บทที่ 117 สงบมั่นคง (1)
“ฮ่า!”
กีบเท้าม้าเหยียบกรวดหินดินทรายจนฟุ้งขึ้นบนเส้นทางภูเขาสีเหลืองหม่น ม้าหวงเปียวกำยำตัวหนึ่งควบไปบนเส้นทางบนภูเขานั้น ลมที่พัดขึ้นกดหญ้าสองฟากทางให้ลู่ลง
ผู้ขี่สวมชุดรัดรูปสีดำปิดหน้าที่เหงื่อโชก เส้นเอ็นสีดำเล็กๆ โปดปูนบนหน้าผาก กลางหลังเปียกเหงื่อชุ่ม
“โดน!” เสียงตวาดดังขึ้น
ก้อนหินสีดำก้อนหนึ่งพุ่งมาจากด้านข้าง รุนแรงอย่างน่าประหลาด กระแทกใส่ไหล่ซ้ายของผู้ขี่ม้า
เขาตกลงจากหลังม้าดังโครม
ฮี้ๆ!
ม้าหวงเปียวร้องขึ้นอย่างตื่นตระหนก วิ่งหนีไปอย่างหวาดกลัวด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม เหลือเพียงผู้ขี่ม้าชุดดำที่ตกจากม้า กำลังฝืนคลานขึ้นมาจากพื้น
ตูม!
เท้าใหญ่สวมรองเท้าขี่ม้าข้างหนึ่งกระทืบลงบนไหล่คนผู้นี้จนติดพื้นอีกครั้ง
“ทหารของจวนอู๋โยว โอ้ ยังเป็นองครักษ์ชุดดำส่งข่าวเสียด้วย!” พระภิกษุหัวล้านสวมจีวรสกปรกเหม็นสาบกระโดดออกมาจากพุ่มหญ้าข้างทาง
ท่านยกมือของผู้ขี่ม้าชุดดำขึ้นมาอย่างคุ้นเคย เล็บที่แหลมคมประดุจมีดกรีดท่อนแขนของอีกฝ่าย แขนเสื้อกับผิวหนังฉีกขาดออก ชักแผ่นหนังสีเหลืองเล็กๆ ที่ชุ่มไปด้วยเลือดใบหนึ่งออกมา
“พวกเจ้า… เป็นใครกันแน่!?” ผู้ขี่ม้าชุดดำถูกกระแทกตกม้าที่วิ่งด้วยความเร็ว ร่างกายชนใส่ก้อนหินหลายก้อน บาดเจ็บสาหัส ตอนนี้เริ่มกระอักเลือด กำลังจะไม่ไหว แต่เขาไม่ยอมแพ้ ถลึงตาถามเสียงเฉียบขาด
“พวกเรา…เจอกันมาตั้งหลายครั้งแล้ว ยังไม่รู้อีกหรือ” พระภิกษุรูปนั้นที่หัวโตหูใหญ่ จีวรสกปรกเป็นคราบสีดำเทา พอได้ยินก็พลันหัวเราะ ท่านไม่สนใจผู้ขี่ม้าชุดดำ มองแผ่นหนังที่พลิกออกมาในมือ
“ให้อาตมาดูหน่อยว่าเป็นข่าวอะไร ตระกูลเจินหลบหนี…แดนเหนือปั่นป่วน…ตระกูลซั่งหยางเคลื่อนพลเข้ามา…”
“เจ้าเป็นกากเดนแคว้นเมฆา…!” ผู้ขี่ม้าชุดดำพลันนึกอะไรได้ เบิกตาโต
เปรี้ยง!
