ตอนที่ 131 ตระกูลโหวไม่พอใจอย่างยิ่ง ท่านซื่อจื่อร้องขอให้รักษา (1)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

“ท่าน…ท่านหมายถึงเยี่ยนอวี่?” เหยาเฟิ่งเกอนิ่งงันไปทันที จากนั้นภายในใจก็ครุ่นคิดอะไรมากมาย แล้วก็สามารถตัดสินใจได้

ถ้าหากเหยาเยี่ยนอวี่กลายเป็นภรรยาคนต่อไปของซูอวี้ผิง เช่นนั้นนางก็จะไม่ใช่น้องรองของตนเองอีกต่อไป กลับเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของตน ถึงแม้จะเป็นคนที่มารับช่วงต่อจากภรรยาคนเก่า ทว่าก็ยังมีฐานะเป็นฮูหยินท่านซื่อจื่อ อนาคตย่อมเหนือกว่าตนเองอยู่แล้ว เช่นนี้ เหยาเฟิ่งเกอต้องรู้สึกไม่ค่อยดีใจเป็นแน่

ทว่านางก็สามารถครุ่นคิดอย่างละเอียดทันที เหยาเยี่ยนอวี่คือคนของตระกูลเหยา อย่างไรพวกนางก็คือพี่น้องกัน นางสามารถตั้งหลักปักฐานอยู่ในจวนติ้งโหวอย่างมั่นคง วันข้างหน้าก็จะได้เป็นผู้ช่วยที่ดีของตน สิ่งที่ไม่ควรเกิดก็อย่าให้มันเกิด ดั่งเช่นถ้าหากทารกในครรภ์ของตนคือบุตรี เช่นนั้นบุตรคนต่อไปที่ตนจะมี ก็ยากที่จะรับประกันว่าเป็นเพศอะไร

ทว่าหากเยี่ยนอวี่แต่งเข้าจวน อีกทั้งยังสามารถมีบุตรชาย เช่นนั้นตำแหน่งโหวก็ต้องเป็นของบุตรชายนางอยู่แล้ว! ถ้าเป็นเช่นนี้ ตนเองจะมีอะไรต้องคอยกังวลใจอีก?

เหยาเฟิงเกอนึกถึงความเป็นไปได้หลายๆ ด้าน และนางก็มีความคิดหลายๆ อย่าง อีกทั้งยังครุ่นคิดถึงเรื่องที่ท่านโหวและฮูหยินจะเห็นด้วยหรือไม่ องค์หญิงต้าจั่งจะทรงเห็นด้วยหรือไม่ ต่อให้องค์หญิงต้าจั่งและฮูหยินไม่มีปัญหาอะไร แล้วตระกูลเฟิงจะยินยอมหรือไม่

ทว่าพอครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ไปสักพัก เหยาเฟิ่งเกอก็ครุ่นคิดถึงเรื่องมากมาย แม้กระทั่งเรื่องที่เจิ้นกั๋วกงไปขอสู่น้องสาวกับบิดาของตน

สุดท้าย นางก็สามารถตั้งสติ แล้วค่อยๆ ถอนหายใจ พลางพูดขึ้น “คำๆ นี้ของพี่สะใภ้คงจะเอ่ยได้ไม่ค่อยเหมาะสม ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตอนนี้พี่สะใภ้ยังมีชีวิตอยู่ ทว่าต่อให้เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นมาจริงๆ ก็ยังมีตระกูลเฟิงผู้ให้กำเนิดพี่สะใภ้อยู่ อีกทั้งนี่ก็ช่วงตรุษจีนแล้ว พี่สะใภ้ไม่ควรคิดเรื่องอัปมงคลพวกนี้ อย่างไรการบำรุงฟื้นฟูสภาพร่างกายจึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”

“นี่น้องสะใภ้กำลังปฏิเสธอยู่หรือ” เฟิงฮูหยินน้อยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ทว่ากลับคงความนิ่งสงบ “เหตุใดน้องสะใภ้ถึงไม่เข้าใจความหวังดีของข้า”

