“สหายของข้ารับผิดชอบเขียนนิทาน ท่านหลิ่วรับผิดชอบด้านการพิมพ์และจัดจำหน่าย ต่อให้เขียนนิทานเรื่องนี้จบ ในหัวเขายังมีนิทานอีกไม่น้อย ขอเพียงท่านหลิ่วยอมร่วมงานด้วย ข้ารับประกันกับท่านได้ ว่าของที่ข้ามอบให้ท่าน เป็นสิ่งที่ร้านหนังสืออื่นไม่มีแน่นอน! แต่ข้าก็ต้องการผลกำไรห้าส่วนจากห้องหนังสือของท่าน กล่าวอีกนัยหนึ่ง นับตั้งแต่นี้ ห้องหนังสือของท่าน นอกจากท่านแล้ว ข้าก็คือเจ้าของที่ใหญ่ที่สุด ข้าลงทุนด้วยหนังสือ ท่านลงทุนด้วยเงินและกำลังคน กำไรสุทธิช่วงสิ้นปี พวกเราแบ่งกันคนละครึ่ง”
น้ำเสียงของนางแฝงเร้นด้วยความแน่วแน่ที่ทำให้หลิ่วสวินเหมี่ยวไม่อาจปฏิเสธได้
ถูกต้อง คนที่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ ไม่อาจจะหาเหตุผลมาปฏิเสธได้
และแล้ว หลิ่วสวินเหมี่ยวไม่ได้คิดด้วยซ้ำ มือที่จับต้นฉบับไว้กำลังสั่นเทิ้ม พร้อมตอบตกลงอย่างรวดเร็ว
“ได้! ”
เขากล่าวตอบอย่างรวดเร็ว ราวกับเกรงว่าหากพูดช้าไปเซี่ยยวี่หลัวจะกลับคำอย่างไรอย่างนั้น!
ห้องหนังสือของเขาไม่มีอะไรสำคัญ ที่สำคัญที่สุดคือต้นฉบับในมือเซี่ยยวี่หลัว หากมีต้นฉบับนี้ อย่าว่าแต่กำไรห้าส่วนเลย ต่อให้ต้องแบ่งเจ็ดส่วน เขาก็ยินยอม
เมื่อได้อ่านช่วงเปิดเรื่อง เขาก็มั่นใจเต็มเปี่ยม ว่านี่ต้องเป็นผลงานที่โด่งดังไปทั่วแน่นอน ถึงเวลาไม่ใช่แค่คนที่เขียนหนังสือเล่มนี้ แม้แต่เขาเอง ก็จะกลายเป็นตำนานของต้าเยว่
ที่เขาตอบตกลงเร็วถึงเพียงนี้ ล้วนอยู่ภายใต้การคาดการณ์ของเซี่ยยวี่หลัว นางรู้ว่าเขาตอบตกลงแน่
ทั้งสองคนปรึกษาหารือรายละเอียดอื่นๆ อีกเล็กน้อย ก็ให้หลิ่วสวินเหมี่ยวร่างสัญญา ขณะลงนามในสัญญา เซี่ยยวี่หลัวเขียนชื่อของตัวเองด้วยลายมืองามสง่า
ลายมือทรงพลัง เป็นลายมือของบุรุษอย่างชัดเจน
ภายในใจหลิ่วสวินเหมี่ยวรู้สึกตกใจเล็กน้อย เซี่ยยวี่หลัว?