อกของเขาถูกพระภิกษุอ้วนกระทืบจนยุบ สิ้นใจตายไปทันใด
“พระอาจารย์?” มีคนอีกสองสามคนโผล่ออกมาจากหน้าผาที่อยู่ไม่ไกล เห็นบนพื้นมีคนนอนอยู่ก็รีบวิ่งเข้ามา
คนที่อยู่ด้านหน้าสุดคิ้วกระจ่างตางาม ใบหน้าหล่อเหลว ผิวขาวเนียนละเอียด มองดูก็รู้ว่าเป็นคุณชายที่ชีวิตอยู่ดีกินดี สวมชุดผ้าป่านซึ่งไม่เข้ากับเขา
“คุณชายหลี่มาแล้วหรือ นั่น ข้าจับทหารของจวนอู๋โยวได้คนหนึ่งพอดี นึกว่าจะได้ข่าวที่มีค่าอันใด คาดไม่ถึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เกี่ยวกับพวกเรา” พระภิกษุอ้วนโยนแผ่นหนังในมือให้ผู้มาอย่างไร้ความสนใจ
คุณชายหลี่ผู้นี้ก็คือหลี่ซุ่นซีที่ออกมาจากเมืองเลียบคีรี รอนแรมในเขตระหว่างจงหยวนกับแดนเหนืออยู่นาน ที่ติดตามด้านหลังเขาคือพี่น้องตระกูลหลิ่วที่หน้าตาอัปลักษณ์
ภูมิประเทศระหว่างแดนเหนือกับจงหยวนซับซ้อนยิ่ง มีแต่ป่าเขาลำเนาไพร หลี่ซุ่นซีโชคดี ประสบสภาพอับจนหลายครั้ง เจอพวกภูตผีปีศาจ โชคดีอาศัยทักษะตัวเองเอาตัวรอดได้ ก่อนพบเจอพี่น้องตระกูลหลิ่วที่โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งเหมือนกัน
เป็นเพราะมีอู๋โยวอ๋องเป็นศัตรูร่วมกัน ทั้งสามคนจึงร่วมทาง ระหว่างทาง ตอนที่ขอค้างแรมในวัดร้างแห่งหนึ่ง ได้พบพระภิกษุหัวโตหูใหญ่ที่เรียกตัวเองว่าพระอาจารย์ชิงฉุ่ย
“พระอาจารย์ชิงฉุ่ยฆ่าคนเร็วเกินไปแล้ว ถ้าหากละเว้นชีวิตพยานผู้นี้ พวกเราอาจทราบการเคลื่อนไหวต่อไปของอู๋โยวอ๋องจากปากของเขา” หลี่ซุ่นซีเอ่ยด้วยรอยยิ้มฝาดเฝื่อน
“พวกเราสู้กับจวนอู๋โยวมานาน ที่สมควรทราบก็ทราบทั้งหมดแล้ว โยมกับแม่นางน้อยตระกูลหลิ่วตามอาตมาอย่างเชื่อฟังก็พอ พอถึงสถานที่ก็จะทราบเอง อู๋โยวอ๋องทำกระทำผิดหลักทำนองคลองธรรม ขัดหลักการฟ้ามากมาย ผู้ที่มีจิตปณิธานร่วมกันที่คิดปราบเขามีจำนวนไม่น้อย” พระอาจารย์ชิงฉุ่ยภิกษุอ้วนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เพียงแต่พวกเราอ่อนแอ ต่อให้รวมพระอาจารย์ด้วย จะมีประโยชน์ใด” หลี่ซุ่นซีจนใจ
“นั่นไม่แน่นัก แม่นางน้อยตระกูลหลิ่วเชื่อใจโยมมาก… ของบางอย่างตอนนี้โยมไม่รู้ แต่ภายหลังจะค่อยๆ กระจ่างเอง” พระอาจารย์ชิงฉุ่ยมองพี่น้องตระกูลหลิ่วด้านหลังหลี่ซุ่นซีอย่างลึกล้ำ
ผู้เป็นน้องสาวก้มหน้าอย่างเขินอายอยู่บ้าง ผู้เป็นพี่สาวกลับแค่นเสียง จ้องน้องสาวคล้ายไม่พอใจยิ่ง
ถ้ามิใช่เพราะเด็กสาวนางนี้หลงหลี่ซุ่นซีหัวปักหัวปำ พวกนางไหนเลยจะแบ่งของที่ล้ำค่าที่สุดของครอบครัวออกมาครึ่งหนึ่ง เพื่อหลอมกับร่างหลี่ซุ่นซี รอจนพบก็สายไปเสียแล้ว
“เอาล่ะไปกันเถอะ ยอดฝีมือของจวนอู๋โยวอีกเดี๋ยวน่าจะไล่ตามมาถึงแล้ว พวกเราต้องรีบไปให้ถึงที่หมาย” พระภิกษุอ้วนเร่ง
“ก็ดี ถ้ามีสักวันข้าแก้แค้นได้จริงๆ จะต้องไม่ลืมบุญคุณพระอาจารย์ที่ชี้แนะหนทางในวันนี้” หลี่ซุ่นซีคำนับพระอาจารย์ชิงฉุ่ยอย่างนอบน้อม
“ไปเถอะๆ อย่าโอ้เอ้!” พระอาจารย์ชิงฉุ่ยกลับไม่รับการคารวะจากเขา หลังหลบการคารวะเสร็จ ก็สะบัดแขนเสื้อเดินไปไกล
หลี่ซุ่นซีหัวเราะหนักใจ หันไปมองพี่น้องตระกูลหลิ่ว
“แม่นางทั้งสองไปด้วยกันหรือไม่”
“อือ” หลิ่วไฉ่อวิ๋นรีบขานรับอย่างเขินอาย
หลิ่วไฉ่อวิ๋นกอดอกด้วยความโมโห สาวเท้าแซงหลี่ซุ่นซีไล่ตามพระภิกษุไป
…
ต้าซ่ง ถังจงศกปีที่เก้า ความปั่นป่วนของตระกูลเจินแห่งแดนเหนือสงบลง ตระกูลขุนนางไม่อยู่ ภูตผีค่อยๆ กำเริบเสิบสาน
แดนเหนือที่ไม่มีอาวุธเทพคอยสะกดไว้ ไร้กำลังรักษาความปลอดภัยตามปกติของเส้นทางการค้า ไม่ทันไรก็มีสัญญาณซบเซา ผลผลิตพิเศษเช่นขนและหนังจำนวนมากกองสะสม ไม่อาจขนส่งได้ จำนวนการนำเข้าธัญญาหารลดลง แดนเหนือค่อยๆ เริ่มเกิดวิกฤติธัญญาหาร ราคาสิ่งของในชีวิตประจำวันแต่ละอย่างพุ่งสูงขึ้น คนธรรมดาลำบากยากเข็ญ
เมืองเลียบคีรี หอคอยประกายทอง
ยอดหอคอยประกายทองที่สูงถึงเก้าชั้น ลู่เซิ่งสวมชุดขาว แขนเสื้อหลวมพัดพลิ้ว ทอดตามองไกลบนแท่นชมทิวทัศน์
ภายใต้ความสูงเช่นนี้ เมืองเลียบคีรีขนาดใหญ่อยู่ในสายตา เหมือนกับถาดทรายจำลองยักษ์ บ้านเรือนยอดหลังคาสีแดงกว้างไกลยึดครองทัศนวิสัยส่วนใหญ่ มีแค่ตึกอาคารโผล่ขึ้นมาอย่างโดดเด่น ส่วนใหญ่เป็นตึกสูงหอสูง ของประดับเช่นป้ายหิน
“ถ้ายังไม่เพิ่มการควบคุมภัยแล้งนี้ เกรงว่าจะร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ…” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงทุ้ม
ในห้องเล็กๆ บนยอดหอคอยด้านหลังของเขา หงหมิงจือถือตะเกียบกำลังค่อยๆ คีบอาหารบนโต๊ะ เคี้ยวอย่างละเอียดและกลืนลงช้าๆ
“ตอนนี้ปรากฏผู้อพยพแล้ว เรื่องแย่งชิงสิ่งของยิ่งมายิ่งมาก แต่ว่านี่สมควรเป็นเรื่องที่จวนขุนนางที่ว่าการกังวล พวกเราทำหน้าที่ของพวกเราไปก็พอ”
ลู่เซิ่งพยักหน้า หมุนตัวมา “ตระกูลซั่งหยางไม่ได้ใส่ใจแดนเหนือมากนัก ระยะเวลาที่คุณหนูซั่งหยางจิ่วหลี่พักอยู่ที่นี่ ตั้งแต่จัตุรัสแดงถอยไปเมื่อสองเดือนก่อนจนถึงตอนนี้ นางกับข้าไม่เคยเจอกันแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งหมดปิดด่านฝึกฝนวิชา”
เขาเอ่ยต่อ “นี่มีทั้งดีทั้งแย่ ดีคือไม่ต้องกังวลว่าจะถูกริบอำนาจ แย่คือมีเรื่องราวใด นอกจากที่คับขันสำคัญเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นตระกูลขุนนางที่พำนักอยู่ก็ไม่มีความแตกต่างอันใด”
“แบบนี้ไม่ใช่ดีกว่าหรือ” หงหมิงจือเอ่ย “พรรควาฬแดงของเรายึดครองแดนเหนือโดยสมบูรณ์ได้”
“เส้นทางการค้าหดเล็กลง ยึดครองผลประโยชน์ได้ไม่เท่าเมื่อก่อน มีประโยชน์อันใด ลู่เซิ่งส่ายหน้า “ศิษย์พี่ท่านพอไม่อยู่ในตำแหน่ง กลับไม่ยอมทำอะไรแล้ว”
“ไม่ใช่ไม่ทำอะไรแล้ว แต่ตอนนี้ข้ามีพลังไม่พอจริงๆ เมื่อไม่มีครอบครัวท้องถิ่นอย่างตระกูลเจินคอยจัดการ อย่างมากสุดตระกูลซั่งหยางก็รับประกันได้ว่าพรรควาฬแดงของพวกเราจะทำงานได้ตามปกติ แม้ว่าเรื่องภูตผีปีศาจที่เคยเกิดขึ้นในแต่ละวัน จะไม่มีแล้วก็ตาม พวกเราสุดท้ายก็เป็นคนธรรมดา ยังไร้ความสามารถ” หงหมิงจือประคองจอกสุราขึ้นจิบ
“ใช่แล้ว…ตระกูลซั่งหยางสุดท้ายก็เป็นแค่ตระกูลขุนนางจงหยวน…” ลู่เซิ่งพยักหน้า หลังจัตุรัสแดงถอยออกไป ผู้คุมจัตุรัสแดงยังไม่กลับมา คู่ต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุดในแดนเหนือของเขาก็มีแต่สตรีกางร่ม
หนึ่งเดือนก่อนหลังจากซั่งหยางจิ่วหลี่ไปจัตุรัสแดง เขาก็ออกตามหาจัวเหวินอวี่เพื่อติดต่อรวบรวมวัตถุมีปราณหยินอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายเหมือนหายตัวไป แสดงว่าถ้าไม่ถูกจัตุรัสแดงค้นพบ ก็เป็นตัวเขาไม่เหมือนในอดีต ตำแหน่งสถานะและระดับการเปิดเผยสูงเกินไป จัวเหวินอวี่จึงยอมแพ้แล้ว
กระถางใบเล็กนั้นอยู่ในมือลู่เซิ่งมาโดยตลอด เขาลองศึกษาดู ไม่มีการค้นพบอันใด จึงโยนใส่กล่องไม่ไปสนใจอีก
เพียงแต่เมื่อเป็นแบบนี้ แหล่งปราณหยินจึงขาดสะบั้น
“จริงด้วยศิษย์พี่ ของที่ข้าต้องการให้ท่านช่วยหามีเบาะแสแล้วหรือยัง” ลู่เซิ่งพลันถาม
“รวบรวมวัตถุโบราณหรือ…ข้าเจอหลายร้าน แต่ไม่ต่างจากที่ที่เจ้าเคยไปมากนัก ข้ากลัวว่าเจ้าจะยังไม่เจอที่ชอบ” หงหมิงจือส่ายหน้า
