เล่มที่ 5 บทที่ 130 แม่นางท่านใดอยู่ในรถม้ากัน

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

หลิ่วสวินเหมี่ยวรีบกล่าว “ไม่ได้ นี่เป็นปิ่นปักผมทองสองอันสุดท้ายของเจ้าแล้ว อีกไม่กี่เดือนก็ต้องคลอดลูก ล้วนแต่ต้องใช้เงิน ปิ่นปักผมนี่ เจ้าเก็บไว้ดีกว่า! ”

พวกเขามาจากต่างถิ่น เสียค่าใช้จ่ายไปมาก ซื้อหน้าร้านนี้มา เปิดร้านหนังสือก็ใช้เงินไปไม่น้อย

เวลานี้ร้านหนังสือยังไม่มีผลกำไร เขารู้สึกร้อนรนจิตใจยิ่งนัก หากถึงเวลาเมื่อบุตรคลอดออกมาแล้วยังไม่มีเงินอีก เกรงว่าเขาอาจมีใจคิดอยากตีตนเองให้ตายเสีย

เขาจะทนเห็นหยุนโหรวต้องลำบากกับตนเองได้อย่างไร?

ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร โม่หยุนโหรวก็ใส่ไว้ในมือหลิ่วสวินเหมี่ยว “ข้าเชื่อว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของเจ้าไม่ผิดแน่ บางทีขายหนังสือเล่มนี้ออกไป ปิ่นปักผมทองสองอันนี้ก็กลับมาแล้ว! ”

หลิ่วสวินเหมี่ยวกำปิ่นปักผมทองไว้แน่น สุดท้ายแบมือ ยังคงนำปิ่นปักผมหนึ่งอันปักไว้บนเส้นผมโม่หยุนโหรว พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนดุจสายน้ำ “ข้ารับหนึ่งอัน ที่เหลืออีกหนึ่งอัน เจ้าเก็บไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็จะนำไปใช้ไม่ได้เป็นอันขาด เรื่องเงินข้าจะคิดหาทางอื่น เจ้าอย่าได้กังวล! ”

โม่หยุนโหรวรู้ดี ว่าเรื่องที่หลิ่วสวินเหมี่ยวตัดสินใจแล้วจะไม่เปลี่ยนแปลงอีก จึงพยักหน้า “ได้! ”

หลิ่วสวินเหมี่ยวดูแลโม่หยุนโหรวเสร็จ กลับไปยังห้องหนังสือ ขณะเขาออกมา ก็นำเงินและตำราจำนวนหนึ่งออกมาด้วย ตำราเหล่านั้น มีเล่มหนึ่งที่มีเพียงฉบับเดียวในใต้หล้า

นั่นเป็นตำราที่เขาชื่นชอบและให้ความสำคัญที่สุด แต่ครั้งนี้ เขาตัดสินใจแล้ว ว่าจะนำมันไปจำนำ

เขาจะสู้ตายสักครั้ง จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับครั้งนี้แล้ว!

ขณะเซี่ยยวี่หลัวกลับไป ก็เห็นลูกจ้างกำลังจดบันทึกอยู่หน้าประตู ตรงหน้าเขามีสตรีแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหรายืนอยู่หลายคน ชี้ลวดลายบนโต๊ะพลางกล่าว “ลายพวกนี้ข้าเอาทั้งหมด เอาอย่างละสองผืน”

กล่าวจบ ก็มอบเงินหนึ่งตำลึง

ลูกจ้างรับเงินมัดจำ ก่อนจดชื่อของสตรีผู้นั้น พร้อมทั้งจดที่อยู่ไว้ด้วย

นี่เป็นลูกค้าใหญ่ ฮวาเหนียงบอกไว้แล้ว ว่าถึงเวลาต้องนำไปส่งถึงที่

เซี่ยยวี่หลัวมองอยู่ข้างๆ ครู่หนึ่ง ลูกจ้างกล่าวอะไรกับสตรีผู้นั้นเล็กน้อย สตรีผู้นั้นจึงกลับไปด้วยท่าทางดีอกดีใจ ไม่มีความกระวนกระวายและผิดหวังเหมือนเวลาได้ยินว่าผ้าเช็ดหน้าหมดแม้แต่น้อย

นางรีบเบี่ยงกาย เดินเข้าไปด้านใน

ฮวาเหนียงกำลังรับรองลูกค้า เมื่อเห็นเซี่ยยวี่หลัวกลับมาแล้ว ก็รีบให้ลูกจ้างข้างกายรับรองลูกค้า ส่วนนางตามเซี่ยยวี่หลัวไปด้านหลัง

