ตอนที่ 17 เรื่องที่ง่ายที่สุดที่ข้าสามารถคิดได้
ซือเฟิงเฉินยืนอยู่บนแผ่นไม้ที่เชื่อมระหว่างหน้าผา มองดูคนสองคนที่เดินไปทางหอที่อยู่ไกลออกไป สายตาแปรเปลี่ยนเป็นคร่ำเคร่งขึ้นมา
ลมทะเลพัดเข้ามาจนหนวดที่ออกเป็นสีน้ำตาลเหลืองของเขาพริ้วไหว แต่กลับไม่สามารถทำอะไรอยย่นบนใบหน้าของเขาได้ รอยย่นเหล่านั้นแสงถึงแรงกายแรงใจที่เขาทุ่มเทให้กับราชสำนัก ราวกับเหล็กที่หลอมขึ้นมาก็มิปาน
ลูกน้องกล่าวขอคำสั่งว่า “ใต้เท้า พวกเขาใกล้จะเข้าไปในหอแล้ว ให้ลงมือเลยหรือไม่ขอรับ?”
ซือเฟิงเฉินหรี่ตาเล็กน้อย กล่าวว่า “รอก่อน แขกเหรื่อในงานเลี้ยงซื่อไห่มีจำนวนมาก หากตอนนี้ลงมือ จะทำให้เกิดความวุ่นวายได้ง่าย”
ลูกน้องเข้าใจความหมายที่แท้จริงของเขา สำนักกระบี่ซีไห่ตอบรับคำขอของกรมชิงเทียนด้วยการส่งคนมาจับตาดูงานเลี้ยงเอาไว้ นี่ถือเป็นการไว้หน้าราชสำนักมากแล้ว หากอีกประเดี๋ยวไปทำให้งานเลี้ยงต้องจบลงก่อนถึงเวลาหรือทำให้เกิดความวุ่นวายเพียงเพื่อจะจับกุมคนชั่วสองคนนั้น….ใครจะแบกรับไฟแห่งความโกรธของซีหวังซุนไหว?
ซือเฟิงเฉินกล่าว “ตอนนี้มีใครอยู่ในหอ?”
ลูกน้องอีกคนหนึ่งกล่าว “อาจารย์เซียนส่วนใหญ่เข้าไปยังลานเมฆแล้วขอรับ”
ซือเฟิงเฉินกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ ในใจครุ่นคิดเมื่อคืนก่อนปล่อยให้อีกฝ่ายหลบหนีไปจากโรงเตี๊ยมก็ว่าไปอย่าง วันนี้รู้อยู่ว่าอีกฝ่ายจะมาร่วมงานเลี้ยงซื่อไห่ แต่ผู้บำเพ็ญพรตเหล่านั้นกลับยังมิสนใจ
“สำนักชิงซานล่ะ?”
“ก็เข้าไปแล้วขอรับ”
“แล้วตอนนี้มีใครอยู่?”
“เมื่อครู่ท่านจู๋เจี้ยอยู่ในหอพิณขอรับ”
“เขาอย่างนั้นหรือ? ดีมาก ส่งคนไปแจ้ง ให้เขาอยู่ด้านในคอยจับตาดูคนที่ใส่หมวกลี่เม่าสองคนนั้นไว้”
“คนอื่นให้รออยู่ด้านนอก”
“แจ้งสำนักกระบี่ซีไห่ ให้พวกเขาช่วยเอาหนังสือกระบี่ไปส่งยังลานเมฆ เรื่องอื่นยังไม่ต้องสนใจ”
คำสั่งของซือเฟิงเฉินชัดเจนและแจ่มแจ้ง
เขาเชื่อว่าขอเพียงอีกฝ่ายออกไปจากเขาลูกนี้ ก็จะต้องติดกับที่วางเอาไว้อย่างแน่นอน
เหล่าลูกน้องของกรมชิงเทียนเองก็เชื่อว่าวันนี้อีกฝ่ายไม่มีทางหนีรอดไปได้แน่ จึงอดรู้สึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้
เหตุใดพวกเขายังกล้ามางานเลี้ยงซื่อไห่? การลอยหน้าลอยตาเช่นนี้มันต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย?
“หากพวกเขาเป็นศิษย์ที่ถูกทอดทิ้งของสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงอย่างที่ข้าคิดเอาไว้จริง เช่นนั้นจะต้องเป็นเพราะหมดหวังในด้านการบำเพ็ญเพียร จึงถูกบีบให้ออกจากสำนักและตกอยู่ในสภาพอย่างทุกวันนี้ สำหรับคนอย่างพวกเขาแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการบำเพ็ญเพียร หากสามารถได้รับของวิเศษจากซีหวังซุน ไม่แน่พวกเขาอาจจะยังมีหวังอยู่ก็เป็นได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องมา”
ซือเฟิงเฉินแค่นหัวเราะ “คนตายเพราะเงินทอง นกตายเพราะอาหาร ผู้บำเพ็ญพรตดูแล้วเหมือนสูงส่ง ความจริงแล้วมีอะไรแตกต่างกัน?”
