“ท่านเอ๋าเลี่ย หลิวหลีใช้ยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 7 เป็นของหมั้นงั้นหรือ” ในใจเสวียนหั่วเหมือนมีคลื่นซัดกระหน่ำ นักปรุงยาระดับ 7 หรือ นังหนูเจ้าพัฒนาเร็วเกินไปหรือเปล่า
“ใช่สิ” เอ๋าเลี่ยพยักหน้า เขาเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์ตอนที่หลิวหลีกำลังปรุงยาอย่างบ้าคลั่งด้วยตนเอง
“นั่นก็หมายความว่าตอนนี้นังหนูเป็นนักปรุงยาระดับ 7 แล้ว” เสวียนหั่วเริ่มพูดจาตะกุกตะกัก
“ใช่สิ นังหนูยังอุตส่าห์ไปสมาคมยาศักดิ์สิทธิ์ของโลกอสูรเทพเพื่อสอบวัดระดับนักปรุงยาเชียวนะ เป็นเรื่องราวใหญ่โตเลย เทียบเยี่ยมเยียนกองพะเนินอยู่ในบ้านสกุลหลงเลยล่ะ” เอ๋าเลี่ยนึกไปถึงสีหน้าท่าทางของสองพ่อลูกสกุลหลง ตอนนั้นพอหลิวหลีกลับมาก็เอาแต่เข้าฌาน และโยนเรื่องอื่นให้สองพ่อลูกจัดการ
“ทำไมนังหนูถึงอยากไปสอบวัดระดับ” เรื่องนี้เสวียนหั่วค่อนข้างจะสงสัย เขาจำได้ว่าถ้าตอนนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ป้ายสถานะของนักปรุงยาระดับ 3 แล้วละก็นังหนูก็คร้านไปสอบจะตาย แล้วทำไมคราวนี้นางถึงคิดจะไปสอบล่ะ ดูไม่ใช่นิสัยนางเลย
“เพราะหลิวหลีรู้สึกว่าถ้าใช้สถานะนักปรุงยาระดับ 6 ไปสู่ขอจะดูต้อยต่ำไปหน่อย ระดับ 7 จึงจะพอถูไถได้ แน่นอนว่านี่คืออย่างเดียวที่จะแสดงสถานะของนางได้ แล้วก็สามารถสร้างเงินได้ด้วย” เอ๋าเลี่ยมองหนานกงเวิ่นเทียนอย่างมีเจตนาร้าย แล้วก็พูดทีละคำ ถึงแม้หลิวหลีจะดูสงบนิ่งแต่หูกลับแดงแปร๊ด แก้วชาที่ว่างเปล่าถูกยกดื่มไม่หยุด แน่นอนว่าหนานกงเวิ่นเทียนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้น นั่นยิ่งทำให้มองหลิวหลีด้วยสายตาที่อ่อนโยน นังหนูคนนี้มอบแต่สิ่งที่ดีที่สุดของตัวเองให้กับเขาเสมอ เขาเองก็ควรจะต้องทำอะไรบ้างแล้ว ตนเองก็มีเพลิงบุปผาเหมันต์ หรือว่าจะไปเรียนการทำอาวุธดี หนานกงเวิ่นเทียนคิดได้เช่นนี้
เสวียนหั่วไม่มีอะไรจะพูด พลังแห่งความรักมันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือ นังหนูถึงคิดได้ขนาดนี้ ช้าก่อน ทำไมศิษย์น้องเจ้าสำนักถึงไม่บอกเขาเลยล่ะ
“อาจารย์ ข้าอยากจะไปที่สำนักโอสถดู หลายปีมานี้ไม่รู้ว่าโจวอีกับโจวมั่วเป็นอย่างไรบ้าง” หลิวหลีคิดว่าออกไปสูดอากาศหน่อยน่าจะดีกว่า จะได้แนะนำสหายให้เสี่ยวเทียนรู้จักด้วย
“ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่ไปจะดีกว่า ถึงแม้เจ้าจะไม่รู้สึกอะไร แต่ศิษย์เอ๋ยเจ้าส่งผลกระทบต่อคนอื่นมากเกินไป นอกจากจะเป็นการกดดันสองพี่น้องนั้นแล้ว ยังเป็นการกดดันศิษย์พี่เทียนเย่าของเจ้าด้วย เจ้าให้พวกเขาสบายใจสักหน่อยเถอะ” เสวียนหั่วตัดสินใจไม่อยากให้หลิวหลีออกไปกดดันใครอีกเลย ว่าแต่ ปัญหามันจะจบจริงหรือ
จื่ออีมองอาจารย์ที่เข้าฌานบำเพ็ญ และศิษย์น้องสองคนที่บอกว่าจำเป็นต้องพิจารณาชีวิต เขาก็จำเป็นเหมือนกันนั่นแหละ ใครจะไปคิดว่าเจ้าหนูข้าวปั้นตัวกลม ในตอนนั้นจะสร้างแรงกดดันได้มากถึงขนาดนี้ อาจารย์อายุหลายร้อยปีจึงจะสามารถเป็นนักปรุงยาระดับ 7 ได้ และบัดนี้ก็ยังคงเป็นนักปรุงยาระดับ 7 อยู่ ยาคุณภาพชั้นเลิศก็ทำออกมาได้เป็นครั้งคราว แต่อาจารย์อาทำเหมือนเป็นเรื่องง่ายราวกับกินนอน พวกเจ้าต่างก็ต้องไปนั่งสำนึกตนเอง เขาเองก็ต้องการเช่นนั้นเหมือนกัน
ในขณะเดียวกัน คนที่จำเป็นต้องเข้าฌานไปนั่งสำนึกตนเองก็ยังมีผู้คุมหอต่างๆและเสวียนอวี่ ท่านเจ้าสำนักที่ยิ้มอย่างขมขื่น
ศิษย์พี่รับลูกศิษย์มาไม่มีใครเทียบได้เลย อายุน้อยก็เป็นผู้บำเพ็ญช่วงแยกจิตแล้วยังเป็นนักปรุงยาระดับ 7 ด้วย เขายังคิดว่าจะให้ศิษย์หลานลองไปประลองฝีมือดู แบบนี้ไม่เป็นการกดดันเขาหรอกหรือ ตอนนี้เขาคิดว่าไม่ต้องให้ศิษย์หลานไปแล้ว เมื่อครู่ศิษย์พี่ส่งสารมาให้เขาบอกว่าหลิวหลีกลับมาแล้ว ตอนนี้เขาได้ยินชื่อนี้ก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ ทำไมต้องมีปีศาจแบบนี้มาเกิดเพื่อกดดันคนอื่นด้วย แต่เมื่อนึกถึงการประลองระหว่างสำนักก็พอสงบลงได้มาก ไม่รู้ว่าตาแก่พวกนั้นถ้าได้ยินว่าหลิวหลีเป็นนักปรุงยาระดับ 7 แล้วจะเปลี่ยนกติกาการแข่งขันหรือไม่ ปีนี้ไม่ใช่สำนักเมฆาคล้อยเป็นผู้จัดด้วยหรอกหรือ
“ถ้าอย่างนั้น อาจารย์ ข้าไปทำของอร่อยๆดีกว่า” หลิวหลีเอ่ยขึ้น นางไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว ในฐานะที่เป็นตัวการของเรื่องจึงรู้สึกอึดอัดเบาๆ
“ไปเถอะ” เมื่อเห็นว่าหลิวหลีร้อนใจขึ้นมาแล้ว พอเถอะ ขืนพูดต่อนังหนูได้มาเผาบ้านเขาแน่ นังหนูตอนนี้อยู่ในช่วงแยกจิต แสดงว่าได้หลอมรวมกับเพลิงอัคคีชนิดที่ 5 แล้ว เขายังไม่ค่อยรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเพลิงอัคคี 2 ชนิดหลังที่นังหนูไปพิชิตมาสักเท่าไร
