ตอนที่ 132 ตระกูลโหวไม่พอใจอย่างยิ่ง ท่านซื่อจื่อร้องขอให้รักษา (2)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

เหยาเฟิ่งเกอเอ่ยถามอีกครั้ง “หากเอานางมาเทียบกับเยี่ยนอวี่ของพวกเราล่ะ?”

หลี่หมัวมัวหัวเราะเสียงเบา “จะเทียบได้อย่างไรเจ้าคะ ภายนอกคุณหนูรองของพวกเราแค่ดูถ่อมตนเท่านั้น แท้จริงแล้วนางมีความคิดเป็นของตนเอง ไม่ว่าจะทำการใด นางก็สามารถตัดสินใจได้โดยเด็ดขาด และจัดการทุกอย่างได้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น คุณหนูรองของพวกเรายังรู้วิชาการแพทย์ องค์หญิงใหญ่หนิงหวาทรงรักใคร่นางยิ่งนัก แน่นอนว่าต้องแข็งแกร่งกว่าคุณหนูรองตระกูลเฟิงอยู่ร้อยส่วนเจ้าค่ะ”

เหยาเฟิ่งเกอยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง “เจ้าก็พูดเช่นนี้ มิน่าล่ะนางถึงอยากจะให้เยี่ยนอวี่แต่งเข้ามาเป็นภรรยาคนใหม่ของท่านซื่อจื่อ”

“อะไรนะเจ้าคะ?!” หลี่หมัวมัวที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้รองฝ่าเท้าแล้วกำลังนวดเท้าให้เหยาเฟิ่งเกอ จึงหยุดชะงักทันใดแล้วเงยหน้ามองเหยาเฟิ่งเกอด้วยความแปลกใจ พลางถามขึ้น “นายหญิงบอกว่า ฮูหยินท่านซื่อจื่ออยากจะให้คุณหนูรองของเราแต่งเข้าจวนหรือเจ้าคะ”

เหยาเฟิ่งเกอพยักหน้า จากนั้นพูดขึ้น “นางยังบอกว่า ครั้งนี้ที่นางแท้งก็เพราะถูกคนลอบทำร้าย บอกว่าครั้งนี้นางโดนก่อน แล้วหลักจากนั้นก็ถึงคราวของข้า”

หลี่หมัวมัวทำท่าทางที่ดูหมิ่นและพูดขึ้นทันที “นางคือนาง พวกเราคือพวกเรา! นายหญิงอย่าไปฟังคำพูดเรื่อยเปื่อยของนาง ตัวนางมีชีวิตที่ไม่ยืนยาวเอง แล้วยังคิดจะแช่งคนอื่น กรรมต้องตามสนองนางแน่นอน อมิตาพุทธ!”

“แท้จริงแล้ว ด้วยสถานะของเยี่ยนอวี่ แค่ได้เป็นภรรยาคนใหม่ของท่านซื่อจื่อก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เลวแล้ว” เหยาเฟิ่งเกอพูดพึมพำเสียงเบา “อีกอย่าง หากนางแต่งมาที่นี่ พวกเราสองพี่น้องจะได้คอยดูแลและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะได้ไม่ปล่อยคนอื่นมาทำมิดีมิร้าย”

หลี่หมัวมัวได้ยินจึงขมวดคิ้วขึ้น พลางถามอย่างลองใจ “ไม่ใช่ว่านายหญิงได้ตอบตกลงนางไปแล้วนะเจ้าคะ”

เหยาเฟิ่งเกอชำเลืองมองนางเพียงพริบตา แล้วหัวเราะเสียงเบา “เจ้าคิดว่าข้าโตมากับการกินข้าวอย่างเดียวหรือไง เรื่องเยี่ยงนี้ข้าจะตอบตกลงง่ายๆ ได้อย่างไร”

หลี่หมัวมัวแอบถอนหายใจ “นายหญิงไม่ได้ตอบตกลงก็ดีแล้วเจ้าค่ะ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยนะเจ้าคะ นายหญิงต้องปรึกษากับคุณชายรองดีๆ เสียก่อนเจ้าค่ะ”

