ตอนที่ 203 ต้องพูดโกหกแน่ ๆ

อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด

ตอนที่ 203 ต้องพูดโกหกแน่ ๆ

จะต้องพูดโกหกแน่ ๆ!

ในที่สุดปลายสายก็กดรับ ความอดทนของเธอเริ่มใกล้ที่จะหมดลง แต่ยังไม่ทันที่ถังซั่วจะได้พูดอะไร เธอก็รีบเอ่ยถามทันที “พี่ นี่มันอะไรกัน วันนี้พี่ไม่ได้ไปที่โรงเรียนเหรอ? มันไม่ใช่วันหยุดเสาร์อาทิตย์ด้วยซ้ำ!”

ถังซั่วเพิ่งจะประชุมเสร็จและออกมาจากห้อง ก่อนจะเดินเข้าไปห้องทำงาน พลันได้ยินสิ่งที่เธอเอ่ย รอยยิ้มที่อ่อนโยนอยู่บนใบหน้าของเขาก็ได้คลายออก “เธอไปทำอะไรที่โรงเรียนอนุบาล? อย่าบอกนะว่าจู่ ๆ เธอก็ชอบเด็กขึ้นมา”

“พี่ ไม่ใช่ว่าพี่ตั้งใจอยู่แล้วหรอกเหรอ วันนี้จู่ ๆ ก็มีนักข่าวมาที่โรงเรียนเต็มไปหมด วันนี้ตั้งใจทำเรื่องอะไรให้ชัดเจนกันแน่!“ แม้ว่าเธอจะรู้ว่ามันอาจจะมีความเป็นไปได้ แต่ภายในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก

นั่นก็คือพี่ชายของเธอ ตั้งแต่ตอนไหนกันที่เขาช่วยเหลือคนนอกแบบนี้?

“เธอไม่คิดว่าฉันจะมีเวลาว่างมานั่งสนใจดูแลโรงเรียนอนุบาลเล็ก ๆ แบบนี้หรอกใช่ไหม?” ถังซั่วเอ่ยอย่างหนักใจก่อนจะมองไปที่เลขาของตน คิ้วของเขาก็ค่อย ๆ ขมวดขึ้นเล็กน้อย

เลขาได้รีบนำ iPad ที่อยู่ในมือยื่นมาให้เขา ในนั้นมีข่าวของจิ่งเป่ยเฉินและอันโหรวอยู่ อีกทั้งจิ่งเป่ยเฉินก็ดูไม่ได้สนใจอะไรมากนัก นั่นทำให้ข่าวนี้กลายเป็นโหมกระหน่ำและดูรุนแรงขึ้นกว่าเดิม

ถังซั่วหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยคำพูดออกไป “เรื่องของจิ่งเป่ยเฉิน ฉันบอกเธอตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งว่าเธออย่าสนใจให้มาก ถ้าหากเขารู้เรื่องที่เธอพยายามสืบอยู่ละก็ เธอจะทำยังไง?”

ถังซือเถียนได้ยินก็เบ้ปากอย่างไม่ได้สนใจอะไร “ฉันไม่กลัวหรอกนะ! มีพี่อยู่ทั้งคน แต่ว่าพี่รู้ได้ไงว่าฉันเป็นคนทำ?”

“เธอไปที่ห้องเอกสารเพื่อตรววจสอบข้อมูล คิดเหรอว่าจะปิดบังฉันได้? ถ้าหากเรื่องพวกนี้ก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเกิดมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้น แล้วเขาโกรธขึ้นมา ฉันเองก็ปกป้องเธอไม่ได้หรอกนะ!” เขาตอบอย่างตรง ๆ ว่าแม้แต่ตัวเองก็ปกป้องไม่ได้แล้ว

พวกเขาพบเจอกันแล้ว บางทีหยางหยางและหน่วนหน่วนเองก็อาจจะบอกสิ่งที่พวกเขารู้ให้เขารับทราบแล้วก็ได้

