ภาคที่ 2 ตอนที่ 18 ชายหนุ่มอัจฉริยะจากสำนักจงโจว

มรรคาสู่สวรรค์

ตอนที่ 18 ชายหนุ่มอัจฉริยะจากสำนักจงโจว

 

ลมทะเลพัดหนุนต่อเนื่อง ชาภายในถ้วยถูกเปลี่ยนใหม่ จิ๋งจิ่วเอาชนะติดต่อกันได้อีกสองครา

เวลานี้ ในที่สุดเขาก็ดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมากเอาไว้

เพราะหมวกลี่เม่าของเขาดูสะดุดตายิ่งนักเมื่ออยู่ในหอ และเป็นเพราะเขาเอาชนะได้ติดต่อกันหลายรอบ

สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกใจมากที่สุดก็คือความรวดเร็วของเขา แม้นงานเลี้ยงซื่อไห่จะมีการกำหนดเวลาเอาไว้ แต่การวางหมากของเขามันช่างรวดเร็วเสียจริง

โดยเฉพาะในการแข่งรอบล่าสุด คู่ต่อสู้ของเขาคือนักเล่นหมากล้อมชื่อดังแห่งเมืองไห่โจว มิใช่ผู้บำเพ็ญพรต และเป็นเพราะเขามีใจมาทางธรรมวิธี จึงได้รับเชิญจากสำนักซีไห่ให้มาเข้าร่วมงานเลี้ยงซื่อไห่ ผู้ใดจะไปคิดว่าสุดท้ายจะพ่ายแพ้…ทั้งยังแพ้อย่างน่าประหลาดด้วย

ผู้ดูแลของสำนักซีไห่ผู้นั้นเข้าใจในหมากล้อม แล้วก็เป็นผู้เดียวที่ได้ดูการแข่งขันทุกรอบของจิ๋งจิ่ว เขายิ่งลอบอุทานว่าแปลกประหลาดอยู่ในใจ

ตอนแรกสุด จิ๋งจิ่วเดินหมากติดขัด กระทั่งผู้เล่นระดับต้นก็ยังมิอาจเทียบได้ แต่เมื่อการแข่งขันดำเนินไป เขากลับแปรเปลี่ยนเป็นชำนาญอย่างรวดเร็ว การเดินหมากบางคราวเรียกได้ว่าวิเศษ คล้ายว่าความสามารถในการเล่นหมากล้อมของเขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วได้ในระยะเวลาเพียงไม่นาน แล้วก็มิรู้ว่าเขาทำได้อย่างไร

“พลังแห่งการคำนวณ”

หลังทุกคนได้เห็นบันทึกการเดินหมากในการแข่งรอบก่อนหน้า ในที่สุดก็มีคนมองเห็นอะไรบางอย่าง เขาสูดปากอย่างตกใจพลางกล่าวว่า “พลังในการคำนวณของคนผู้นี้แข็งแกร่งมาก”

เห็นๆ อยู่ว่าคนผู้นั้นเป็นมือใหม่ การวางหมากตอนเริ่มกระดานเรียกได้ว่าน่าขบขัน แต่ท้ายที่สุดกลับเอาชนะได้เสมอ นี่มันเพราะเหตุใด?

เพราะความสามารถในการคำนวณและอนุมานของเขาแข็งแกร่งยิ่งนัก ขอเพียงในตอนเริ่มแข่งขันมิได้ทำผิดพลาดอย่างร้ายแรง ตอนกลางกระดานก็เริ่มไล่สังหาร เก็บเกี่ยวความได้เปรียบในการต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ กระทั่งสุดท้ายกลบความเสียเปรียบที่มีมาตั้งแต่ตอนต้นกระดานจนหมด และไม่ปล่อยให้คู่ต่อสู้มีโอกาสใดๆ อีก

แต่แม้นจะเป็นผู้บำเพ็ญพรตที่มีความสามารถในทุกๆ ด้านเหนือคนธรรมดา ทว่ากำลังของมนุษย์มีจำกัด ใครจะสามารถคำนวณการเดินหมากที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้หมด?