“ช้าก่อน นังหนู บัดนี้เจ้าอยู่ในช่วงแยกจิต เจ้าไปเจอเพลิงอัคคีที่ไหน” เสวียนหั่วถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“ก็เพลิงอัคคีชนิดที่ 4 เพลิงสุวรรณพราง ตกลงมาจากบนฟ้า” หลิวหลีมองออกไปไกล จะว่าไปเพลิงอัคคีอันนี้ตกลงมาได้อย่างไรกันนะ คงไม่มีใครมาทวงคืนจากนางใช่ไหม
“ตกลงมาจากบนฟ้าหรือ” เสวียนหั่วกล่าวทวน มีเรื่องที่โชคดีขนาดนี้อยู่ด้วยหรือ ทำไมเขาถึงไม่เจอบ้าง
“ใช่แล้ว ตอนที่ข้ากำลังอยู่ในการประลอง แล้วมันก็ตกลงมาจากฟ้า ข้าก็เลยดูดซับมันแล้วบรรลุช่วงปราณก่อนกำเนิดอย่างน่าประหลาด” หลิวหลีคิด ๆก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน ส่วนเรื่องที่มิติของนางเกือบจะโดนเผายังพอมองข้ามไปได้
“แล้วตอนเข้าสู่ช่วงแยกจิตล่ะ” เสวียนหั่วถามขึ้น คงไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าอีกใช่ไหม
“ชนะเดิมพันกับบรรพบุรุษ” หลิวหลีเหม่อมองไกล ชีวิตตอนอยู่ในแดนลี้ลับช่างลำบากเสียจริง
“เดิมพันกับบรรพบุรุษอย่างนั้นหรือ” จุดปราณก่อกำเนิดในใจของเสวียนหั่วน้ำตาคลอเบ้า ทำไมเขาถึงไม่มีบรรพบุรุษที่ดีขนาดนี้บ้างนะ
“เจ้าค่ะ ท่านบรรพบุรุษบอกว่าหากข้าสามารถดึงผมเขาออกมาได้หนึ่งเส้น เขาก็จะให้เพลิงอัคคีกับข้าหนึ่งชนิด”
“คือเพลิงอัคคีอะไร” เสวียนหั่วลองคำนวณดู ตอนนี้ลูกศิษย์มีธาตุเหมันต์ ธาตุอัสนี ธาตุไม้ ธาตุทอง ธาตุไฟที่เหลืออยู่สามารถตัดออกไปได้ และนั่นก็จะเป็นอัคคีที่ได้ในตอนสุดท้าย
“เพลิงหทัยสมุทร” หลิวหลียื่นมือขวาออกมา เพลิงหทัยสมุทรก็ปรากฏขึ้น
“ตอนนี้มีเพลิงอัคคี 5 ชนิดแล้ว แล้วที่เหลือล่ะ”
“คงต้องดูโชคชะตาแล้วล่ะ ข้ารู้สึกว่าข้าสามารถฝึกเคล็ดวิชานี้จนถึงบรรลุเซียนได้” หลิวหลีมีความรู้สึกว่านางจะต้องสามารถเก็บเพลิงอัคคีจนครบแล้วบรรลุเป็นเซียนได้แน่
“นังหนู ข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นคนที่มีวาสนาดีมาก” ไม่คยได้ยินมาก่อนว่าจะสามารถทำพันธสัญญากับสัตว์อสูร 2 ตัวได้ นังหนูก็ทำได้ ไม่เคยได้ยินว่ามีนักปรุงยาระดับ 7 ที่อายุไม่ถึง 30 นังหนูก็ทำได้ คัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณที่ทุกคนก็รู้ว่าไม่สามารถฝึกฝนได้ง่ายๆ นังหนูก็ฝึกไปแล้วเกินครึ่ง หลังจากงานประลองระหว่างสำนัก ก็จะเป็นการจัดอันดับผู้ถูกเลือก ไม่รู้ว่านังหนูจะอยู่ในอันดับไหน เสวียนหั่วคิดพลางเอามือลูบหนวด
“เรื่องนี้คงจะเป็นเพราะข้าค่อนข้างโชคดีหน่อยละมั้ง” หลิวหลีทอดสายตามองไกล
“ลูกศิษย์ ถ้าเจ้ายังถ่อมตัวอยู่อย่างนี้ คงจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากจะเข้ามาซัดเจ้า” มือของเขาก็เริ่มคันขึ้นมาแล้ว
“ฮ่าๆ อาจารย์ ข้าไม่ได้เจอท่านมานาน ข้าจะไปจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้ท่าน” หลิวหลีพูดจบก็ไม่เปิดโอกาสให้เสวียนหั่วพูดอะไรต่อ แล้วรีบดึงหนานกงเวิ่นเทียนวิ่งออกไป
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์ไม่ได้ไม่มีความรู้ถึงขั้นไม่รู้ว่างานเลี้ยงต้อนรับคือต้องจัดให้กับคนที่กลับมาจากแดนไกลอย่างเจ้า
“เสวียนหั่ว นังหนูไปแล้ว” เอ๋าเลี่ยพูดหยอกล้อ
“ข้ารู้สึกภูมิใจมาก ที่อย่างน้อยนังหนูก็รู้ว่าความเขินอายคืออะไร” เสวียนหั่วพูดพลางทอดถอนใจ เขาคิดว่าเขาเลี้ยงเด็กผู้ชายมาโดยตลอด
“เดี๋ยวพอผ่านไปอีกสักพัก เดาว่าเจ้าคงสู้ศิษย์เจ้าไม่ได้หรอก ตอนนี้เจ้าจะลองดูไหม” เอ๋าเลี่ยเสนอแผนร้าย
“พอเถอะ ท่านเอ๋าเลี่ย หากว่าเจ้าไม่ยื่นมือมาช่วย ตอนนี้ให้ข้าจัดการนางมันก็ยังพอได้อยู่” ความมั่นใจในเรื่องนี้เสวียนหั่วยังพอมีอยู่บ้าง
“ฮ่าๆ เสวียนหั่ว เจ้าคงจะไม่รู้ว่าพละกำลังของลูกศิษย์เจ้า คนรุ่นเยาว์ทั้งสำนักเมฆาคล้อยก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง ข้าไม่ต้องออกแรงด้วยซ้ำ” เอ๋าเลี่ยเห็นว่าเสวียนหั่วไม่เชื่อจึงพูดออกมา จนทำให้เสวียนหั่วต้องนึกประหลาดใจอย่างมาก
“เอ่อ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง” มันออกจะเกินไปหรือเปล่า
“ฮ่าๆ เสวียนหั่ว ข้าว่าแล้วว่าเจ้าต้องไม่เชื่อ ข้าขอบอกเจ้าเลยละกัน ตอนที่หลิวหลีทำการประลองเพื่อเข้าแดนลี้ลับ นางไม่ได้วางแผนจะเรียกข้าออกมาเลยด้วยซ้ำ แต่ดันมีคนไม่รู้ความมาจี้จุดของนาง ทำให้นางได้รู้เรื่องชาติกำเนิดของตัวเอง” พลันนึกถึงความรังเกียจของหลิวหลีที่มีต่อสกุลจ้าน
“ชาติกำเนิดของนังหนู ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ ข้ารู้แค่ว่าแม่ของนังหนูเป็นสกุลหลง แล้วพ่อนางก็เป็นคนจากสกุลอสูรเทพเหมือนกันหรือ” เสวียนหั่วพูดข้อสันนิษฐานขึ้นมา
