ตอนที่ 133 ตระกูลโหวไม่พอใจอย่างยิ่ง ท่านซื่อจื่อร้องขอให้รักษา (3)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

เฟิงฮูหยินน้อยยิ้มทั้งน้ำตา “ท่านพี่อยู่ที่นี่ แล้วจะให้น้องนอนหลับได้อย่างไร”

ซูอวี้ผิงถอนหายใจออกมาแรงๆ แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาตรงหางตาของเฟิงฮูหยินน้อย พูดเกลี้ยกล่อม “เช่นนั้นเจ้าก็พักผ่อนดีๆ วันรุ่งขึ้นข้าจะไปเชิญคุณหนูรองตระกูลเหยามา เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะคิดหาวิธีทุกวิถีทางเพื่อที่จะรักษาโรคของเจ้าให้หายดี”

เฟิงฮูหยินน้อยพยักหน้าเบาๆ “คำพูดของท่านพี่ น้องเชื่อมาโดยตลอด”

ซูอวี้ผิงกุมมือของเฟิงฮูหยินน้อยไว้ และไม่อยากจะลุกขึ้นแล้วจากไปเลย ตอนที่ออกจากประตูก็สั่งให้สาวใช้เฉินซินและสาวใช้คนสนิทไฉ่จูไฉ่อวี้ปรนนิบัติรับใช้นายหญิงเป็นอย่างดี จากนั้นก็หันกลับไปมองภรรยาที่นอนอยู่บนเตียง แล้วหันหลังเดินออกไป

เฟิงฮูหยินน้อยมองร่างของซูอวี้ผิง จึงอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ นางได้ลิ้มรสการจากเป็นจากตายพร้อมกันในเวลานี้

สาวใช้เฉินซินเพิ่งจะยกถ้วยยาต้มเปล่าออกไป ก็สวนทางกับผัวจื่อคนหนึ่งที่กำลังวิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ ดังนั้นจึงถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “มีเรื่องอะไรถึงได้กระวนกระวายเช่นนี้ ฮูหยินเพิ่งหลับไป หากทำให้ท่านตกใจ ดูว่าท่านซื่อจื่อจะถลกหนังเจ้าอย่างไร!”

“โธ่! ไม่ดีแล้ว! ไฉอี้เหนียง[1]…”

“หุบปาก!” เฉินซินก่นด่าอย่างโมโหด้วยน้ำเสียงที่ย่ำแย่ “นางเป็นอี้เหนียงตั้งแต่เมื่อใดกัน! ก็แค่หญิงแพศยาชั้นต่ำที่ถูกซื้อตัวมาเพียงไม่กี่ตำลึงเงินเท่านั้น! ดึกดื่นป่านนี้ นางจะมีเรื่องอะไรได้ เจ้าถึงต้องทำท่าทำทางที่ตื่นตกใจเช่นนี้!”

ผัวจื่อคนนั้นจึงสะอึกสะอื้น “เมื่อครู่นี้มีคนมาเยือน บอกว่าเป็นคนที่องค์หญิงต้าจั่งส่งมา แล้วยังมาป้อนยาหนึ่งถ้วยให้กับไฉซื่อ พอเห็นเลือดหลั่งออกมาระหว่างขา…ทารกนั้น…รักษาไว้ไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ!”

เฉินซินแสยะยิ้มอย่างเย็นชา “องค์หญิงต้าจั่งทำเรื่องอะไรลงไป เป็นคราวของเจ้าที่ต้องมากความหรือ ยังไม่รีบไสหัวออกไปอีก!”