……
……
เขาโดดเดี่ยวมิโดดเดี่ยว เนินเขาสูงต่ำทอดยาวไปตามทะเล ผาขาดทอดตัวไปทางตะวันตก ก่อเกิดเป็นอ่าวสีฟ้าครามขึ้นหลายแห่ง
เสียงพิณลอยล่องมาจากอ่าวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ไพเราะจับจิต แต่มันกลับไม่สามารถทำให้คนที่อยู่ที่นี่เสียสมาธิได้ สายตาทุกคนจับจ้องไปยังกระดานหมากล้อมที่ห้อยลงมาจากบนชั้นสอง ขณะเดียวกันก็สนทนากับเพื่อนที่อยู่ข้างกายอย่างตั้งใจ พลางส่งเสียงอุทานชื่นชมว่าวิเศษมาก เยี่ยมมากออกมาอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าบางครั้งก็จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความโกรธขึ้นมาเหมือนกัน
จิ๋งจิ่วไม่ชินกับสภาพแวดล้อมที่คึกคักวุ่นวายแบบนี้ แต่เขาก็ยังอดทนดูอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เมื่อวานเจ้าล่าเยวี่ยซื้อหนังสือเกี่ยวกับการเล่นหมากล้อมให้เขาเล่มหนึ่ง เขาอ่านดูรอบหนึ่ง จดจำกฎเกณฑ์และวิธีการวิเคราะห์แพ้ชนะเหล่านั้นเอาไว้ แต่ตัวหนังสือนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีแต่ต้องมาดูการแข่งขันด้วยตาตัวเองถึงจะทำให้เขาเข้าใจได้อย่างแท้จริง
“เข้าใจมากน้อยเท่าไร?” เจ้าล่าเยวี่ยถาม
จิ๋งจิ่วกล่าว “รู้สึกไม่ค่อยยาก ลองดูได้”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “วันที่อยู่ในศาลเจ้าเทพทะเลข้าเคยบอกไว้แล้ว ว่าเรื่องแบบนี้มันง่ายดายอย่างมากสำหรับเจ้า”
จิ๋งจิ่วยิ้มๆ กล่าวว่า “อย่างนั้นข้าไปล่ะ”
เจ้าล่าเยวี่ยผงกศีรษะ กล่าวว่า “เอาชนะให้ได้”
……
……
การลงชื่อแข่งขันมิยุ่งยาก จิ๋งจิ่วถูกพามายังมุมที่เงียบสงบมุมหนึ่ง คู่แข่งของเขานั่งประจำอยู่ที่โต๊ะแล้ว
นอกจากหมวกลี่เม่าที่เขาสวมอยู่ โต๊ะตัวนี้ก็หาได้มีอะไรที่ดูน่าสนใจอีก แล้วก็มิได้มีใครมาสนใจการแข่งกระดานนี้ด้วย ได้ยินเพียงเสียงวางหมากลงบนกระดานที่ฟังชัดเจน
ผ่านไปไม่นาน การแข่งขันจบลง จิ๋งจิ่วลุกขึ้นยืน พยักหน้าเล็กน้อย
คู่แข่งของเขาเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง มิรู้ว่าเป็นศิษย์ของสำนักไหน ใบหน้าเขาแดงเรื่อ ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกโกรธเกรี้ยวและเจ็บใจ
ทั้งคู่ต่างเป็นผู้บำเพ็ญพรต แค่มองดูก็รู้แพ้ชนะบนกระดาน ไม่จำเป็นต้องนับเลขใดๆ ศิษย์หนุ่มผู้นี้รู้ว่าตัวเองแพ้ไปสามกระดานแล้ว
แพ้ชนะเชือดเฉือนกันเพียงนิดเดียว บางทีถ้าระวังขึ้นอีกหน่อยตอนกลางกระดาน เขาก็จะสามารถเอาชนะได้ สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บใจมากที่สุดก็คือเห็นๆ อยู่ว่าจิ๋งจิ่วเดินหมากมิได้ลื่นไหล คล้ายคนที่เพิ่งหัดเล่น กระทั่งรูปแบบการเดินหมากที่ง่ายที่สุดก็คล้ายจะไม่เข้าใจ ตอนแรกเขานึกว่าตนเองจะเอาชนะได้อย่างง่ายดาย และเป็นเพราะไม่อยากทำลายความมั่นใจของอีกฝ่ายมากเกินไป เขายังจงใจออมมือในการเดินสองสามครั้งด้วย ใครจะคิดบ้างว่าสุดท้ายสถานการณ์จะกลับตาลปัตรถึงเพียงนี้ จากนั้นเขาก็แพ้ไปโดยไม่รู้ตัว!