แต่จิ่งเป่ยเฉินเองก็ไม่ได้มีข่าวอะไรออกมาเลย ดูเหมือนเขาจะสงบนิ่ง ราวกับว่ากำลังจะมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น

เกี่ยวกับอันโหรวแบบนี้ มันไม่น่าจะสงบนิ่งแบบนี้ได้สิ

“พี่ ฉันไม่สน แค่ผู้หญิงขี้เหร่คนนั้นช่างมันเถอะ แต่นี่มีลูกตั้งสองคนเชียวนะ พี่ทนดูพี่ชายที่แสนดีของตัวเองกลายเป็นพ่อเลี้ยงของคนอื่นได้ไง!” ในสายตาของเธอแล้วจิ่งเป่ยเฉินไม่สามารถเป็นพ่อของลูกคนอื่นได้ ยิ่งเป็นพ่อเลี้ยงอีก ไม่มีทางแน่ ๆ

เพียงแค่ข่าวเมื่อคืนถูกปล่อยออกมาก็ทำให้สาวงามทั่วทั้งเมือง A ต่างหัวใจสลาย แม้แต่หัวใจของเธอเองก็ตาม

ก่อนหน้านั้นเธอยังไม่เชื่อ จนถึงตอนนี้เธอก็ไม่มีทางที่จะเชื่อ เธอคิดว่าภาพพวกนั้นล้วนเป็นของปลอมทั้งสิ้น

“ในฐานะที่เป็นคนดื่มน้ำอุ่นจนเย็นมาก่อน เธอก็น่าจะรู้ตัวเองดีไม่ใช่เหรอ เธอเป็นถึงลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลถัง จะหาแฟนแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่จิ่งเป่ยเฉินนั้นไม่ได้!” ถังซั่วนั่งลงบนเก้าอี้หนัง ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าอีกครั้ง

น้องสาวคนนี้กลายเป็นคนนิสัยเสียตั้งแต่เด็ก ถ้าหากไม่ใช่เพราะจิ่งเป่ยเฉิน ก่อนหน้านั้นเขาเองก็ไม่เคยดุหรือต่อว่าเธอรุนแรงมาก่อนเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ร้านอาหารในตอนนั้นที่เขาปล่อยเธอทิ้งไว้คนเดียวอีกต่างหาก

“พี่ก็บอกไม่ได้ตลอดนั่นแหละ!!” ถังซือเถียนพูดจบก็วางสายไป เนื่องจากตอนนี้เธอเห็นรถอีกคันเข้ามาจอดขวางประตูโรงเรียนอนุบาลเอาไว้

ถังซั่วที่ได้ยินเสียงวางสายก็วางมือกระแทกลงบนโต๊ะอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเอื้อมมือไปหาเลขาที่อยู่ตรงหน้า

เลขาส่งข้อมูลที่อยู่ในมือให้กับเขาและยืนรอด้วยความเคารพ เพียงแต่ว่าตอนนี้ถังซั่วแทบจะไม่มีอารมณ์ทำงานเลยแม้แต่น้อย

อีกด้าน ถังซือเถียนมองดูรถที่เข้ามาจอด พลันก็พบว่าคนผู้นั้นคือเหลียวเว่ย เธอแอบแปลกใจเล็กน้อย เหลียวเว่ยไม่มีลูกไม่ใช่เหรอ แล้วมาทำอะไรที่นี่กันนะ?

เหลียวเว่ยมองไปด้านในก็ไม่เห็นมีใครสักคน และขณะที่กำลังจะขึ้นรถก็เหลือบไปเห็นถังซือเถียนที่เพิ่งจะลงมาจากรถและกำลังมองดูคนที่เดินอยู่ตรงทางม้าลายที่กำลังรอสัญญาณไฟจราจร เธอจึงเดินเข้าไปหาเสียหน่อย

ถังซือเถียนยืนอยู่ตรงช่วงที่นั่งคนขับ เมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้ขึ้นจึงพูดว่า “คุณนายโอวหยาง คุณยังไม่ได้ท้องไม่ใช่เหรอ เริ่มมองหาโรงเรียนอนุบาลให้ลูกแล้วเหรอคะ? ไม่ใช่ว่าจะเร็วไปหรอกใช่ไหม!”

ฝีเท้าของเหลียวเว่ยถึงกับชะงักเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้ช่างเป็นคนที่โผงผางเสียจริง ๆ เธอไม่ได้ท้องแล้วมันยังไง เธอมาเกี่ยวข้องอะไรด้วย?

“คุณมาทำอะไรที่นี่?” เหลียวเว่ยเดินมาหาเธอและเอ่ยถาม เท่าที่เธอทราบมา ถังซือเถียนเป็นคุณหนูผู้ที่ไม่สนใจในด้านธุรกิจใด ๆ เลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งธุรกิจของเครือสกุลถังที่มีมากมายก็ไม่เคยมองหา แต่นี่กลับมาโรงเรียนอนุบาล เธอนึกสนใจขึ้นมาอย่างนั้นเหรอ

“เรื่องของฉันนี่คะ คุณคงไม่ถือสาหรอกมั้ง?” ถังซือเถียนหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยื่นมือไปเปิดประตูรถ “ฉันมีเรื่องต้องทำ เชิญคุณนายโอวหยางตามสบายนะคะ”

“เดี๋ยวก่อน” ทันใดนั้นเหลียวเว่ยก็ได้พูดขึ้น พลางมองเธอด้วยสีหน้าที่จริงจัง “เธอไม่อยากรู้ข่าวที่เกี่ยวข้องกับอันอีหานหรอกเหรอ?”

เธอจำได้ว่าถังซือเถียนดูเหมือนจะสนใจจิ่งเป่ยเฉินอยู่ เพราะฉะนั้นการที่เธอมาปรากฏตัวที่นี่ต้องเกี่ยวข้องกับพวกเขาแน่ ๆ

ถังซือเถียนเป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยมีหัวคิดเท่าไร แน่นอนว่าอาจจะใช้ประโยชน์อะไรก็ได้

ถังซือเถียนที่ได้ยินดังนั้นก็รีบคลายมือที่จับประตูรถทันที ก่อนจะถามไปอย่างสนใจว่า “เธอรู้อะไรมา?”

เหลียวเว่ยมองไปรอบ ๆ ตัว ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไปคุยในรถเถอะ”

เมื่อเธอได้ยินดังนั้นก็รีบเปิดประตูรถทันที เหลียวเว่ยเองก็รีบเดินอ้อมไปอีกฝั่งอย่างรวดเร็ว พร้อมเข้ามานั่งตรงตำแหน่งข้างคนขับรถ

เมื่อเหลียวเว่ยขึ้นรถมาแล้ว ถังซือเถียนก็ไม่รอช้ารีบซักถามเธอทันที “เธอมีข่าวอะไรกันแน่? อะไรที่ประโยชน์ก็พูดมาซะ!”

“หรือว่าเธอไม่รู้สึกว่าอันอีหานกับเธอเหมือนกัน?” เธอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ดูจากท่าทางของถังซือเถียนแล้วคงไม่ได้คิดไปในทางนั้นแน่ ๆ

“ยัยนั่นเป็นแค่ผู้หญิงที่ขี้เหร่และแก่จะมาเหมือนคนที่ฉันรู้จักได้ยังไง” ถังซือเถียนพูดอย่างไม่พอใจ สีหน้าไม่พอใจปรากฏขึ้นมาให้เหลียวเว่ยเห็นอย่างชัดเจน เพราะเธอรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้พูดชัดเจนก็พูดได้ แต่กลับมาทำตัวลึกลับเสียอย่างนั้น