เซี่ยยวี่หลัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ พูดคุยกับฮวาเหนียงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวาดลวดลายให้ฮวาเหนียงอีกสองรูป แล้วจึงออกจากฮวาหม่านยี

เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา เซี่ยยวี่หลัวสวมหมวกคลุมปิดหน้าครอบปิดทั้งศีรษะไว้

คนผู้หนึ่งเดินสวนมา เดินผ่านตัวเซี่ยยวี่หลัวไป

คนผู้นั้นไม่เห็นว่าคนที่เดินสวนกันคือเซี่ยยวี่หลัว แต่เซี่ยยวี่หลัวกลับเห็นนาง

นั่นคือเซียวหมิงจู

เซียวหมิงจูหิ้วตะกร้าหนึ่งใบ เพิ่งเดินเข้าไปก็มีคนมารับนาง “ปักเสร็จแล้วงั้นหรือ? ”

“ปักเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ผ้าเช็ดหน้าสิบผืน” เซียวหมิงจูเปิดตะกร้า ด้านในเป็นผ้าเช็ดหน้าที่ปักลายแมวการ์ตูนไว้สิบผืน

ดูท่าในบรรดาช่างปักที่ฮวาเหนียงหามา เซียวหมิงจูก็เป็นหนึ่งในนั้น!

ลูกจ้างสวมถุงมือไว้ ตรวจสอบผ้าเช็ดหน้าทีละผืนโดยละเอียด เพื่อดูว่ามีจุดที่ลงเข็มปักด้ายผิดหรือไม่ ถึงแม้เซียวหมิงจูอายุไม่มาก แต่ก็เรียนเย็บปักมาตั้งแต่เด็ก ได้จับเข็มด้ายอยู่ทุกวัน เมื่อนับตามเวลา ก็ถือว่าช่ำชองแล้ว

เรื่องที่จะลงเข็มปักด้ายผิดนั้นย่อมไม่มีทางเกิดขึ้น

ลูกจ้างพยักหน้าอย่างพึงพอใจ พร้อมกล่าว “ปักได้ไม่เลว ไปกัน ข้าจะพาเจ้าไปลงบันทึกเพื่อรับเงิน”

ถงเต๋อที่เป็นคนลงบันทึก สวมถุงมือและตรวจสอบผ้าเช็ดหน้าโดยละเอียดเช่นกัน จากนั้นจึงบันทึกจำนวนของผ้าเช็ดหน้า แล้วจึงถามว่าครั้งนี้จะปักอีกกี่ผืน เซียวหมิงจูกล่าวตอบว่าสิบผืน ถงเต๋อจึงหยิบวัตถุดิบที่ใช้ปักผ้าเช็ดหน้าแต่ละผืนซึ่งห่อไว้แล้ว นับจำนวนสิบชุดใส่เข้าไปในตะกร้าของเซียวหมิงจู

วัตถุดิบแต่ละห่อ แตกต่างกันไปตามแบบลาย ในนั้นมีเข็มและด้ายห่อไว้ แต่ละตะกร้าจะแยกกันอย่างชัดเจน นับจำนวนชุดได้ง่ายมาก

สุดท้าย จึงนับเงินห้าสิบอิแปะมอบให้เซียวหมิงจู

เซียวหมิงจูรับของไป คลำเงินห้าสิบอิแปะในมือ คิดถึงเงินที่ตนเองนำติดตัวมาด้วยก่อนออกจากบ้าน แล้วจึงกล่าว “ข้าอยากซื้อผ้าหนึ่งผืน”

เสื้อผ้าบนกายเซียวจื่อเซวียนเก่าขาดจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว เซี่ยยวี่หลัวปกติสวมใส่เสื้อผ้าสวยสดงดงาม เซียวจื่อเซวียนกลับสวมใส่เสื้อผ้าเก่าขาด ไม่รู้จักทำเสื้อผ้าดีๆ ให้เด็กคนนั้นสักชุด ช่างเห็นแก่ตัวนัก

แต่อย่างนี้ก็ดี ยิ่งเซี่ยยวี่หลัวเห็นแก่ตัว ก็ยิ่งดี!

เดือนหน้าเซียวยวี่ก็จะกลับมาแล้ว เกรงว่าคงไม่มีเสื้อผ้าใหม่เช่นกัน เสื้อผ้าในปีที่ผ่านมาก็น่าจะตัวเล็กแล้ว ต้องตัดเสื้อใหม่เหมือนกัน

ถึงเวลา เซียวยวี่เห็นว่ามีเพียงนางที่ทำเสื้อผ้าใหม่ให้เซียวจื่อเซวียนและเขา เขาก็จะรู้ ว่าบนโลกใบนี้ใครคือคนที่ดีต่อเขาที่สุด!

