านี่มันคือเรื่องจริง เรื่องอื่นนางไม่รู้ ทว่าเรื่องนี้นางกลับรู้ดี ตอนนั้นนางเองก็เกือบจะได้เข้าไปอยู่ในจวนติ้งโหวแล้ว นางจะไม่รู้ได้อย่างไร

เป็นเพียงการที่พี่น้องทั้งสองคนเปลี่ยนคนก็เท่านั้น

สภาพร่างกายของเฟิงฮูหยินน้อย เหยาเยี่ยนอวี่ก็พอรู้มาบ้าง ตอนนั้นตนรู้สึกว่านางก็คงจะมีชีวิตอยู่ไปอีกสักระยะ ถ้าหากอารมณ์ดีขึ้น ก็อาจจะมีชีวิตผ่านช่วงตรุษจีนไปได้ กลับนึกไม่ถึงว่ายังไม่ได้ฉลองตรุษจีนก็ไม่ไหวแล้ว

ชุ่ยเวยที่อยู่ข้างๆ มองสีหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่ไม่ค่อยดีมากนัก จึงรีบเกลี้ยกล่อม “คุณหนูอย่าได้คิดมากไปเลยเจ้าค่ะ ฮูหยินท่านซื่อจื่ออาจจะโชคดีผ่านเรื่องร้ายๆ ไปได้ก็ไม่แน่นะเจ้าคะ”

เหยาเยี่ยนอวี่พยายามอดกลั้นความรู้สึก แล้วหันไปถามเฝิงหมัวมัว “ว่าไปก็ช่างน่าแปลก ข้าจับชีพจรให้นาง หากไม่เกิดเรื่องใหญ่อะไร นางน่าจะผ่านช่วงตรุษจีนไปได้อย่างสันติสุข เหตุใดตระกูลเฟิงถึงเร่งรีบเช่นนี้ เวลานี้ก็เตรียมเรื่องของคุณหนูรองตระกูลเฟิงแล้ว?”

เฝิงหมัวมัวถอนหายใจ แล้วพูดขึ้น “เรื่องที่ทำให้จิตใจย่ำแย่เยี่ยงนี้ บ่าวไม่ควรบอกคุณหนูตั้งแต่แรก พลอยทำให้คุณหนูรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาด้วยเลย แค่ว่าอย่างไรคุณหนูก็ต้องโตเป็นผู้ใหญ่ วันข้างหน้ายังต้องเป็นสตรีที่สะสางเรื่องทุกอย่างของครอบครัว เรื่องยุ่งวุ่นวายอะไรก็ต้องเจอ สู้บอกให้คุณหนูได้รับรู้เรื่องราวจะดีกว่า คุณหนูจะได้คิดใคร่ครวญให้มาก”

เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินเช่นนี้จึงรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา จึงเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

เฝิงหมัวมัวกดเสียงต่ำลง “ได้ข่าวว่าเป็นเพราะเมียบ่าวคนหนึ่งของท่านซื่อจื่อตั้งครรภ์ ฮูหยินท่านซื่อจื่อรู้สึกเครียดจนสะอักเลือด ทีแรกสภาพร่างกายไม่ดีอยู่แล้ว วันนี้กลับร้ายแรงกว่าเดิม”

“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร!” ชุ่ยเวยพูดด้วยเสียงตกใจก่อนคนแรก

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างขมขื่น ภายในใจก็คิดว่า ใช่ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ภรรยายังนอนป่วยอยู่บนเตียง สามีกลับทำให้เมียบ่าวที่อยู่ในเรือนตั้งครรภ์ ท่านซื่อจื่อแห่งตระกูลซูช่าง…ช่างมีรสนิยมเสียจริง!

เหยาเยี่ยนอวี่ทอดถอนใจอยู่ในรถม้าไม่หยุด กลับไม่รู้ว่าในจวนติ้งโหวกำลังหารือเรื่องที่เกี่ยวกับนางอยู่

ในเรือนชิงผิง ณ จวนติ้งโหว ซึ่งเป็นเรือนของเฟิงฮูหยินน้อย

เหยาเฟิ่งเกอนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ประดู่ที่แกะสลักลายดอกกุหลาบ ในมือยกชาร้อนๆ หนึ่งถ้วย และกำลังดมกลิ่นอันหอมกรุ่น แล้วไม่พูดไม่จาใดๆ

เฟิงฮูหยินน้อยนอนอยู่บนเตียง สีหน้าดูซีดขาว กลับพยายามฝืนรวบรวมสติคุยกับเหยาเฟิ่งเกอ “ข้ารู้ว่าน้องสะใภ้สามตั้งครรภ์ จึงไม่สะดวกที่จะอยู่ในเรือนของข้านานๆ ข้าจึงอยากจะพูดตรงๆ สภาพร่างกายของข้าคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่วัน ตอนนี้ข้าไม่มีอะไรเฝ้าคำนึงถึง แค่รู้สึกกังวลอย่างเดียว นั่นก็คืออวิ๋นเอ๋อร์ ทว่า…โชคดีที่นางคือเด็กหญิงคนหนึ่ง อนาคตก็คงไม่มีทางแย่งชิงตำแหน่งโหวกับน้องชายอยู่แล้ว…ฮึกๆ…” พูดถึงขั้นนี้ น้ำตาของเฟิงฮูหยินน้อยไหลรินลงมาไม่ขาดสาย และสะอื้นไห้จนฟังความไม่ออก

“เหตุใดพี่สะใภ้ใหญ่ต้องทำเช่นนี้ เสียใจไปก็ไม่ได้ดีต่อสุขภาพแม้แต่น้อย” เหยาเฟิ่งเกอถอนหายใจ แล้วไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมนางอย่างไร

“น้องสะใภ้กล่าวถูก” เฟิงฮูหยินน้อยพยายามอดกลั้นความรู้สึกโศกเศร้าภายในใจ แล้วพูดขึ้นต่อ “ข้าเป็นคนไม่มีวาสนา เทียบไม่ได้กับน้องสะใภ้”

เหยาเฟิ่งเกอยังคงไม่พูดไม่จา นางเดาไม่ออกจริงๆ ว่าเฟิงฮูหยินน้อยเชิญตัวเองมาโดยเฉพาะ แล้วยังสั่งให้คนข้างกายออกไปหมด ทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร

เฟิงฮูหยินน้อยพยายามทำให้อารมณ์ของตัวเองคงที่ แล้วยิ้มจางๆ “วันนี้ข้าเชิญน้องสะใภ้มา คืออยากจะบอกเรื่องสำคัญกับน้องสะใภ้”

เหยาเฟิ่งเกอเงยหน้ามองเฟิงฮูหยินน้อย แล้วเอ่ยถาม “มีเรื่องอะไร พี่สะใภ้เชิญพูดตรงๆ มาได้เลยเจ้าค่ะ”

เฟิงฮูหยินน้อยยิ้มอย่างขมขื่น แล้วพูดขึ้น “หลังจากที่ข้าสิ้นใจไป ท่านซื่อจื่อต้องมีภรรยาใหม่แน่นอน มารดาของข้าต้องอยากให้น้องสาวอนุภรรยาคนนั้นมาเป็นภรรยาต่อจากข้า ทว่าข้ากลับโปรดปรานน้องรองของเจ้า แค่ไม่รู้ว่าน้องสะใภ้สามและฮูหยินผู้เฒ่าเหยาจะเห็นด้วยหรือไม่”

[1] ยามสาม เป็นเวลา 23.00 น. – 01.00 น.

[2] เถียนฝัง คือหญิงที่เป็นภรรยาของพ่อหม่ายที่มีภรรยาตายไปแล้ว