โดยปกติแล้ว หากเหยาเฟิ่งเกอมีเรื่องอะไรก็มักจะปรึกษาหารือกับหลี่หมัวมัว ครั้งนี้ก็ไม่ได้รับการยกเว้น ด้วยเหตุนี้จึงถามขึ้น “เจ้าลองว่ามาดู เจ้าคิดอย่างไร”

หลี่หมัวมัวรีบก้มหน้าลง “นี่เป็นเรื่องของเจ้านาย จะให้บ่าวกล่าวมากความได้อย่างไร”

“เจ้าเป็นเช่นนี้อีกแล้ว! เจ้าแก่เฒ่าจริงๆ แล้วหรือ ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นคนรู้ใจจึงได้มาปรึกษา นึกว่าข้าอยากได้ยินเจ้าที่เคร่งครัดในกฎระเบียบหรือไง”

“เจ้าค่ะ บ่าวสมควรตายเจ้าค่ะ” หลี่หมัวมัวรีบพูด “บ่าวได้ข่าวว่าท่านเจิ้นกั๋วกงไปสู่ขอคุณหนูรองกับนายท่าน และยังบอกว่าเป็นความปรารถนาขององค์หญิงใหญ่ บอกว่าอยากจะให้คุณหนูรองและแม่ทัพติ้งหย่วนได้สมรสกัน?”

เหยาเฟิ่งเกอพยักหน้า “มีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง ทว่าท่านพ่อไม่ได้ตอบตกลงไปทันที เรื่องงานสมรสของเยี่ยนอวี่…ท่านพ่อก็ต้องรอบคอบอยู่แล้ว”

“บ่าวยังได้ยินมาว่า ตอนนั้นท่านเจิ้นกั๋วกงเอาแต่พูดกับนายท่านว่าแม่ทัพติ้งหย่วนเหมือนดั่งหลานชายของเขา แล้วยังบอกว่าองค์หญิงใหญ่ก็มองคุณหนูรองของพวกเราเปรียบเสมือนบุตรี…บ่าวรู้สึกว่า ดูท่าแล้วท่านกั๋วกงพยายามทำให้พวกเขาสองคนได้สมรสกันจริงๆ นายหญิงรู้สึกอย่างไรเจ้าคะ”

เหยาเฟิ่งเกอกล่าวขึ้น “เจ้ากล่าวถูกยิ่งนัก”

หลี่หมัวมัวพูดขึ้นอีกครั้ง “นายหญิงคิดว่า ถ้าหากเลือกผู้อื่นที่ไม่ใช่คนในตระกูลเฟิงมาเป็นภรรยาคนใหม่ของท่านซื่อจื่อในจวนของพวกเรา ตระกูลเฟิงจะคิดอย่างไร”

เหยาเฟิ่งเกอเข้าใจขึ้นมาทันที “ตระกูลเฟิงต้องโมโห อีกอย่างยังพลอยโมโหผู้อื่นไปด้วย”

หลี่หมัวมัวถอนหายใจ “เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”

ถึงแม้มหาบัณฑิตหอเกียรติยศเฟิงเซ่าผิงจะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ทว่าก็ไม่ควรประมาท และตำแหน่งของเขาในบรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นถึงจะรองลงมาจากเฟิงจงเยี่ย ทว่าก็มีขุนนางไม่น้อยในราชสำนักเคยเป็นศิษย์ของเขา พูดไม่ได้ว่ามีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ทว่าก็ไม่เห็นว่าเขาจะแย่กระไร

หากเหยาเยี่ยนอวี่เข้ามาเป็นภรรยาคนใหม่ของติ้งโหวซื่อจื่อ เช่นนั้นก็ถือว่าตระกูลเหยาได้ผิดใจกับตระกูลเฟิงแล้ว เฟิงเซ่าผิงคงไม่ทำอะไรเหยาเยี่ยนอวี่ แต่เขาจะทำให้เหยาหย่วนจือต้องสะดุดอย่างลับๆ จวนอัครเสนาบดีก็ขัดแย้งกับตระกูลเหยาอยู่แล้ว หากเพิ่มเฟิงเซ่าผิงเข้าไปอีกคนก็จะยิ่งแย่ลงไปอีก