เหลียวเว่ยเมินเฉยต่อความไม่พอใจของเธอ ก่อนจะส่ายหน้าและเผยรอยยิ้มบาง ๆ “ฉันคิดว่าผู้หญิงคนนั้นเหมือนอันโหรวมาก โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น”

เธอที่มักสวมแว่นตากรอบทองแบบเก่า ๆ แต่ดวงตาที่สาดส่องทะลุเลนส์โปร่งใสออกมากลับดูคล้ายกับอันโหรวมาก ถ้าไม่ใช่เธอ โอวหยางลี่คงไม่คิดจะมองตาเธอแบบนั้นหรอก นี่เขามองราวกับสูญเสียจิตวิญญาณไปเลยด้วยซ้ำ

“อันโหรว?” ถังซือเถียนเอ่ยเสียงดัง ก่อนจะคิดถึงชื่อที่หายไปนานสักพักหนึ่งแล้ว และพูดต่อ “เป็นไปไม่ได้หรอก พวกเขาทั้งสองคนดูยังไงก็ไม่เหมือนกัน จะมาเป็นคนคนเดียวได้ยังไง เธอหลอกฉันแบบนี้สนุกมากเหรอ?”

“เธอก็รู้ว่าฉันไม่กล้ามาหลอกเธอหรอก ไม่จำเป็นขนาดนั้นด้วย แล้วทำไมเธอไม่เชื่อหน่อยล่ะ?” ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มีหลักฐานอะไรก็ตาม แต่สัญชาตญาณผู้หญิงของเธอนั้นแม่นยำมาก

เธอเชื่อว่าสัญชาตญาณของเธอไม่ผิดพลาดแน่ ๆ

ถังซือเถียนรู้สึกตัวเองท้องปั่นป่วนขึ้นมาทันที ถ้าหากอันอีหานคนนั้นเป็นอันโหรวจริง แล้วลูกของเธอเป็นลูกของใคร?

ลูกของโอวหยางลี่อย่างนั้นเหรอ?

ถ้าเป็นแบบนั้น พี่เฉินก็คงไม่อยู่กับเธอแน่ ๆ เขาไม่คิดจะเลี้ยงลูกของโอวหยางลี่หรอก!

ถังซือเถียนมองเธอด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ “เธอมีหลักฐานอะไรบ้างไหม? ถ้าหากไม่มีหลักฐานก็อย่ามาพูดพล่อย ๆ แบบนี้ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าแฟนคนก่อนหน้าของโอวหยางลี่ก็คืออันโหรว ไม่ใช่เธอด้วยซ้ำ ถ้าหากเธอเป็นอันโหรวจริง ๆ ยัยนั่นก็คงเกลียดเธอแทบตายด้วยซ้ำไป และก็คงไม่มีทางแยแสอะไรแบบนี้ด้วย”

เธอจำได้ว่าอันอีหานดูเหมือนจะไม่ได้ทำอะไรเธอด้วยซ้ำ มองยังไงอันอีหานกับอันโหรวก็ไม่น่าจะเป็นคนเดียวกันได้

เหลียวเว่ยเค้นเสียงเย็นชาในลำคอ พลางแอบด่าว่าเธอนั้นมันโง่อยู่ในใจ เห็นได้ชัดว่าอันโหรวนั้นมีจุดประสงค์อื่นอยู่ต่างหาก

“เธอไม่เชื่อก็ไปทดสอบด้วยตัวเองดูสิ ถ้าหากเธอคนนั้นเป็นอันโหรวจริง ๆ เธอจะกลับมาที่บริษัทจิ่งทำไม?” เธอไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่ในเมื่อพูดมาถึงระดับนี้แล้วก็เอ่ยเสริมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ให้ เพราะผู้หญิงตรงหน้าน่าจะเข้าใจในสิ่งที่เธอสื่อจริง ๆ

ถังซือเถียนจู่ ๆ ก็จับพวงมาลัยแน่นขึ้น หรือว่าผู้หญิงคนนั้นจะอยู่กับพี่เฉินจริง ๆ