เหยาเฟิ่งเกอหยุดชะงักไป แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา “หรือว่าพี่สะใภ้ยังมีอะไรอยากจะพูดคุยกับข้า”

เฟิงฮูหยินน้อยยิ้มบางๆ แล้วพูดขึ้น “ถึงแม้ข้ายังลุกขึ้นจากเตียงไม่ได้ ทว่าก็ยังมีลมหายใจ เรื่องบางเรื่องแค่ข้าอยากรู้ ก็ไม่สามารถปิดบังสายตาของข้าได้ น้องสาวเคยผ่านประตูนรกมาหนึ่งครั้ง คิดว่าเรื่องบางอย่างก็คงจะมองออกอย่างชัดเจน หรือว่าตอนนี้น้องสาวนึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับข้าเป็นเพียงอุบัติเหตุ?”

เหยาเฟิ่งเกอสะดุ้งตกใจในใจทันที สีหน้าดูไม่ค่อยดีมากนัก

เฟิงฮูหยินน้อยยังคงยิ้มบางๆ “หากครอบครัวบุตรคนโตไม่มีบุตรแล้ว วันข้างหน้าผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์คือใคร น้องสาวไม่ต้องคิดก็คงจะเข้าใจดี อีกทั้งทุกคนอาศัยอยู่ร่วมกันมาหลายปีเช่นนี้ ใครมีนิสัยใจคอเช่นไร เชื่อว่าน้องสะใภ้คงจะดูออกอย่างกระจ่างแจ้งมากกว่าข้า ก่อนหน้านี้ข้าคือเป้าหมายของนาง หากวันข้างหน้าข้าตายจากไป แล้วใครจะเป็นเป้าหมายของนางอีก น้องสาวคงไม่ได้ใสซื่อถึงจะนึกว่านางจะยอมให้เจ้ากับบุตรชายของเจ้าไปแบ่งน้ำแกงหนึ่งถ้วยมาจากปากของบุตรชายนางใช่หรือไม่”

เหยาเฟิ่งเกอทำสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปมาก แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “พี่สะใภ้อย่าพูดอะไรเหลวไหล! เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยนะ!”

เฟิงฮูหยินน้อยแสยะยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน “ว่ากันว่า ก่อนที่คนจะตายก็มักจะพูดจาดี ข้าพูดเท่านี้แหละ น้องสะใภ้เก็บไปคิดเอาเองเถอะ”

เหยาเฟิ่งเกอนิ่งเงียบ ไม่พูดจาให้มากความ แล้ววางถ้วยชาในมือลงพลางเหยียดกายลุกขึ้น หลังจากที่ม่านลูกปัดขยับ เรือนร่างของเหยาเฟิ่งเกอก็หายไปอยู่นอกประตูทันที เฟิงฮูหยินน้อยที่นอนอยู่บนเตียงก็ค่อยๆ หลับตาลง

“ฮูหยิน” สาวใช้นามเฉินซินออกจากหลังเตียง จากนั้นก็เดินมาตรงหน้าเตียงนอนพลางพยุงเฟิงฮูหยินน้อยให้นอนดีๆ และพูดอย่างทอดถอนใจด้วยเสียงต่ำ “บ่าวนึกไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุใดฮูหยินถึงเลือกคุณหนูรองตระกูลเหยา”

เฟิงฮูหยินน้อยแสยะยิ้ม “เจ้าก็คิดว่าควรจะให้ซิ่วอวิ๋นแต่งเข้าจวนอย่างนั้นหรือ”

สาวใช้เฉินซินจึงพูดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย “หากคุณหนูรองแต่งเข้าจวน พวกเราตระกูลเฟิงจะได้คงความสัมพันธ์ที่เป็นทองแผ่นเดียวกันอยู่ วันข้างหน้าอวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์ก็มีที่พึ่งพิงด้วย อีกอย่าง อย่างไรคุณหนูรองก็คือท่านน้าทางสายเลือดของอวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์ นางย่อมดีกับอวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์มากกว่าผู้อื่นอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ในตระกูลยังมีท่านฮูหยินอยู่ หากนางไม่ทำดีกับอวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์ ท่านฮูหยินในจวนคงไม่มีทางยอมอยู่แล้วเจ้าค่ะ”

“นิสัยใจคอเช่นนั้นของซิ่วอวิ๋น วันข้างหน้าหากได้แต่งเข้าในจวนนี้จริงๆ นางจะสามารถปกป้องตัวเองได้หรือไม่ก็ยังไม่มีข้อสรุปอย่างแน่นอน แล้วทำไมเจ้าถึงคิดว่านางจะทำดีกับอวิ๋นเอ๋อร์?” เฟิงฮูหยินน้อยพูดคำพูดที่แสนเย็นชา “ว่ากันว่า แขกไปแล้วชาก็เย็น แค่ข้าหลับตา อวิ๋นเอ๋อร์ก็กลายเป็นเด็กที่ไม่มีแม่ ต่อให้เป็นภรรยาใหม่คนไหนที่แต่งเข้าจวนมา ก็คงไม่มีทางดูแลนางอย่างจริงใจหรอก หากเทียบกันแล้ว ข้ากลับรู้สึกว่าคุณหนูเหยาเป็นแพทย์หญิง ก็ย่อมมีความเมตตากรุณาอยู่แล้ว นางต้องไม่ทำร้ายอวิ๋นเอ๋อร์แน่นอน”

เฉินซินได้ยินจึงร้องไห้ออกมาอีกครั้ง แล้วพูดด้วยเสียงอ้ำๆ อึ้งๆ “ฮูหยินอย่าพูดอีกเลย ต่อให้ยากเย็นแสนเข็ญมากเพียงใด ท่านต้องพยายามฝ่าฟันมันไปให้ได้ ถึงจะดีที่สุด! ต่อให้มีแม่เลี้ยงที่ดีมากเพียงใดก็เทียบไม่ได้กับมารดาผู้ให้กำเนิด ถือว่าเพื่ออวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์ ท่านต้องรักษาสุขภาพของตนให้แข็งแรงนะเจ้าคะ”

เฟิงฮูหยินน้อยถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “เกรงว่า…ไม่ทันแล้ว”

“ฮูหยิน…” สาวใช้เฉินซินคุกเข่าลงข้างเตียง แล้วกุมมือเฟิงฮูหยินน้อยพลางครวญคราง “บ่าวจะไปขอร้องคุณหนูเหยา เชิญคุณหนูเหยามาทำการรักษาให้ท่าน! คุณหนูเหยามีฝีมือทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ครั้งที่แล้วนางก็บอกแล้ว แค่ท่านบำรุงและฟื้นฟูร่างกายดีๆ ก็ต้องดีขึ้น! ครั้งนี้บ่าวเองที่ไร้ความสามารถ เผลอปล่อยให้นางงูพิษนั่นแอบลอบทำร้ายท่าน ฮูหยินวางใจเถอะเจ้าค่ะ ท่านฮูหยินทราบเรื่องนี้แล้ว บ่าวเชื่อว่ายาทำแท้งจะต้องถูกส่งไปยังหญิงแพศยาในเรือนนั้น ท่านอย่าโมโหเพราะเรื่องนี้อีกเลย…”

เฟิงฮูหยินน้อยทำเสียงเยาะเย้ยตนเอง แล้วพูดขึ้น “นี่ก็ผ่านไปสามวันแล้ว ทารกชั่วนั่นยังอยู่ในครรภ์ของหญิงแพศยานั่นอยู่เลย เจ้าคิดว่าตาของท่านแม่บอดหรือไง”

สาวใช้เฉินซินหยุดชะงักไปทันที แม้แต่คำๆ เดียวยังพูดไม่ออก

ใช่ เรื่องมันเกิดขึ้นสามวันแล้ว ไฉซื่อหญิงแพศยากับเลือดชั่วในครรภ์ของนางยังคงอยู่ดีมีสุข ลู่ฮูหยินไม่ได้ส่งยาแท้งบุตรไป ทั้งยังแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอีก

เทศกาลตรุษจีนมาถึง เพราะว่าฮูหยินตระกูลเฟิงต้องยุ่งกับงานบ้านงานเรือนมากมาย จึงไม่สามารถอยู่ดูแลบุตรีต่อที่นี่ แม้แต่กฎระเบียบเบื้องต้น เรือนชิงผิงยังไม่ปฏิบัติตาม

ตอนที่เหยาเฟิ่งเกอออกจากเรือนชิงผิงแล้วกลับเรือนฉีเสียงของตน ก็ได้มุ่งหน้าไปยังเรือนที่พัก แล้วพิงอยู่กับตั่งไม้พลางครุ่นคิดอยู่อย่างเงียบๆ

หลี่หมัวมัวเห็นสีหน้านางไม่ดี จึงยกน้ำแกงบำรุงร่างกายมาหนึ่งถ้วย พร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงต่ำ “นายหญิงเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ ตั้งแต่ออกจากเรือนของฮูหยินท่านซื่อจื่อก็ดูไม่มีความสุขเลย หรือว่าฮูหยินท่านซื่อจื่อทำอะไรให้นายหญิงลำบากใจหรือเจ้าคะ”

“นางทำเรื่องที่ทำให้ข้าลำบากใจจริงๆ” เหยาเฟิ่งเกอพึมพำขึ้น

หลี่หมัวมัวเดาไม่ออกว่าเฟิงฮูหยินน้อยไปทำอะไรให้เหยาเฟิ่งเกอลำบากใจ ทำได้เพียงเกลี้ยกล่อม “ตอนนี้นายหญิงกำลังตั้งครรภ์คุณชายน้อยอยู่ อย่าได้ครุ่นคิดอะไรให้เหนื่อยเกินไป อย่าคิดอะไรมากมายเลยเจ้าค่ะ”

เหยาเฟิ่งเกอกลับเอ่ยถามอย่างกะทันหัน “เจ้าว่า ถ้าหากนางสิ้นใจไปจริง ใครจะเป็นภรรยาคนใหม่ของท่านซื่อจื่อ”

หลี่หมัวมัวหยุดชะงักไป แล้วถามอย่างสงสัย “เหตุใดจู่ๆ นายหญิงถึงถามเช่นนี้ หลายวันก่อนตอนท่านฮูหยินตระกูลเฟิงอยู่ ไม่ใช่ว่ามีข่าวลือบางอย่างหลุดออกมาหรือเจ้าคะ หากฮูหยินท่านซื่อจื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น ฮูหยินคนใหม่ก็คงเป็นน้องสาวอนุภรรยาของนาง อีกอย่าง ฮูหยินท่านซื่อจื่อมีบุตรีแค่คนเดียว วันข้างหน้าหากฮูหยินคนใหม่มีบุตรชาย แน่นอนว่าจะได้สืบทอดเป็นท่านซื่อจื่อ เรื่องเยี่ยงนี้ ตระกูลเฟิงจะยอมไปได้อย่างไร อีกอย่าง มีเพียงท่านน้าที่จะดีกับบุตรี ฮูหยินท่านซื่อจื่อคงไม่มีทางไม่เข้าใจเหตุผลนี้หรอกเจ้าค่ะ”

เหยาเฟิ่งเกอยิ้มอย่างเย็นชา แล้วถามกลับ “คุณหนูรองตระกูลเฟิง เจ้าก็เคยเจอมาก่อน เจ้าคิดว่านางมีอุปนิสัยอย่างไร”

หลี่หมัวมัวส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ “บ่าวขออนุญาตพูดคำพูดที่ไม่ควร คุณหนูรองตระกูลเฟิงนั้นดูใสซื่อจริงๆ ไม่มีความคิดอะไรที่เป็นของตนเอง นางดูถ่อมตน ดูเป็นคนเปราะบางและอ่อนแอจริงๆ”