เหตุใดฟังดูคล้ายกับชื่อของสตรี
ถึงแม้จะประหลาดใจ แต่หลิ่วสวินเหมี่ยวก็ไม่ได้ถาม เพียงถามนาง “สหายท่านนั้นของคุณชาย จะส่งมอบส่วนที่เหลือของหนังสือเมื่อไรงั้นหรือ? ”
เซี่ยยวี่หลัวหยิบหนังสือเกือบครึ่งเล่มออกมาจากอกเสื้อ ส่งมอบหนึ่งในสามส่วนของเนื้อเรื่องทั้งหมดไปให้ “นิทานเรื่องนี้ต้องแบ่งเป็นสามเล่ม นี่คือเล่มแรก เล่มสองและเล่มสามข้าจะส่งมาภายในสองเดือนนี้”
ซีโหยวจี้มีทั้งหมดหนึ่งร้อยตอน เล่มแรกสามสิบสามตอน เล่มสองสามสิบสี่ตอน เล่มสามสามสิบสามตอน เขียนให้จบภายในสองเดือน น่าจะใช้เวลาประมาณนี้
พอได้ฟังว่าใช้เวลาสองเดือนก็สามารถเขียนหนังสือเล่มนี้ให้เสร็จ หลิ่วสวินเหมี่ยวก็วางใจยิ่งขึ้น
“แล้วนามปากกาเล่า? สหายท่านนั้นของคุณชาย ได้คิดนามปากกาไว้หรือไม่? ”
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ย่อมไม่อาจใช้ชื่อจริงได้
เซี่ยยวี่หลัวคิดครู่หนึ่ง ก่อนเขียนตัวอักษรสี่ตัวลงบนกระดาษ ยิ้มพร้อมกล่าว “เขาบอกว่าชื่อนี้ดีมาก! ”
สายลมพัดผ่านกระดาษ ทำให้มุมหนึ่งพลิกขึ้น ตัวอักษรสี่ตัวบนนั้นทั้งสง่าและมีความสุนทรีย์
‘คุณชายหลัวยวี่’
เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกว่าดีมาก คุณชายหลัวยวี่ ฟังดูเหมือนชื่อบุรุษ ต่อไปก็สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้
เซี่ยยวี่หลัว คุณชายหลัวยวี่ บางทีอาจเป็นพี่น้องในครอบครัวก็เป็นได้ หลิ่วสวินเหมี่ยวรับไว้ “ได้! ”
เซี่ยยวี่หลัวลุกขึ้นและออกไป หลิ่วสวินเหมี่ยวส่งนางถึงหน้าประตู เมื่อมองส่งเซี่ยยวี่หลัวจนเดินไปไกลแล้ว จึงกลับเข้าไป ครั้งนี้เขาปิดประตูใหญ่ทันที ปิดทำการชั่วคราว
จากนั้นเขาจึงนั่งตรงโต๊ะหนังสือ มองดูสัญญาที่ลงนามไว้อย่างเหม่อลอย เบื้องลึกแววตาฉายประกายยินดีชนิดที่ปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิด
ในจังหวะนี้เอง เสียงกระดิ่งดังขึ้นอีกครั้ง
เป็นเสียงจากด้านหลัง!
พอหลิ่วสวินเหมี่ยวได้ยินเสียงนี้ ก็รีบหยิบต้นฉบับและสัญญา พุ่งพรวดไปสวนด้านหลังด้วยสีหน้ายินดีเต็มประดา
ลานด้านหลัง สตรีรูปโฉมงดงามผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เท้าแขนโค้งตัวใหญ่ เมื่อเห็นหลิ่วสวินเหมี่ยวมา เบื้องลึกแววตาก็ฉายประกายยิ้มแย้มอย่างไม่อาจหยุดได้ “สวินเหมี่ยว…”
หลิ่วสวินเหมี่ยวเดินขึ้นหน้าอย่างรวดเร็ว ประคองสตรีผู้นั้นให้ลุกขึ้น
สตรีผู้นั้นตั้งท้องอยู่ อายุครรภ์ประมาณสี่เดือน ตามหลักแล้วไม่ใช่ช่วงที่อันตรายมากนัก เดินเหินก็ไม่ส่งผลกระทบอะไร แต่ดูจากท่าทางของหลิ่วสวินเหมี่ยวที่ประคองด้วยความเคารพ ทั้งยังระมัดระวังอย่างดี ราวกับว่ากำลังประคองตุ๊กตากระเบื้องอยู่อย่างไรอย่างนั้น
พอจะดูออกว่าเขาให้ความสำคัญและรักใคร่สตรีผู้นี้มากเพียงใด
ยามเขามองสตรีที่อยู่ข้างกาย เบื้องลึกแววตาอ่อนโยนดุจสายน้ำ ยามนางมองมาทางเขา เบื้องลึกแววตาก็ฉายประกายความรักลึกซึ้งอย่างไม่อาจปิดบังได้
เสื้อผ้าที่สตรีผู้นี้สวมใส่แม้ไม่อาจเรียกได้ว่าหรูหรา แต่บุคลิกท่าทางกลับไม่ธรรมดา มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นสตรีจากตระกูลใหญ่