อาศัยเพียงพลังในการคำนวณก็สามารถเอาชนะหมากล้อมได้ นี่เป็นเรื่องที่มิเคยได้ยินมาก่อน

ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าจิ๋งจิ่วจะสามารถเอาชนะไปได้ตลอด ยิ่งไปกว่านั้นหากวางหมากแบบนี้ ต่อให้สามารถเอาชนะได้สักหลายรอบ แล้วมันจะมีความหมายอันใด?

……

……

พิณ หมากล้อม พู่กันจีน วาดภาพ ไม่ว่างานเลี้ยงซื่อไห่จะกำหนดเวลาเอาไว้เข้มงวดเพียงใด หมากล้อมก็มักจะเป็นการแข่งขันที่ช้าที่สุด

พิณเพียงบรรเลงเพลงหนึ่ง พู่กันจีนเพียงเขียนอักษรไม่กี่ตัว วาดภาพอาจยุ่งยากเล็กน้อย แต่ก็แข่งเพียงรอบเดียว

ทั้งสามรายการนอกจากหมากล้อม ล้วนแต่ทราบผลการแข่งขันอย่างรวดเร็ว

มั่วซีแห่งสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย ฝีมือการดีดพิณยอดเยี่ยมที่สุด

นางเป็นลูกศิษย์ของเจ้าสำนัก การที่มาร่วมงานเลี้ยงซื่อไห่ถือเป็นการให้เกียรติแก่สำนักกระบี่ซีไห่อย่างมาก และการที่บรรเลงบทเพลงอันยอดเยี่ยมด้วยตัวเอง ก็ยิ่งเป็นการให้เกียรติอย่างถึงที่สุด

หากนางยังไม่ได้ที่หนึ่งในการแข่งขันพิณ เช่นนั้นต่างหากจึงจะมีปัญหา

แน่นอน เสียงพิณของนางนั้นไพเราะจริงๆ ทุกคนที่ได้ยินเสียงเพลงของนางล้วนแต่ยืนยันได้

สำนักจงโจวถูกผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมากยกให้เป็นสำนักอันดับหนึ่งในแผ่นดิน ลูกศิษย์ที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงซื่อไห่ในครั้งนี้มีนามว่าเซี่ยงหว่านซู

เซี่ยงหว่านซูเป็นชายหนุ่มอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงอย่างมากคนหนึ่ง ว่ากันว่าพลังของเขาทั้งหมดได้ถงเหยียนผู้เป็นศิษย์พี่เป็นคนถ่ายทอดให้

สำนักจงโจวถือว่าให้เกียรติสำนักซีไห่อย่างมากแล้ว สำนักซีไห่ย่อมต้องรู้ว่าสมควรทำอย่างไร

“นี่เป็นผลงานชิ้นเอกของพู่กันจีนและภาพวาดอย่างแท้จริง”

เหล่าผู้บำเพ็ญพรตยืนอยู่หน้าหอ มองดูภาพวาดดอกไม้และนกที่อยู่ตรงกลางหอและด้านข้างหอ กล่าวอุทานชื่นชมไม่ขาดปาก

เซี่ยงหว่านซูเดินออกมาจากในหอ

ผู้คนพากันแสดงความเลื่อมใสของตัวเองออกมา

เซี่ยงหว่านซูสีหน้าสงบนิ่ง ยิ้มตอบกลับไปเล็กน้อย กิริยางดงามดั่งลมในฤดูใบไม้ผลิ

ตอนนี้เหลือเพียงแค่ทางนั้นที่ยังมิทราบผล

ในหอที่อยู่ห่างออกไปมีเสียงพูดคุยดังออกมาเป็นจำนวนมาก ถึงขนาดได้ยินเสียงถกเถียงกัน

ในการชุมนุมของโลกแห่งบำเพ็ญพรต สถานการณ์ที่คึกคักเช่นนี้ีมีให้เห็นน้อยครั้งนัก

เซี่ยงหว่านซูใคร่รู้ เขาก้าวเดินไปทางนั้นท่ามกลางผู้คนที่รายล้อม

ครั้นเดินมาถึงหน้าหอก็มีคนประกาศแจ้งสถานะของเขา กลุ่มคนแหวกออกเหมือนดั่งสายน้ำ ปล่อยให้เขาเดินขึ้นไปด้านหน้าสุด