อีกอย่าง ท่านเจิ้นกั๋วกงมาสู่ขอด้วยตนเองยังถูกปฏิเสธ หลังจากไม่กี่วันผ่านไป เหยาเยี่ยนอวี่กลับไปเป็นภรรยาคนใหม่ของติ้งโหวซื่อจื่อ นี่ไม่เท่ากับว่ากำลังหักหน้าท่านเจิ้นกั๋วกงหรือไร ถึงเวลาไม่เพียงแต่ตระกูลเฟิงจะขุ่นเคือง แล้วยังผิดใจกับจวนเจิ้นกั๋วกงและองค์หญิงใหญ่หนิงหวาอีกด้วย แล้วตระกูลเหยาจะได้รับผลประโยชน์อะไร

เหยาเฟิ่งเกอคิดถึงเช่นนี้ จึงถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆ

หลี่หมัวมัวมองสีหน้าของเหยาเฟิ่งเกอ และรู้ว่านายของตนคงคิดพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียของเรื่องนี้แล้ว จึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก

เหยาเฟิ่งเกอครุ่นคิดไปสักพัก แล้วเปรยขึ้นอีกครั้ง “แค่ว่าเรื่องนี้มันยากที่จะจัดการน่ะสิ”

หลี่หมัวมัวรู้ดีว่าเหยาเฟิ่งเกอกำลังหมายถึงอะไร ดังนั้นจึงพูดด้วยเสียงต่ำ “เหตุใดนายหญิงถึงต้องโมโหเพราะเรื่องของคนอื่น หากเรื่องนี้ทำให้เสียสุขภาพ พวกคนชั่วก็คงจะรู้สึกมีความสุข เรื่องในจวน หากว่าท่านฮูหยินไม่ได้เป็นฝ่ายตัดสินใจ ก็ยังมีองค์หญิงต้าจั่งมิใช่หรือ”

เหยาเฟิ่งเกอทำนัยน์ตาเปล่งประกาย แล้วค่อยๆ ยิ้มขึ้น

บังเอิญวันนั้นซูอวี้เหิงก็มาพูดคุยเล่นกับเหยาเฟิ่งเกอพอดี เพราะว่านางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเหยาเยี่ยนอวี่ และรวมไปถึงเรื่องของเฟิงฮูหยินน้อย ซูอวี้เหิงจึงมาเยี่ยมเยียนเหยาเฟิ่งเกอทุกวัน และมักจะพูดคุยเรื่องขับขนเพื่อทำให้เหยาเฟิ่งเกอหัวเราะ ถือว่าเป็นการทำหน้าที่แทนเหยาเยี่ยนอวี่

เหยาเฟิ่งเกอจึงพูดคุยกับซูอวี้เหิงไปไม่กี่คำ กลับไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แค่ระบายกับนางว่าเฟิงฮูหยินน้อยน่าสงสารมากเพียงใด วันนี้นางนอนป่วยอยู่กับเตียง ทว่าในเรือนกลับมีคนกำลังตั้งครรภ์ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านซื่อจื่อ

คืนนั้น ไม่รู้ว่าซูอวี้เหิงกลับไปทูลอะไรกับองค์หญิงต้าจั่ง องค์หญิงต้าจั่งจึงรีบสั่งคนไปส่งยาทำแท้งไปให้ไฉซื่อที่เป็นเมียบ่าวของเรือนชิงผิง ไฉซื่อเห็นว่าเป็นคนขององค์หญิงต้าจั่ง จึงรู้สึกตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง จากนั้นก็คุกเข่าพลางร้องไห้อ้อนวอนขอร้องให้ปล่อยนางและบุตรไป

สาวใช้ที่คอยปรนนิบัติรับใช้ไฉซื่อเป็นคนมีไหวพริบ และอยากจะแอบวิ่งไปตามคนมาช่วย ทว่าคนขององค์หญิงต้าจั่งได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เลยเฉลียวฉลาดมากยิ่งกว่า พอเห็นสาวใช้ก็รีบสั่งให้คนมัดและโยนตัวเข้าไปกักขังไว้ในเรือนเก็บฟืน จากนั้นก็จับตัวไฉซื่อมาป้อนยาต้มสมุนไพรหนึ่งถ้วย อีกทั้งยังคอยจนท่อนล่างของไฉซื่อมีเลือดหลั่งออกมาถึงจะจากไป