ผัวจื่อถูกเฉินซินก่นด่าไปไม่กี่คำ จึงจากไปอย่างท้อแท้หมดอาลัยตายอยาก

เฉินซินยื่นถ้วยยาให้กับสาวใช้แล้วหันหลังเดินกลับไป เห็นเฟิงฮูหยินน้อยที่หลับไปในตอนแรก ตอนนี้กลับขึงตามองเพดานมุ้ง นัยน์ตานั้นดูมีชีวิตชีวาอย่างไม่เคยพบไม่เคยเจอมาก่อน

“ฮูหยินเจ้าคะ” เฉินซินขยับเข้าไปใกล้ แล้วปลอบโยนด้วยเสียงต่ำ “ความชั่วย่อมมีความชั่วตอบแทน ความเคียดแค้นใจครั้งนี้ของฮูหยินได้รับการระบายออกมาเสียที”

เฟิงฮูหยินน้อยยิ้มอย่างพอใจ “น้องสะใภ้เหยาทำการได้อย่างเด็ดขาดอย่างที่หวังไว้ไม่มีผิด ข้าไม่ได้มองคนผิดจริงๆ”

“ฮูหยินไม่ต้องคิดมากเจ้าค่ะ ท่านซื่อจื่อก็บอกว่าจะเชิญคุณหนูรองตระกูลเหยามารักษาฮูหยินแล้ว ไม่แน่โรคของฮูหยินอาจจะหายดีเมื่อคุณหนูเหยาเป็นคนรักษานะเจ้าคะ”

เฟิงฮูหยินน้อยหัวเราะ แล้วไม่พูดอะไรอีก จากนั้นก็พยายามนอนตะแคงข้าง แล้วหันไปข้างในเตียงนอน

ในจวนติ้งโหว เรือนชิงผิงกลับสู่สภาวะที่นิ่งสงบเสียที ผู้ที่ควรหลับก็หลับไปแล้ว ทว่าเรือนของลู่ฮูหยินกลับจุดไฟสว่าง สาวใช้และผัวจื่อทั้งเรือนต่างกำลังคอยลู่ฮูหยินกลับมา

ตอนนี้ลู่ฮูหยินไม่อยู่ในจวนติ้งโหว ทว่ากลับถูกองค์หญิงต้าจั่งเรียกตัวไปตั้งนานแล้ว เพราะเรื่องที่เฟิงฮูหยินน้อยแท้งบุตร แต่ไฉซื่อกลับตั้งครรภ์ ลู่ฮูหยินถูกองค์หญิงต้าจั่งเรียกไปถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องนี้

องค์หญิงต้าจั่งมองลู่ฮูหยินที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างเย็นชา แล้วเอ่ยถาม “เจ้าบอกว่าเรื่องนี้เจ้าไม่รู้? เรื่องใหญ่เยี่ยงนี้เจ้ากลับพูดคำว่า ‘ไม่รู้’ ก็จบอย่างนั้นหรือ จวนติ้งโหวที่ใหญ่หลวงเยี่ยงนี้ มีสายตาของผู้คนไม่รู้เท่าใดกำลังคอยจับตามอง หากเจ้าไม่มีความสามารถในการจัดการดูแลเรื่องภายในจวน เช่นนั้นข้าสมควรพิจารณาเปลี่ยนคนดีหรือไม่!”

ลู่ฮูหยินก็เลยอายุห้าสิบมาแล้ว ถึงแม้บ่าวไพร่ในเรือนถูกไล่ออกไปจนหมด ในห้องโถงที่กว้างใหญ่นี้เหลือแต่เพียงแม่สามีและสะใภ้เพียงสองคน ทว่าฮูหยินผู้หนึ่งที่ได้รับตำแหน่งเป็นภรรยาเอกผู้สูงศักดิ์ถูกว่ากล่าวตำหนิเช่นนี้ คงจะรักษาสีหน้าที่ดีไม่ได้อีกต่อไป

เพียงแต่เรื่องนี้นางเองก็เป็นฝ่ายผิดจริงๆ ตอนนี้อย่าว่าแต่องค์หญิงต้าจั่งเลย ต่อให้ใช้ฐานะที่เป็นเพียงแม่สามีธรรมดาๆ คนนี้ ก็เพียงพอที่จะว่ากล่าวสั่งสอนนางได้ ให้นางมีความผิดที่สะสางงานเรือนได้อย่างไม่รอบคอบ ดังนั้นลู่ฮูหยินจึงทรุดตัวคุกเข่าลงบนพื้น พร้อมพูดทั้งน้ำตา “เรื่องนี้เป็นความบกพร่องของสะใภ้เอง สะใภ้ขอสารภาพความผิดกับองค์หญิงต้าจั่งเพคะ”

“สารภาพความผิด?!” องค์หญิงต้าจั่งแสยะยิ้มอย่างเย็นชา “หากเจ้ายอมรับความผิดจากใจจริง ก็ควรรู้สึกผิดและครุ่นคิดถึงเรื่องในตอนนั้นตั้งนานแล้ว!”