ลู่เซิ่งประกาศว่าตนชอบเก็บสะสมวัตถุโบราณ ก่อนหน้านี้จัดงานชุมนุมชมวัตถุโบราณ ยังคงไม่พบสิ่งใด
“งั้นหรือ…” เขารู้สึกว่าการตามหาโดยการหว่านแหเช่นนี้มีประสิทธิภาพต่ำเกินไป
“รายงาน!” ทันใดนั้นตรงประตูบันได พลพรรคสวมชุดรัดรูปคนหนึ่งพุ่งเข้ามาคุกเข่าข้างหนึ่ง
“เรียนประมุขพรรค เซียวหงเย่ ขุนนางนอกราชการเซียวจัดงานเลี้ยงสุรา ส่งเทียบเชิญมา”
“เซียวหงเย่หรือ” ลู่เซิ่งมีสีหน้างุนงง
ผู้ดูแลใหญ่แห่งจวนอู๋โยวผู้นี้อยู่ๆ จัดงานเลี้ยงสุรา ไม่ทราบคิดทำอะไร
“เอาเทียบเชิญมาดู” เขากล่าวราบเรียบ
พลพรรคคนนั้นเข้ามาส่งเทียบเชิญให้ลู่เซิ่งอย่างเคารพทันที
ลู่เซิ่งรับเทียบเชิญมาคลี่ดู เพียงเห็นด้านบนเขียนเนื้อหาที่เกี่ยวข้องส่วนหนึ่งไว้อย่างคร่าวๆ ต้องการเชิญเขาไปปรึกษาหารือ
เขาพับเทียบ ไตร่ตรอง
“คืนนี้ข้าจะไปพบคนผู้นี้ จวนอู๋โยว ขุมกำลังที่อยู่ระหว่างภูตผีปีศาจกับมนุษย์ค่อนข้างลึกลับ ก่อนหน้านี้ทั้งหมดเป็นการประชุมย่อยที่ต้องพูดตรงๆ ว่ามีเรื่องก่อนจึงค่อยปรึกษา งานเลี้ยงสุรานี้เป็นครั้งแรก กลับอยากเห็นว่าผู้ดูแลเซียวหงเย่คนนี้มีแผนการอะไร”
ตอนนี้เขาควบคุมพรรควาฬแดง มีอำนาจค่อนข้างมาก สนทนาปรึกษากับไป๋เฟิงเต้าหยิน รวมถึงเซียวหงเย่อยู่บ่อยๆ ปัญหาที่ตึงมือส่วนหนึ่ง ต่างเป็นพวกเขาผนึกกำลังจัดการ นี่ก็คือการประชุมย่อย
“ศิษย์น้องมีแผนการในใจก็ดีแล้ว” หงหมิงจือพยักหน้า
ลู่เซิ่งพยักหน้า
ทั้งสองคนพักผ่อนบนยอดหอคอยพักหนึ่ง ลู่เซิ่งจัดการภารกิจของพรรคที่เกี่ยวข้อง ใกล้ยามกลางอู่ ก็นั่งรถไปที่บ้าน
อาทิตย์ร้อนแรงลอยอยู่กลางท้องฟ้า อากาศเข้าสู่ฤดูร้อนโดยสมบูรณ์
ตระกูลลู่ปักหลักอย่างมั่นคงในเมืองเลียบคีรี หลังจากลู่เฉวียนอันได้ยินคำแนะนำของลู่เซิ่ง ก็ตุนธัญญาหารไว้ไม่น้อย ตอนนี้กลับกลายเป็นทองถังแรกสำหรับสร้างกิจการ อาศัยเงินจำนวนมหาศาลนี้เปิดร้านจำนวนมาก เป็นกิจการวัตถุดิบยา
ในแดนเหนือสินค้าวัตถุดิบยาไม่น้อยถูกตุนไว้ ที่ขนส่งมาได้มีน้อยนิด ราคาพุ่งสูง ตระกูลลู่ซื้อไว้เป็นจำนวนมหาศาล พรรควาฬแดงขาดแคลนวัตถุดิบยาที่จำเป็น ลู่เซิ่งแบ่งกิจการส่วนหนึ่งให้ตระกูลลู่ นับว่าพัฒนาได้ไม่เลว
ลู่เซิ่งโดยสารรถม้าในเมืองพักหนึ่ง ไม่ทันไรก็มาถึงคฤหาสน์ลู่
มีเด็กรับใช้มาต้อนรับทันที
“คุณชายใหญ่กลับมาแล้วหรือ!”
“ประมุขตระกูลเล่า” ลู่เซิ่งลงจากรถ ก่อนไถ่ถาม
……………………………………….