“ท่านน้าเอ๋าเลี่ย ข้าจะพาท่านอาอิงเสวี่ยไปทำความคุ้นเคยกับบริเวณรอบๆเสียหน่อยแล้วกัน” จื่อฉีพูดขึ้น ไหนบอกว่าผู้หญิงที่เป็นคนช่างพูดไม่ใช่หรือ แล้วทำไมอาอิงเสวี่ยที่อยู่ข้างๆถึงได้เงียบขนาดนี้ ท่านพี่เป็นคนที่พอพูดก็จบตรงนั้นไม่ได้เป็นคนปากสว่างขนาดนั้นหรอก
ดูเงาจื่อฉีที่ลากเฟิ่งอิงเสวี่ยเดินออกไปไกลแล้ว เอ๋าเลี่ยก็คิดขึ้นมาได้ว่าคำว่าน้ากับอานี่เข้ากันใช้ได้เลย
“ทำไมเจ้าเด็กนั้นออกไปแล้วล่ะ” วัยรุ่นสมัยนี้อยู่เป็นเพื่อนฟังคนแก่บ่นหน่อยมันยากนักหรือ
“สาเหตุเพราะเด็กคนนี้ หลิวหลีเองก็ไม่ได้คิดที่จะทำพันธสัญญากับกิเลนแต่แรก ใครใช้ให้พวกกิเลนของสกุลจ้านหน้าไม่อาย จากนั้นเมื่อนังหนูทำพันธสัญญากับจื่อฉีได้โดยไร้สาเหตุ ทำให้แน่ใจได้ว่าอีกครึ่งหนึ่งของนางเป็นคนสกุลจ้าน เพียงแต่นางรู้สึกไม่ดีกับสกุลจ้านอย่างยิ่ง” แค่รู้สึกไม่ดีที่ไหน ถึงขนาดถ้าไม่เจอหน้าได้ก็จะไม่เจอ ก็แม้แต่เลือดบริสุทธิ์ของกิเลนก็ยังไหว้วานให้หลงเหวินเซวียนเป็นคนเอาไปให้ สรุปคือผู้นำสกุลหลงคนใจแคบก็โมโหเหมือนกันจึงมอบภารกิจนี้ให้กับลูกชายของเขา ได้ยินมาว่าหลังจากที่ผู้นำสกุลจ้านรู้ว่าหลิวหลีเป็นคนเอาไปมอบให้สกุลอื่นเองกับมือ แต่ไม่ทำเช่นนั้นกับสกุลจ้าน ก็โกรธจนผมขาวทีเดียว ป้ายแสดงสถานะที่เตรียมไว้ให้นางก็เอาออก
“นังหนูเป็นคนแยกแยะผิดชอบชั่วดี ไม่แน่ว่ารอจนแม่ของนางฟื้นขึ้นมาแล้ว นางอาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้” เสวียนหั่วกล่าว เขาค่อนข้างจะเดานิสัยของนางหนูออก พอพูดถึงแม่ของนาง
“นังหนูหาหญ้าคืนวิญญาณพบไหม” ที่หลิวหลีตัดสินใจกลับไปนับญาติกับสกุลหลงก็เพราะเห็นว่าในแดนลี้ลับมียาคืนวิญญาณอยู่
“นังหนูไม่ได้พูดอะไร แต่ดูจากสีหน้าท่าทางน่าจะหาเจอแล้ว” ถึงแม้หลิวหลีจะไม่ได้พูดถึง แต่ดูจากสีหน้าท่าทางก็พอจะดูออกว่านางหาเจอแล้ว
“ก็บอกแล้วว่านังหนูคนนี้โชคดีไม่มีใครเกิน ขนาดพืชศักดิ์สิทธิ์ที่ใกล้สูญพันธุ์ยังหาเจอ” เสวียนหั่วรู้สึกปลงกับความโชคดีของหลิวหลีอีกครั้ง
“พูดอย่างนี้ก็เหมือนจะใช่” เอ๋าเลี่ยครุนคิด นังหนูโชคดีไม่มีใครเกินจริงๆ
จนกระทั่งมีกลิ่นหอมโชยมา ในที่สุดการสนทนาของชายแก่วัยพันปีทั้งสองก็สิ้นสุดลง อยู่ๆหลิวหลีก็ตัดสินใจว่า ต่อไปให้เอ๋าเลี่ยอยู่ที่หอปรุงยาเป็นเพื่อนอาจารย์ก็แล้วกัน ต้องเป็นเพราะว่าอาจารย์อยู่คนเดียวมานานเกินไป พอเจอคนเข้าหน่อยก็พูดไม่หยุด
………………………………………………….