ลู่ฮูหยินก้มหน้าลง และน้ำตาก็ไหลพรากลงมาไม่หยุด

องค์หญิงต้าจั่งกลับยิ่งรู้สึกโมโห จึงพูดคำพูดที่ไม่เหมาะสม “ตอนนั้นเจ้าแต่งเข้ามาในตระกูลซู ผ่านไปสามปีแล้วยังไม่มีบุตร! เปิ่นกงทำอย่างไร เปิ่นกงเคยขาดการส่งยาให้กับเมียบ่าวในเรือนของเจ้าแม้แต่ครั้งเดียวหรือไม่! หรือว่าเปิ่นกงไม่อยากมีหลาน! และหลังจากนั้น เจ้าตั้งครรภ์มีบุตรชาย เมียบ่าวในเรือนของเจ้ามีใครบ้างที่เคยตั้งครรภ์มีบุตร? จนถึงตอนนี้เจ้าลองนึกย้อนกลับไปดู เจ้ามีบุตรชายสามคนและบุตรีหนึ่งคน อนุภรรยาเหล่านั้นที่อยู่ข้างกายท่านโหวมีใครบ้างที่คลอดบุตรอนุภรรยาออกมา! ต่อให้เป็นเยี่ยงนี้ เปิ่นกงเคยตำหนิเจ้าว่าโหดร้ายและมีจิตใจอำมหิตที่ไม่สามารถทำให้ตระกูลซูงอกงามและยิ่งใหญ่หรือไม่ เกิดเป็นมนุษย์ก็ต้องรู้จักเอาใจเขาใส่ใจเรา! เหตุใดเจ้าถึงเห็นแก่บุตรชายมากเกินไป จนทำการที่ไม่ชอบด้วยเหตุผลเช่นนี้”

องค์หญิงต้าจั่งยิ่งพูดก็ยิ่งเกรี้ยวโกรธ ทันใดนั้นนางจึงขว้างถ้วยชาในมือ ทำให้เกิดเสียง ‘เพล้ง’ ดังขึ้น ถ้วยชาหยกสีอ่อนถูกขว้างทิ้งจนแตกกระจายเป็นชิ้นๆ “หรือว่าเจ้าคิดจะทำเรื่องน่าอับอายที่จะยอมให้ครอบครัวบุตรคนโตมีบุตรชายที่ให้กำเนิดโดยอนุภรรยา แล้วปล่อยให้ฮ่องเต้เอาผิด และยังปล่อยให้คนทั่วใต้หล้ามาหักกระดูกสันหลังบุตรชายของเจ้า!”

ลู่ฮูหยินรีบน้อมก้มกราบลงทันที แล้วพูดด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “สะใภ้สำนึกผิดแล้ว ได้โปรดองค์หญิงต้าจั่งเห็นแก่บุตรชายทั้งสามของสะใภ้ เมตตาสะใภ้อีกครั้งเถอะเพคะ”

องค์หญิงต้าจั่งก่นด่าออกมาหนึ่งชุด ความโกรธเต็มท้องก็ถูกระบายออกมาเกือบหมด อีกทั้งพอได้เห็นลู่ฮูหยินที่ตกอยู่ในสภาพเยี่ยงนี้ นางจึงถอนหายใจลากยาว “ไม่ใช่ว่าข้าตั้งใจจับผิดเจ้า! เจ้าเองก็ลองคิดดู หากเรื่องเยี่ยงนี้ถูกป่าวประกาศออกไป แล้วคนอื่นจะมองบุตรชายเจ้าเป็นคนอย่างไร! ต้องเอาใจเขาใส่ใจเรา ที่ผ่านมาสะใภ้ของผิงเอ๋อร์ก็เป็นผู้ที่กตัญญูรู้คุณ เจ้าทนได้ยังไงที่ต้องปฏิบัติกับนางแบบนี้? เฟิงเซ่าผิงไม่ใช่คนที่รังแกได้ง่ายๆ หากเรื่องนี้ปล่อยให้เขาสร้างปัญหาออกมา เจ้าจะทำอย่างไร!”

“เพคะ สะใภ้สำนึกผิดแล้วเพคะ” ตอนนี้ลู่ฮูหยินพูดอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงน้อมรับความผิด

“เจ้าลุกขึ้นเถอะ” องค์หญิงต้าจั่งถอนหายใจอีกครั้ง

ลู่ฮูหยินน้อมก้มกราบลงอีกครั้ง กลับไม่กล้าลุกขึ้น แล้วยังคงคุกเข่าไม่ขยับไปไหน

องค์หญิงต้าจั่งเห็น จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้นมาบ้าง “ข้าก็ถูกทำให้โมโหเป็นฟืนเป็นไฟจนระบายอารมณ์กับเจ้า ทว่าเรื่องนี้ก็เป็นหน้าที่ของเจ้าตั้งแต่แรก เฟิงฮูหยินน้อยนอนป่วยอยู่บนเตียง และเกือบจะสูญสิ้นชีวิตไปแล้ว เรื่องภายในเรือนของนางเจ้ากลับไม่แยแส แล้วจะให้ใครไปแยแส ช่างเถอะ เจ้าก็ถือว่าเป็นคนที่มีอายุแล้ว คุกเข่านานเกินไป ร่างกายอาจจะทนรับไม่ไหว ลุกขึ้นเถอะ”

“องค์หญิงต้าจั่งว่ากล่าวสั่งสอนได้ถูกต้องเพคะ สถานการณ์ภายในจวนโหวไม่มั่นคง เป็นความผิดของสะใภ้เอง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สะใภ้จะจัดการเรื่องภายในจวนอย่างระมัดระวัง จะไม่ให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกเพคะ” ลู่ฮูหยินน้อมก้มกราบอีกครั้ง แล้วจับหัวเข่าค่อยๆ ลุกขึ้น

เหลียนหมัวมัวเฝ้าอยู่นอกตำหนักเซียนจวูตลอดมา ประตูของตำหนักเซียนจวูนั้นทั้งหนาและหนัก จึงเก็บเสียงได้อย่างดี ต่อให้เหลียนหมัวมัวตั้งใจฟัง ก็ไม่ได้ยินว่าข้างในคุยอะไรกัน แค่ได้ยินเสียง ‘เพล้ง’ เสียงเดียว เหมือนจะเป็นเสียงของวัตถุแตกหัก

ผ่านไปสักพักใหญ่ ลู่ฮูหยินจึงออกจากด้านในตำหนักด้วยสีหน้าที่ขาวซีด เหลียนหมัวมัวรีบเดินเข้าไปพยุง พลางเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ท่านฮูหยิน ยังสบายดีหรือไม่เจ้าคะ”

“กลับไป” ลู่ฮูหยินไม่อยากมากความแม้แต่คำเดียว ถึงแม้ตอนนั้นนางแต่งเข้ามาในจวนโหวก็รู้ว่าการได้กลายเป็นสะใภ้ขององค์หญิงในตระกูลราชวงศ์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่ากลับนึกไม่ถึงว่านางแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้เป็นเวลาสามสิบกว่าปีแล้ว วันนี้กลับเดินมาถึงจุดๆ นี้ได้ ไฟแห่งความเกรี้ยวโกรธเต็มท้องของลู่ฮูหยินกำลังลุกโชนขึ้นมา แล้วเกือบจะแผดเผากลางกะโหลกศีรษะแล้ว

หลังจากที่กลับจากจวนองค์หญิงต้าจั่ง ลู่ฮูหยินจึงขับไล่ทุกคนที่อยู่ข้างกายออกไป แม้แต่เหลียนหมัวมัวที่เป็นบ่าวคนสนิทยังไม่ละเว้น แล้วขังตัวเองอยู่ในเรือนนอน ตลอดทั้งคืนก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น

[1] อี้เหนียง คือการเรียกอนุภรรยา