เซียวหมิงจูคิดพลางกัดฟันนำเงินทั้งหมดที่หามาได้จากการปักผ้าเช็ดหน้าในระยะนี้ออกมา ซื้อผ้าฝ้ายละเอียดสีเทาหนึ่งผืน

ผ้าผืนนี้สัมผัสแล้วทั้งละเอียดและอ่อนนุ่ม ได้ยินลูกจ้างในร้านบอกว่าทั้งอ่อนนุ่มและเป็นมิตรต่อผิวหนัง เหมาะแก่การสวมใส่ในช่วงเดือนห้าและเดือนหก

เพราะเซียวหมิงจูเป็นคนที่มาร้านเป็นประจำ ทั้งยังซื้อผ้าผืนหนึ่ง จึงลดราคาให้นางเล็กน้อย เซียวหมิงจูกล่าวขอบคุณก่อนออกจากร้านไป

ปกติเวลานางปักผ้าเช็ดหน้า ไม่เพียงแต่ต้องเสียค่าผ้าและเข็มด้ายเอง ผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนขายได้เพียงสามอิแปะ เวลานี้นางไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแม้แต่น้อย ก็สามารถหาเงินได้ห้าอิแปะต่อผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืน ถือเป็นโอกาสดีที่สวรรค์ประทาน

หลังจากเซี่ยยวี่หลัวเห็นเซียวหมิงจูก็ออกไปแล้ว ย่อมไม่เห็นว่าเซียวหมิงจูซื้อผ้าฝ้ายละเอียดสีเทาหนึ่งผืน

นางออกจากร้านแล้วจึงไปซื้อเนื้อหมูจำนวนไม่น้อย เมื่อท่านลุงที่ขายเนื้อหมูครั้งก่อนเห็นแม่นางน้อยรูปโฉมงดงามที่เคยมาซื้อเนื้อหมู ก็ยิ้มจนไม่เห็นตา เอ่ยเรียกแม่นางอย่างนั้นแม่นางอย่างนี้

เซี่ยยวี่หลัวซื้อเนื้อหมูอีกสองจิน ยังขอซื้อกระดูกหมูทั้งหมดรวมถึงมันหมูชิ้นหนึ่ง ใส่ไว้ในตะกร้าทั้งหมด ก่อนจะไปร้านขายขนมซื้อขนมสองกล่อง เด็กๆ ชอบกินขนมนี่ กินวันละสองชิ้น เหมือนช่วงปีใหม่ มีความสุขเสียยิ่งกว่ากระไร

สุดท้าย นางไปร้านขายของชำซื้อเตาขนาดเล็กและถ่านอีกจำนวนหนึ่ง พร้อมทั้งซื้อหม้อขนาดเล็ก ใส่จนเต็มตะกร้าสะพายหลัง แล้วจึงยกขึ้น ไปซื้อผักจำนวนหนึ่งที่ไม่มีในบ้าน แล้วจึงไปฮวาหม่านยี

ฮวาเหนียงเตรียมรถม้าไว้แล้ว เซี่ยยวี่หลัวขึ้นรถม้า รถม้าเคลื่อนตัวออกไป ออกจากตัวเมืองโยวหลันอย่างรวดเร็ว

ระหว่างทางกลับ เซี่ยยวี่หลัวเห็นเซียวหมิงจูที่กำลังหิ้วตะกร้ากลับไป

เซี่ยยวี่หลัวเปิดม่านกวาดสายตามองแวบหนึ่ง ก็ปิดม่านลง

หางตาเซียวหมิงจูเหลือบไปเห็นรถม้าพอดี มองผ่านช่องผ้าม่าน นางรู้สึกเหมือนเห็นคนที่นั่งอยู่ในนั้น

คางและใบหน้าด้านข้างที่งดงามนั่น เห็นแวบเดียวก็รู้สึกตกตะลึงในความงาม

รถม้าเคลื่อนตัวผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงฝุ่นตลบตามทาง

ใบหน้าด้านข้างนั่นช่างดูคุ้นตา เซียวหมิงจูรู้สึกว่าเหมือนเคยพบเห็นที่ไหน เพียงแต่ ลองหวนคิดดูก็ยังคิดไม่ออก ว่าผู้ที่อยู่ในรถม้านั่นคือผู้ใด