หลิ่วสวินเหมี่ยวประคองโม่หยุนโหรวเดินเล่นอยู่ภายในลานอย่างเอาใจใส่ โม่หยุนโหรวเอ่ยถาม “สวินเหมี่ยว วันนี้ไม่เปิดร้านงั้นหรือ? เจ้าไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนข้า ไปเฝ้าห้องหนังสือเถอะ! ”
หลิ่วสวินเหมี่ยวส่ายหน้า ประคองนางไปนั่งลงที่เดิมอีกครั้ง ก่อนกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “หยุนโหรว ข้าจะให้เจ้าดูของสิ่งหนึ่ง”
เขายื่นส่งต้นฉบับให้โม่หยุนโหรว โม่หยุนโหรวมองแวบหนึ่งด้วยความประหลาดใจ “ซีโหยวจี้? ”
เมื่อเปิดหนังสืออ่านดู โม่หยุนโหรวก็ตกตะลึงในความงดงามของลายมือที่ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก อ่านจนจบในคราเดียว “สวินเหมี่ยว ข้ายังไม่เคยอ่านนิทานที่น่าสนใจถึงเพียงนี้มาก่อน เจ้าซื้อหนังสือนี่มาจากที่ไหนงั้นหรือ แล้วเนื้อเรื่องที่เหลือเล่า? ”
หลิ่วสวินเหมี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึก สงบสภาวะจิตใจ ก่อนจะบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้โม่หยุนโหรวฟังโดยละเอียด
โม่หยุนโหรวลูบผ่านตัวหนังสือรูปแบบจานฮวาที่งดงาม สูดลมหายใจเข้าลึก “ตัวหนังสืองามสง่าดูมีชีวิตชีวาเช่นนี้ ต่อให้อยู่ในเมืองหลวงก็เกรงว่าคงหาได้ยากนัก”
“ใช่แล้ว ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าในเมืองโยวหลันเล็กๆ แห่งนี้ จะมีมังกรเร้นกายพยัคฆ์ซุ่มซ่อนอยู่ด้วย! ”
จู่ๆ หลิ่วสวินเหมี่ยวก็รู้สึกยินดีที่ตัวเองเลือกจะอยู่ที่นี่ หากไม่ใช่เพราะอยู่ที่นี่ ผลงานที่จะเลื่องชื่อไปทั่วหล้าเช่นนี้ เขาย่อมไม่ใช่คนแรกที่จะได้อ่าน
ต่อไปหากบอกกับผู้อื่น ว่าเขาเป็นคนแรกที่ได้อ่านต้นฉบับซีโหยวจี้ เกรงว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยอิจฉาแทบตายเลยทีเดียว!
โม่หยุนโหรวลูบผ่านตัวหนังสือ ก่อนอ่านเนื้อเรื่องอีกครั้ง ก็กล่าวชื่นชมอย่างอดไม่ได้ “คนผู้นี้ช่างมีความสามารถล้นเหลือ ยอดบุรุษและสตรีอันดับหนึ่งในเมืองหลวง เกรงว่าก็คงไม่อาจเทียบกับความสามารถกึ่งหนึ่งของคนผู้นี้ได้”
โม่หยุนโหรวเอ่ยปากชื่นชมไม่หยุด หลิ่วสวินเหมี่ยวคิดว่าครั้งนี้ตนเองดูคนไม่ผิด
“ดังนั้น หยุนโหรว ข้าคิดจะไปหาร้านทำหนังสือ หากหนังสือนี่เป็นที่เลื่องชื่อจริง อาศัยการคัดด้วยมือเกรงว่าจะไม่ทัน ได้แต่พิมพ์ออกมา ยิ่งไปกว่านั้น ตัวหนังสือนี่สง่างามและโดดเด่น หากคัดด้วยมือ เกรงว่าจะเป็นการปิดกั้นโอกาสที่ตัวหนังสือดีเช่นนี้จะได้ปรากฏสู่สายตาผู้คน” หลิ่วสวินเหมี่ยวกล่าว
โม่หยุนโหรวพยักหน้า “เจ้าพูดถูกแล้ว ตัวหนังสือเช่นนี้ นิทานเช่นนี้ ต้องเลื่องชื่อไปทั่วต้าเยว่แน่นอน! ”
ความสามารถโดดเด่นเช่นนี้ ทั่วทั้งต้าเยว่ เกรงว่าคงไม่อาจหาบุคคลที่สองได้อีกแล้ว!
ครั้งนี้หลิ่วสวินเหมี่ยวเหมือนได้พบเจอกับดาวนำโชค ไม่แน่ว่าอาศัยหนังสือเล่มนี้ สภาพการณ์ของพวกเขาก็อาจดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด! เมื่อถึงเวลานั้น เหล่าผู้คนที่คัดค้านไม่ให้พวกเขาอยู่ด้วยกัน ก็น่าจะกล่าวอะไรไม่ออก น่าจะต้องมองพวกเขาใหม่!
คิดได้ดังนี้ โม่หยุนโหรวหยิบปิ่นปักผมทองสองอันบนศีรษะลงมา “สวินเหมี่ยว เจ้านำสิ่งนี้ไป”
หาร้านทำหนังสือเพื่อแกะสลักตัวอักษรและพิมพ์ออกมาล้วนต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย!