หลังจากผ่านไปหลายร้อยปี ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังพูดถึงความสนุกสนานที่เกิดขึ้นในงานหมั้นครั้งนี้ โดยเฉพาะของหมั้นที่มีมูลค่ามากมายของหลิวหลี ถึงขนาดทำให้ค่าใช้จ่ายในการแต่งงานที่เกิดขึ้นหลังจากนี้มีจำนวนสูงขึ้นมาก ทำให้คู่รักที่อยากจะแต่งงานหลังจากนี้ทั้งรักทั้งเกลียดหลิวหลี โดยเจ้าตัวไม่รู้ตัวเรื่องเลยว่าตัวเองได้เพิ่มค่าใช้จ่ายในการแต่งงานของโลกบำเพ็ญให้สูงขึ้น ถึงรู้ก็คงจะไม่ได้รู้สึกอะไร ทัศนคติของนางกับคนที่นี่ก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่ดี นางคงทำไม่ได้หากยุติการแต่งงานครั้งแรกแล้วให้ไปแต่งครั้งที่สองอย่างสง่าผ่าเผย
หลิวหลีตัดสินใจเรื่องหนึ่งได้แล้ว นางตัดสินใจที่จะกลับสำนัก ก่อนที่จะกลับสำนักจะต้องไปโลกมนุษย์ก่อน
“เจ้าตัดสินใจจะกลับสำนัก?” หนานกงเวิ่นเทียนถามขึ้น แต่ก็ไม่ได้หยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ในมือ
“อืม ทำสิ่งที่หวังได้สำเร็จแล้วควรจะกลับไปรายงานอาจารย์ ออกมานานขนาดนี้คิดถึงอาจารย์ขึ้นมาแล้ว” หลิวหลีอยากจะพยักหน้าแต่ขยับไม่ไหว
“เสี่ยวเทียน อีกนานไหม?” หลิวหลีมองไปที่หนานกงเวิ่นเทียนที่กำลังช่วยทำผมให้ตัวเองอยู่ด้านหลัง อย่างใกล้จะหมดความอดทนเต็มที่
“ใกล้แล้ว หลิวหลี รออีกครู่หนึ่งนะ” หนานกงเวิ่นเทียนตอบไปพลางมือก็ทำไปพลาง
“เมื่อครู่เจ้าก็บอกว่าใกล้แล้ว” หลิวหลีทำปากจู๋ หางม้าของนางไม่ดีตรงไหน ทำไมนางรู้สึกว่าเสี่ยวเทียนยังให้ความสนใจกับผมนางยิ่งกว่าตัวนางเสียอีก
“จะเสร็จแล้ว เสร็จแล้ว หลิวหลีลองดูสิว่าชอบไหม” จะว่าไปแล้วนางก็เป็นคนอายุจะ 30 อยู่แล้ว ทำผมทรงมวยคู่จะดูเด็กเกินไปไหม ในกระจกปรากฏภาพสาวน้อย นางขยับมวยผมของตัวเอง ปอยผมของหลิวหลีก็ขยับไปตามด้วยทำให้หลิวหลีดูสดใสขึ้นมาก เมื่อสวมชุดกระโปรงสีม่วงที่หนานกงเวิ่นเทียนเลือกให้หลิวหลี นางช่างเป็นหญิงสาวที่งดงามจริง ๆ
“เสี่ยวเทียน ข้าไม่ชินเลย” หลิวหลีจับมวยผมของตัวเอง ดึงกระโปรง ทรมานชะมัด
“เดี๋ยวก็ชินไปเอง”ผู้หญิงจะไม่มีความเป็นผู้หญิงได้อย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิงที่มีคู่หมั้นหมายแล้วควรปรับทรงผมให้ดูเป็นผู้ใหญ่ด้วยสิ มองดูสาวน้อยในกระจกแล้วก็ ….
“หลิวหลี พวกเรามาเปลี่ยนทรงผมกันเถอะ” หนานกงเวิ่นเทียนตัดสินใจอย่างเผด็จการ
“อะไรนะ” หลิวหลีอึ้งไป จะเอาอีกหรือ
ในที่สุดขณะที่หลิวหลีใกล้จะระเบิดออกมา หลิวหลีปักปิ่นงูก่อนออกจากบ้าน สีหน้าอ่อนล้าเหมือนคนป่วยยิ่งชวนให้เอ็นดู ข้างหลังตามมาด้วยหนานกงเวิ่นเทียนที่มีท่าทีอ่อนเพลีย นังหนูไม่ว่าทรงผมอะไรก็เอาอยู่ สุดท้ายก็ยังสู้ทรงหางม้าไม่ได้ หนานกงเวิ่นเทียนสีหน้าก็ไม่ค่อยดีนัก ว่าที่ฮูหยินหน้าตาดีเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี
ทว่าการแต่งตัวแบบนี้ก็ทำให้คนบ้านสกุลหลงตกตะลึงอยู่เหมือนกัน เห็นหลิวหลีไม่แต่งหน้าทาแป้ง แต่งตัวแบบผู้ชายจนชิน พอตอนนี้แต่งตัวแบบนี้ ทำให้สะดุดตามากจริงๆ
“ท่านตา ท่านลุง มองกันพอหรือยังเจ้าคะ” หลิวหลีวางชาศักดิ์สิทธิ์แก้วที่หกลง ทำไมถึงยังเรียกสติกลับมากันไม่ได้อีก ชาศักดิ์สิทธิ์ดื่มมากเกินไปก็ไม่ดีนัก
“นังหนู เจ้าบอกว่าเจ้าจะกลับสำนักแล้วหรือ” หลงจิ่งอู๋เรียกสติกลับมาได้ก่อนแล้วเอ่ยขึ้น
“เจ้าค่ะ ออกมาตั้งหลายปีควรจะกลับไปดูอาจารย์แล้ว” หลิวหลีรู้สึกคิดถึงอาจารย์ที่พึ่งพาไม่ได้ของตัวเองเข้าแล้ว อย่างไรเสียเขาก็เอ็นดูนางมาก ประเด็นสำคัญเลยคือนางคาดหวังให้อาจารย์ปรุงยาคืนวิญญาณให้
“ก็ดี ถ้าว่างอย่าลืมกลับมาเยี่ยมลุงกับตาบ้างนะ” หลงจิ่งอู๋พูดขึ้น อย่างไรเสียนังหนูก็เข้าไปอยู่ในสำนักนั้นก่อน
“เจ้าค่ะ ข้ามาแน่นอน” หลิวหลีกล่าว พอถึงเวลานั้นจะมาเซอร์ไพร์สท่านลุงกับท่านตา
หลิวหลีเตรียมพาเอ๋าเลี่ยกับจื่อฉีกลับไปด้วย อืม ไม่เรียกเสี่ยวเทียนแล้วกัน อย่างไรเสียพวกเขาทั้งสองคนก็ไม่เหมือนกัน บ้านเกิดของเสี่ยวเทียนอยู่ที่นี่แต่นางไม่ใช่
“เสี่ยวเทียน เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” หลิวหลีประหลาดใจ และอยากรู้ว่าทำไมหนานกงเวิ่นเทียนจึงมาปรากฏตัวอยู่ที่เผ่ามังกร
“เจ้าจะกลับไปหาอาจารย์ ข้าในฐานะที่เป็นว่าที่เขยก็ควรไปทำเคารพอาจารย์หน่อยสิ ยิ่งไปกว่านั้นหากเจ้าหนีตามคนอื่นไปจะให้ข้าไปตามหาฮูหยินที่งดงามแบบนี้ได้จากที่ไหน” หนานกงเวิ่นเทียนพูดพลางบีบจมูกของหลิวหลี
“ก็เหมือนจะจริง เสี่ยวเทียน เลิกบีบจมูกของข้าได้แล้ว” ถ้าหากบีบพังไปจะทำอย่างไร นางลืมไปว่าร่างกายของนางแข็งแรงยิ่งกว่าอาวุธล้ำค่าเสียอีก
“ฮ่าๆ ออกเดินทางกันเถอะ” เอ๋าเลี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆทนดูไม่ได้ พลอดรักให้เห็นขนาดนี้แล้วจะทำให้มังกรโสดอย่างเขาทำอย่างไร จากนั้นเอ๋าเลี่ยก็มองเฟิ่งอิงเสวี่ยอย่างเผลอไผล
พอทั้งสองได้สติ หนานกงเวิ่นเทียนจับมือหลิวหลี อืม…มือของหลิวหลีนุ่มจังจับแล้วรู้สึกสบายดีจัง หลิวหลีกลับรู้สึกว่ามือของหนานกงเวิ่นเทียนใหญ่ จับแล้วรู้สึกปลอดภัย
เมื่อใช้ผค่ายกลขนส่ง เพราะพลังบำเพ็ญเพียรของหลิวหลีสูงจึงแค่รู้สึกเวียนหัวเท่านั้นไม่นานก็ดีขึ้น นางจึงพาหนานกงเวิ่นเทียนบินกลับไปหาอาจารย์ที่หอปรุงยา
“มี มีนางฟ้า”
“เหตุใดป่าฝึกฝนถึงมีสาวงามขนาดนี้ปรากฏตัวล่ะ”
“ช้าก่อน เราไม่เคยเจอคนพวกนี้มาก่อน พวกเราควรไปแจ้งผู้คุมไหม”
“ดูจากเส้นทางแล้ว พวกเขาจะไปหอปรุงยา ท่านผู้อาวุโสท่านนั้นก็สร้างแนวเขตต้องห้ามไว้ไม่น้อย”
“เอ๊ะ เข้าไปแล้ว คนพวกนี้เป็นใครกันแน่”
เมื่อหลิวหลีกลับมา นางก็รู้สึกอุ่นใจ การกลับมายังสถานที่ที่คุ้นเคยมันช่างดีเหลือเกิน
เสวียนหั่วกำลังเข้าฌานอยู่ก็สัมผัสได้ว่ามีคนเข้ามารบกวนแนวเขตต้องห้าม จึงใช้ประสาทเซียนตรวจสอบดู ก็พบว่าหญิงงามนางนั้นคือศิษย์ของเขาเอง ลูกศิษย์ตัวน้อยกลับมาแล้ว เสวียนหั่วลุกขึ้น ใช้มนตร์ขจัดฝุ่นละออง จากนั้นก็เปิดแนวเขตต้องห้าม
“อาจารย์ ข้ากลับมาแล้ว” หลิวหลีตื่นเต้นเล็กน้อย
“ศิษย์เอ๋ย ข้าจำได้ว่าเจ้าเพิ่งบรรลุช่วงแยกจิตระยะต้นไม่ใช่หรือ” ทำไมไม่นานก็เป็นระยะกลางแล้วล่ะ สาเหตุเพราะการเข้าฌานจึงทำให้เสวียนหั่วยังไม่ได้ยินเรื่องที่ลูกศิษย์ของตัวเองเป็นนักปรุงยาระดับ 7 แล้ว
“ข้าเป็นคนโชคดีอย่างไรล่ะเจ้าคะ” หลิวหลีแสดงความซุกซนต่อหน้าอาจารย์
โชคดีขนาดนี้คงไม่มีใครเทียมแล้ว แต่ทำไมเด็กหนุ่มข้างกายนางก็อยู่ในช่วงแยกจิตระยะกลางเหมือนกันล่ะ!
“คารวะท่านปรมาจารย์เสวียนหั่ว” หนานกงเวิ่นเทียนทำความเคารพในฐานะผู้น้อย
เสวียนหั่วจึงจับจ้องไปที่มือของทั้งสองคนที่จับกันอยู่
“อาจารย์ ข้ากับเสี่ยวเทียนเราหมั้นหมายกันแล้ว” หลิวหลีพูดขึ้นอย่างไม่เขินอายเลยแม้แต่น้อย
“ศิษย์รัก ตอนนี้เจ้าเป็นสาวแล้ว” เสวียนหั่วนึกไปถึงเด็กแก่นแก้วในตอนนั้น ตอนนี้กลับพบว่านังหนูเป็นสาวงามแล้ว
“เพียงแต่ทำไมเจ้าหมั้นหมายถึงไม่เรียกอาจารย์” เสวียนหั่วรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก
“ฮ่าๆ ท่านเสวียนหั่ว เรื่องนี้ให้ข้าเป็นคนอธิบายแล้วกัน” เอ๋าเลี่ยพูด
“ท่านเอ๋าเลี่ย คนพวกนี้คือ” เด็กหนุ่มสีม่วงกับหญิงงามสีขาว
“ขอแนะนำให้เจ้ารู้จัก คู่พันธสัญญาตัวที่สองของหลิวหลี จื่อฉี”
“เจ้าเด็กอ้วนในตอนนั้น” เสวียนหั่วประหลาดใจเล็กน้อย สามารถทำพันธสัญญากับอสูรเทพได้พร้อมกันสองตัวหรือ
“ท่านปรมาจารย์เสวียนหั่วจำข้าไม่ได้แล้วหรือ” จื่อฉีพูดจาหยอกล้อ
“จะจำได้อย่างไร เจ้าในตอนนี้มองไม่ออกเลยว่าเคยเป็นเด็กอ้วนในตอนนั้น” เสวียนหั่วพูดขึ้นพลางโบกมือไปมา
“นี่คือคู่พันธสัญญาของศิษย์เขยของเจ้า ตอนนั้นเป็นเพราะต้องไปเกิดใหม่จึงไม่ได้เจอกัน” เอ๋าเลี่ยกล่าวอธิบาย
“คารวะท่านเสวียนหั่ว” เฟิ่งอิงเสวี่ยขยับตัวเล็กน้อย
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่สำนักเมฆาคล้อย”
“รบกวนท่านแล้ว” เฟิ่งอิงเสวี่ยพูดขึ้น
“สรุปก็คือเพราะนางฟังคำพูดยุแหย่ของเจ้า จึงทำให้ลูกศิษย์ของข้าพาเหล่าอสูรเทพตัวน้อยยกขบวนไปหมั้นหมายเขาหรือ” เสวียนหั่วผู้ชราที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะชาเกิดตกใจ ลูกศิษย์ทำให้เขาเกือบบ้าไปแล้วจริงๆ เป็นผู้บำเพ็ญช่วงแยกจิตแล้วแต่ทำไมยังทำเรื่องหุนหันพลันแล่นถึงเพียงนี้