ช่วงเวลายามสามของคืนนั้น ครรภ์ที่โตราวๆ สองเดือนของไฉซื่อก็ถูกกำจัดทิ้ง

ในเรือนหลักของเรือนชิงผิง ซูอวี้ผิงกำลังมองเฟิงฮูหยินน้อยดื่มยาต้มสีดำสนิทหนึ่งถ้วยลงไปด้วยสีหน้าที่คิ้วขมวด จากนั้นเขาก็ถอนหายใจพลางพูดขึ้น “เจ้าคิดว่าดื่มยานี้มีประโยชน์หรือไม่ ไม่เช่นนั้นพวกเราไปเชิญคุณหนูรองตระกูลเหยามาตรวจชีพจรให้เจ้าอีกครั้ง จะได้จ่ายยาสูตรใหม่มาให้?”

เฟิงฮูหยินน้อยยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่ต้องหรอกท่านพี่ ต่อให้ฮว่าถัว[1]กลับชาติมาเกิดบนโลกมนุษย์อีกครั้ง ก็สามารถรักษาได้แค่โรค ทว่าไม่สามารถรักษาชีวิตได้ ข้าเกิดมามีวาสนาน้อยจึงมีชีวิตสั้น คงไม่สามารถอยู่ไปจนแก่เฒ่ากับท่านพี่”

“เจ้ากำลังพูดอะไรโง่ๆ อยู่! เพิ่งดื่มยาเสร็จก็พูดเช่นนี้อีกแล้ว ทำให้ตัวเองเสียใจแล้วมันมีประโยชน์อะไรกับร่างกายเจ้า” ซูอวี้ผิงและเฟิงฮูหยินน้อยเป็นสามีภรรยากันมาเจ็ดแปดปี และยังมีบุตรีด้วยกันหนึ่งคน อีกทั้งเฟิงฮูหยินน้อยก็เคยแท้งบุตรมาสองครั้งจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ตัวเขาเองก็คุ้นชินกับความเป็นความตายมาบ่อย ทว่าตอนนี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะตาแดงระเรื่อ

เฟิงฮูหยินน้อยได้พบเจอกับซูอวี้ผิงในช่วงวัยที่เหมาะสมแก่การออกเรือนที่สุดสำหรับสตรี และได้แต่งงานกับเขา แน่นอนว่านางจึงปฏิบัติกับเขาด้วยใจจริงสุดหัวใจ วันนี้พอเห็นดวงหน้าที่พริ้มเพราดุจดอกไม้งามนั้นหายไป ภายในใจจะไม่รู้สึกเจ็บปวดได้อย่างไร แต่ต่อให้เจ็บปวดมากเพียงใดก็ต้องอดทนไว้ เฟิงฮูหยินน้อยไม่อยากให้ตนเองทิ้งความทรงจำที่ไม่ดีในช่วงเวลาสุดท้าย และไม่อยากให้ภายภาคหน้าพอเขานึกย้อนถึงตนเองก็จะรู้สึกเจ็บปวดและโศกเศร้าทุกครั้ง ดังนั้นจึงฝืนยิ้มขึ้น “เรือนของข้าเคล้าด้วยกลิ่นอายของการเจ็บไข้ได้ป่วย ท่านพี่แค่มานั่งเล่นก็พอ เวลาก็สายมากแล้ว ถึงแม้หลายวันมานี้ท่านจะไม่ต้องยุ่งกับการงานของท่าน ทว่ากลับต้องยุ่งวุ่นวายกับงานในเรือนมากมาย ท่านพี่ก็อย่าได้ทำให้ตนเองเหน็ดเหนื่อยเลย รีบกลับไปพักผ่อนที่เรือนอักษรเถอะ”

ซูอวี้ผิงจับมือเฟิงฮูหยินน้อยไว้ แล้วพูดขึ้น “เจ้าหลับเถอะ ข้าจะมองจนกว่าเจ้าหลับแล้วค่อยไป”

[1] ฮว่าถัว คือแพทย์ที่ถูกยกย่องว่าเป็นปฐมาจารย์ศัลยแพทย์จีนในอดีต