กระดานหมากล้อมขนาดใหญ่ถูกแขวนอยู่ในหอ บนกระดานมีหมากวางเรียงรายอยู่มากมาย สถานการณ์ดูค่อนข้างสูสี

เซี่ยงหว่านซูมองดูกระดานหมากล้อมนั้น คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นส่ายศีรษะคล้ายมิค่อยเข้าใจ

“เหตุใดท่านอาจารย์เซียนหว่านซูจึงส่ายศีรษะ?” มีคนถามหยอกล้อขึ้นมา

เซี่ยงหว่านซูยิ้มเล็กน้อย มิได้กล่าวกระไร

ศิษย์สำนักจงโจว เน้นย้ำเรื่องความยุติธรรมและความสงบ แล้วจะให้เขาส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นง่ายๆ ได้อย่างไร

เขากำลังครุ่นคิดในใจ ไห่โจวนั้นเป็นจังหวัดเล็กๆ ที่อยู่ค่อนข้างห่างไกล งานเลี้ยงซื่อไห่แม้นจะยิ่งใหญ่ ทว่ากลับไม่มีบุคคลที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริงมาเข้าร่วมงาน อย่างเช่นก่อนหน้านี้ เขาเพียงแค่วาดภาพนกกับดอกไม้ไปภาพหนึ่ง เขียนอักษรเพียงไม่กี่ตัว ก็ได้รับคำชื่นชมมากมายขนาดนี้ หากให้คนเหล่านี้ได้เห็นภาพวาดและภาพเขียนพู่กันจีนที่ปัญญาชนแห่งเรือนอี้เหมาเขียนในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยเมื่อหลายปีก่อน พวกเขาจะคิดเช่นไร?

อย่างเช่นในเวลานี้ การแข่งขันหมากล้อมได้มาถึงรอบสุดท้ายแล้ว สองคนที่กำลังทำการแข่งกันอยู่ภายในหอน่าจะเป็นคนที่มีฝีมือทางหมากล้อมแข็งแกร่งที่สุดในงานเลี้ยงซื่อไห่ ทว่าการวางหมากกลับแย่ถึงเพียงนี้ เรียกได้ว่าหยาบกระด้าง หากเป็นงานชุมนุมเหมยฮุ่ย เกรงว่าคงจะตกรอบตั้งแต่รอบแรก อย่าว่าแต่ศิษย์พี่หรือตัวเองเลย ต่อให้เป็นศิษย์น้องเล็กก็สามารถเอาชนะได้แน่นอน

ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดเรื่องนี้ ภายในหอพลันมีเสียงดังขึ้นมา การแข่งรอบสุดท้ายได้ตัดสินแพ้ชนะแล้ว

……

……

จิ๋งจิ่งลุกขึ้นเดินไปด้านหลังฉาก เตรียมล้างมือ

ผู้ดูแลของสำนักกระบี่ซีไห่ที่อยู่ในหอ และยังมีคนอื่นๆ มองดูแผ่นหลังของเขา มิรู้ควรจะกล่าวอะไร

ทุกคนรู้สึกแปลกพิกล ไม่ว่าจะดูอย่างไร ระยะเวลาที่คนผู้นี้ได้สัมผัสกับวิถีหมากล้อมก็ล้วนแต่สั้นอย่างมาก แต่สุดท้ายเขากลับเอาชนะได้อย่างไร?

เนื่องเพราะอารมณ์เช่นนี้ บรรยากาศภายในพื้นที่จึงดูแปลกประหลาด ไม่มีใครพูดจา แล้วก็ไม่มีเสียงแสดงความยินดีใดๆ ดูวังเวงพิกลไปชั่วขณะหนึ่ง

ภายในกลุ่มคนที่อยู่ด้านนอกพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

“อาจารย์เซียนหว่านซูคิดว่าฝีมือหมากล้อมของคนผู้นี้เป็นอย่างไร?”