“ใช่แล้ว หลังจากเสร็จเรื่องหลิวหลีก็นำยาศักดิ์สิทธิ์กับพวกหมูอบแห้งหลายชนิดมอบให้กับอสูรน้อยทั้งหลายด้วยความใจกว้าง” เอ๋าเลี่ยนึกถึงหมูอบแห้งที่ตัวเองอุตส่าห์เก็บเอาไว้แต่ต้องสละให้พวกเขาก็ปวดใจ
“ฉากในตอนนั้นน่าจะอลังการมากเลยใช่ไหม” เสวียนหั่วแค่ลองนึก ๆดูก็รู้สึกว่าต้องยิ่งใหญ่มากแน่
“แน่นอนสิ สัตว์มงคลกิเลนเป็นตัวเปิดทาง ข้างหลังเป็นมังกรหงส์ ถัดมาเป็นเสือขาวและปิดท้ายด้วยเต่าดำ ทั้งโลกบำเพ็ญคงไม่สามารถหาขบวนของหมั้นที่งดงามได้เท่ากับของนางอีกแล้ว” เอ๋าเลี่ยรู้สึกพอใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
“แล้วสุดท้ายสองตาหลานจากสกุลหลินก็ต้องมาเป็นพยานรักให้กับสองคนนี้?” เสวียนหั่วพูดทวน ผู้นำสกุลหลินคนนี้คงจะรู้สึกอึดอัดใจน่าดู
“ใช่สิ หลานสาวสกุลหลินคนนั้นโดนลูกศิษย์ของเจ้าว่าเสียจนแทบอยากจะไปเกิดใหม่”
“ลูกศิษย์ของข้ามาตรฐานสูงจริงๆ” เสวียนหั่วพูดพลางทอดถอนใจ ถ้าทุกคนสามารถเปรียบเทียบกับหลิวหลีได้หมด ถ้าอย่างนั้นโลกบำเพ็ญคงพังแล้วล่ะ
“ข้าอยากจะเห็นจริง ๆ” ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่งานหมั้น แต่ว่ามีอสูรเทพมากมายขนาดนั้นให้ดูก็ไม่เลวเหมือนกัน
“สุดท้ายสิจึงจะเป็นทีเด็ด ข้ากับอิงเสวี่ย มังกรหงส์ส่งเสียงประสาน มังกรหงส์คู่มงคลทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงคนไม่น้อยที่ใช้หินถ่ายเก็บภาพไว้ ข้าไปคัดลอกมาแล้วเดี๋ยวเอาให้เจ้าดูนะ” เอ๋าเลี่ยกล่าว
“ความหมายลึกซึ้ง ช่างเป็นสิริมงคลนัก” เสวียนหั่วยิ่งรู้สึกเสียดายมากขึ้นไปอีก ยังดีที่ยังมีหินเก็บภาพไว้
“อาจารย์ รอตอนที่พวกข้าสองคนแต่งงานกันจะต้องเรียกท่านไปแน่นอน” หลิวหลีให้คำมั่นสัญญา หนานกงเวิ่นเทียนที่อยู่ข้าง ๆก็พยักหน้าด้วย อาจารย์ก็เปรียบเสมือนพ่อจำเป็นต้องไป
“เฮ้อ ศิษย์เอ๋ย…อาจารย์ไม่รู้ว่ายังจะรอเจ้าได้อีกกี่ปี ตอนนี้อาจารย์เกือบแตะขอบช่วงสู่มหายาน อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ช่วงมหายานก็จะใกล้บรรลุเป็นเซียนมากขึ้นไปอีก” เสวียนหั่วพูดพลางถอนหายใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็ยินดีกับอาจารย์ด้วยเจ้าค่ะ อาจารย์จะต้องได้เข้าร่วมงานแต่งของพวกข้าสองคนแน่นอน ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะได้บรรลุเป็นเซียนก่อนอาจารย์ก็เป็นได้” หลิวหลีพูดจาหยอกล้อในประโยคสุดท้าย แต่กลับคิดไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็นเรื่องจริง
“นังหนู เจ้าคิดว่าการบรรลุเซียนมันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ”เสวียนหั่วส่งสายตาเอือมระอาไปให้ แต่เมื่อนึกถึงอายุของลูกศิษย์แล้วมันก็ไม่แน่จริง ๆ
“ก็ใช่นะเจ้าคะ” หลิวหลีคิดแล้วตอบ นางคงจะคิดง่ายเกินไปจริงๆ
…………………………………………………………………