กระทั่งในการเดินครั้งสุดท้าย เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าตนเองแพ้ได้อย่างไร
ผู้ดูแลของสำนักซีไห่คนหนึ่งเดินเข้ามาจดบันทึก ก่อนจะพาจิ๋งจิ่วไปยังอีกที่หนึ่ง
เหมือนกับก่อนหน้านี้ คู่แข่งของเขาได้นั่งรอเขาอยู่ที่โต๊ะก่อนแล้ว เป็นชายวัยกลางคนที่มีสีหน้าเฉยเมยคนหนึ่ง
ชายวัยกลางคนมองเขา ยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าโชคดีทีเดียว”
จิ๋งจิ่วมองเขา รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“ลำดับการเแข่งได้วางเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เสียดายที่โชคของเจ้าคงต้องหยุดแต่เพียงเท่านี้”
ชายวัยกลางคนชี้ไปยังกระดาษแผ่นหนึ่งที่ติดอยู่ตรงทางเดิน พลางกล่าว “ข้าเป็นคนที่ระมัดระวังเป็นอย่างมาก ไม่มีทางทำผิดซ้ำรอยเจ้าหนุ่มคนเมื่อครู่แน่นอน”
สำหรับผู้บำเพ็ญพรตที่มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรธรรมดา แต่ถนัดในเรื่องงานอดิเรกยามว่างอย่างศิลปะทั้งสี่ การที่สามารถได้รับของวิเศษจากสำนักกระบี่ซีไห่โดยใช้งานอดิเรกยามว่างเหล่านี้ ถือเป็นโอกาสที่ไม่อาจพลาดได้ ชายวัยกลางคนก็เป็นคนแบบนี้เช่นกัน เขาตรวจสอบมาอย่างชัดเจน ชายหนุ่มอัจฉริยะของสำนักจงโจวมิได้ลงชื่อแข่งขัน การแข่งขันหมากล้อมในวันนี้ก็มิได้มีคู่แข่งที่น่ากลัวอะไร เขาจึงมีความมั่นใจว่าจะได้รับของวิเศษ ขณะเดียวกันก็เหมือนอย่างที่เขาว่าไว้ เขาเป็นคนระมัดระวังอย่างมาก การแข่งขันของเขาก่อนหน้านี้จบลงค่อนข้างเร็ว เขาจึงไปตรวจสอบดูการแข่งของจิ๋งจิ่วและชายหนุ่มผู้นั้นอย่างตั้งใจ ก่อนจะมั่นใจว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของจิ๋งจิ่วห่างชั้นจากตนมากนัก ขอเพียงตนเองไม่ทำอะไรผิดพลาด ก็ไม่มีโอกาสที่เขาจะแพ้ได้
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร หากแต่หยิบหมากดำวางลงไปบนกระดาน
สำหรับเขาแล้วนี่คือเรื่องปกติธรรมดา เล่นหมากล้อมมิใช่การพูดคุย แต่สำหรับผู้เล่นที่คลุกคลีอยู่กับหมากล้อมมาหลายปี การกระทำนี้ถือเป็นการเสียมารยาท
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว ดูมิค่อยพอใจ
……
……
ลมทะเลพัดโชย ผ้าม่านสีขาวพลิ้วไหวตามลม ส่งกลิ่นบริสุทธิ์สดชื่น
เสียงวางหมากหยุดไป
จิ๋งจิ่ววางถ้วยชาในมือลง แล้วก็มิได้ส่งเสียงใดๆ อีก
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
ชายวัยกลางคนวางหมากที่อยู่ในมือลงไปบนโต๊ะอย่างแรง ก่อนจะลุกขึ้น สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป
จิ๋งจิ่วชนะแล้ว การเดินหมากครั้งนี้คล้ายคลึงกับสถานการณ์ในการแข่งครั้งแรก
การเดินหมากของเขาคล้ายกับผู้ที่เพิ่งหัดเล่น หรืออาจจะแย่กว่าผู้ที่เพิ่งหัดเล่นเสียด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่ามิได้รู้จักรูปแบบการเดินหมากใดๆ เลย ดูแล้วเป็นการเดินที่ไม่มีเหตุผลเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อการแข่งขันดำเนินไป เขากลับได้ประโยชน์จากรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นทีละเล็กทีละน้อยจนค่อยๆ กลายเป็นความได้เปรียบ และเป็นฝ่ายชนะในท้ายที่สุด แม้นจะชนะสองในสามกระดานก็ตาม
คล้ายกับชายหนุ่มผู้นั้น ชายวัยกลางคนผู้นี้กระทั่งการแข่งขันจบลงแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าตนเองผิดพลาดตรงไหน
ผู้ดูแลของสำนักซีไห่เดินมา หลังจดบันทึกเสร็จเรียบร้อยก็อดมองดูจิ๋งจิ่วมิได้ ชายวัยกลางคนที่เดินสะบัดแขนเสื้อออกไปผู้นั้นเป็นผู้บำเพ็ญพรตไร้อาจารย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่ในโลกของหมากล้อมเขากลับค่อนข้างมีชื่อเสียงทีเดียว สำนักซีไห่ได้จับตาดูเขาไว้แต่แรกแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะพ่ายให้กับชายที่สวมหมวกลี่เม่าผู้นี้
จิ๋งจิ่วขึ้นลุกขึ้นเตรียมเดินออกไป
ผู้ดูแลคนนั้นบอกให้เขานั่งลง จากนั้นเปลี่ยนถ้วยชาให้เขาใหม่
ครั้งนี้เขาเพียงแค่ต้องรอคู่แข่งอยู่ที่โต๊ะ
……………………………………………………………….