สายตาเซี่ยงหว่านซูขยับเล็กน้อย ก่อนจะหาตัวคนที่พูดเจอ

คนผู้นั้นเป็นชายแก่รูปร่างสูงผอม ไม่รู้เพราะเหตุใด บนใบหน้าจึงเต็มไปด้วยสีหน้าที่เจ็บใจและโมโห

เซี่ยงหว่านซูกล่าวว่า “ฝีมือหมากล้อมของข้าธรรมดา แล้วจะไปมีสิทธิ์วิจารณ์สหายท่านนี้ได้อย่างไร”

ชายแก่รูปร่างผอมสูงคนนั้นก็คือนักเล่นหมากล้อมของเมืองไห่โจวที่พ่ายให้กับจิ๋งจิ่วคนนั้น จนถึงตอนนี้ เขายังคงไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองจะแพ้จริงๆ

ชายแก่ผอมสูงมิใช่คนที่บำเพ็ญเพียร แต่ด้วยเรื่องบางเรื่องจึงทำให้เขาพอจะรู้เรื่องของสำนักจงโจวอยู่บ้าง

บางทีอาจเป็นเพราะคิดไม่ตกจริงๆ จนทำให้โมโห หรือบางทีอาจจะมีความคิดชั่วร้ายอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ จึงทำให้เขาเอ่ยถามเช่นนี้ออกมา

เขาเองก็มิได้ปิดบังเจตนาของตนเอง หากแต่เบียดฝูงคนจนมาถึงหน้าเซี่ยงหว่านซู จากนั้นกล่าวว่า “เหตุใดอาจารย์เซียนต้องถ่อมตน? ได้ยินว่ากระทั่งคุณชายถงเหยียนยังต่อให้ท่านเพียงสามหมากเวลาที่แข่งกับท่าน”

ครั้นได้ยินประโยคนี้ กลุ่มคนพลันมีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา

หากถามว่าอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตในช่วงหลายปีมานี้คือผู้ใด ในสามคนแรกที่คิดถึงจะต้องมีชื่อของถงเหยียนอย่างแน่นอน

กระทั่งจัวหรูซุ่ยที่เป็นศิษย์ก้นกุฏิของเจ้าสำนักชิงซาน ในบางด้านก็ยังมิอาจเทียบเขาได้

พรสวรรค์ในการบำเพ็ญพรตของถงเหยียนเป็นที่หนึ่งในจงโจว จนถึงตอนนี้ยังคงเป็นแบบอย่างของคนจำนวนนับไม่ถ้วน

นอกจากนี้ ถงเหยียนยังมีชื่อเสียงอย่างมากในอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือวิถีหมากล้อมของเขา

หลายปีก่อน เขาเคยคว้าตำแหน่งอันดับหนึ่งได้สามครั้งติดในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย กระทั่งเหล่าปัญญาชนของเรือนอี้เหมาก็ยังรู้สึกเลื่อมใสอย่างมาก

และยังได้ยินว่าหลายปีมานี้ ถงเหยียนพยายามทดลองใช้วิถีหมากล้อมมารับรู้ถึงวิถีแห่งฟ้า

ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ถงเหยียนก็ล้วนแต่เป็นอันดับหนึ่งแห่งวิถีหมากล้อมในใต้หล้าที่ไม่อาจโต้แย้งได้

เขาแข่งกับเซี่ยงหว่านซู กลับต่อให้เพียงสามหมาก?

สายตาที่ทุกคนมองไปทางเซี่ยงหว่านซูมีความกริ่งเกรงเพิ่มขึ้นมา

เขาบอกว่าฝีมือหมากล้อมของตนเองธรรมดา นี่ก็ค่อนข้างจะถ่อมตนไปเสียหน่อย

มีคนกล่าวชมเชยขึ้นมา “หากวันนี้อาจารย์เซียนหว่านซูลงแข่งหมากล้อมด้วย เช่นนั้นคงมิได้ชนะแค่เพียงพู่กันจีนกับวาดภาพ หากแต่ยังชนะหมากล้อมด้วย”

เซี่ยงหว่านซูยิ้มเจื่อนพลางกล่าว “วิถีหมากล้อมของข้ากับศิษย์พี่เทียบกันแล้วคล้ายแสงเทียนในไข่มุก วิถีการเขียนพู่กันจีนและการวาดภาพก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน คำสรรเสริญแบบนี้ ข้ามิกล้ารับไว้จริงๆ”

แต่ชายแก่ผอมสูงคนนั้นกลับมิยอมเลิกรา เขาดึงดันกล่าวว่า “แต่ท่านมีสิทธิ์วิจารณ์การแข่งขันในวันนี้อย่างแน่นอน ท่านลองว่ามาหน่อยแล้วกัน….การแข่งกระดานนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เกิดอะไรขึ้นกับคนผู้นี้กันแน่ เขาวางหมากได้น่าเกลียดขนาดนี้ เหตุใดเขาถึงสามารถเอาชนะได้?”

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบหมากล้อม รูปแบบการเดินหมากถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก นอกจากเรื่องแพ้ชนะแล้วก็ควรต้องเน้นเรื่องความงดงามด้วย

การเดินหมากของจิ๋งจิ่วมิได้มีรูปแบบใดๆ แม้แต่น้อย แล้วก็ย่อมมิได้มีความงดงาม

เซี่ยงหว่านซูเองก็รู้สึกขัดใจกับการเดินหมากของเขา แต่ก็ยังมิยอมเอ่ยปากวิจารณ์อะไรเสียหาย เขากล่าวว่า “พลังในการคำนวณของสหายท่านนี้ค่อนข้างน่าตกใจ เพียงแต่…มิค่อยน่าดูเท่าไร”

“ใช่ไหม? ข้าก็ว่ามันน่าเกลียดอย่างมาก! เหมือนตัดหญ้าแบกมูลอย่างไรอย่างนั้น มีการวางหมากแบบนี้ที่ไหนกัน!”

ชายแก่สูงผอมคนนั้นอารมณ์ปะทุขึ้นมาทันที เขาตะโกนเสียงดังว่า “วางหมากเช่นนี้ ต่อให้สามารถเอาชนะได้ชั่วระยะหนึ่ง แต่จะสามารถเอาชนะไปได้ตลอดอย่างนั้นหรือ?”

เนื่องเพราะได้รับอิทธิพลจากถงเหยียน ศิษย์สำนักจงโจวจึงให้ความเคารพต่อวิถีหมากล้อมอย่างมาก และนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมวันนี้เซี่ยงหว่านซูจึงยินดีลงแข่งพู่กันจีนและวาดภาพ แต่กลับไม่ยอมลงแข่งหมากล้อม

เขามองว่าการจัดงานของงานเลี้ยงซื่อไห่นั้นมิค่อยให้ความเคารพกับหมากล้อมเท่าไร

เซี่ยงหว่านซูรู้สึกคำพูดของชายแก่สูงผอมรุนแรงเกินไป ทว่าเขาก็รู้สึกเห็นด้วยอยู่เหมือนกัน

เขายิ้มพลางกล่าว “หากข้าวางหมากเช่นนี้ เกรงว่าคงต้องถูกศิษย์พี่ตีเป็นแน่”

ภายในหอมีเสียงหัวร่อดังขึ้นมา

จู่ๆ ด้านนอกกลุ่มคนมีเสียงเยือกเย็นเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

“สำนักจงโจวเป็นอย่างที่ร่ำลือมิผิด สุภาพจอมปลอม เห็นแล้วรู้สึกน่ารังเกียจ”

ครั้นได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนพากันตกตะลึง ในใจครุ่นคิดคือผู้ใดกันแน่ จึงได้กล้ามาพูดจาเช่นนี้ต่อหน้าศิษย์อัจฉริยะของสำนักจงโจว?

หากมองไปทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียน เรือนอี้เหมาเรียบง่าย วัดกั่วเฉิงมิแก่งแย่ง วันนี้สำนักกระบี่ซีไห่เป็นเจ้าภาพจัดงาน ไม่มีทางก่อเรื่องเป็นแน่ หรือจะเป็นคนจากสำนักเฟิงเตา หรือเป็นแขกจากสำนักชิงซาน?

ทุกคนหมุนตัวมองออกไป คนจะเห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ริมผา หมวกลี่เม่าปิดบังใบหน้า สวมอาภรณ์สีเขียว ดูรูปร่างแล้วน่าจะเป็นสตรีนางหนึ่ง

…………………………………………………….