บทที่ 118 สงบมั่นคง (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 118 สงบมั่นคง (2)
“ประมุขตระกูลกำลังพักผ่อนในสวน” เด็กรับใช้รีบตอบ

ลู่เซิ่งพยักหน้า เดินเข้าไปในคฤ กลับงงงันไปในทันที

บนพื้นตรงกลางด้านหลังประตูใหญ่

ลู่อิงอิงซึ่งที่แล้วมาคุยกันน้อยยิ่ง ตอนนี้กำลังคุกเข่าบนพื้นโล่งกลางคฤหาสน์ อาทิตย์แผดเผาสาดส่อง กัดริมฝีปากอยู่เงียบๆ

รูปลักษณะขาวสะอาดของนาง ตอนนี้ถูกแดดส่องจนเหงื่อแตกเต็มตัว เสื้อผ้ารัดร่าง ด้านหลังเสื้อนอกสีน้ำเงินยังมีเกลือสีขาวขึ้นชั้นหนึ่ง นั่นเป็นผลจากที่เหงื่อถูกส่องจนแห้ง

“นี่คือ…?” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว เรียกผู้คุ้มกันคนหนึ่งด้านข้างมา “คุณหนูห้ากำลังทำอะไร”

ผู้คุ้มกันตอบอย่างจนปัญญา “คุณหนูห้าคบกับบัณฑิตคนหนึ่งในสถานศึกษา…เฮ้อ…” เขาชี้ที่ท้องอย่างคลุมเครือ

“พอตั้งท้อง บัณฑิตผู้นั้นก็หายตัวไป ได้ยินมาว่าถูกขังอยู่ในบ้าน ทางนั้นอย่างไรก็ไม่เห็นด้วย ยังด่าคุณหนูห้าสาดเสียเทเสีย…นายผู้เฒ่าทราบเรื่องก็โมโหดเดือดดาล ทะเลาะกันรอบหนึ่ง ยังบอกว่าไม่รู้จักบุตรีเช่นนาง ให้นางไสหัวไป…”

ลู่เซิ่งขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม ก่อนหน้านี้เขาได้ยินมาว่าลู่อิงอิงคบกับบัณฑิตคนหนึ่ง คล้ายกับมีชาติกำเนิดดียิ่ง เดิมนึกว่าทุกอย่างราบรื่น อย่างไรก็พบเจอวาสนาดีๆ กลับนึกไม่ถึงว่าจะมีสภาพเช่นนี้

“พอแล้ว เจ้าไปทำงานต่อเถอะ” ลู่เซิ่งทราบเหตุการณ์คร่าวๆ แล้ว ก็สาวเท้าเข้าห้องโถง เดินออกไปจากข้างโถงใหญ่ที่แขวนป้ายร่ำรวยเต็มโถง ก็เป็นสวนของตระกูลลู่

ลู่เฉวียนอันนั่งหน้าเขียวอยู่ตรงมุมหนึ่งของสวนดอกไม้ กำลูกกลมทองแดงสองก้อนเอาไว้ คลึงเล่นโดยไม่ขยับตัว

“ท่านพ่อ” ลู่เซิ่งก้าวยาวๆ เข้าไปนั่งลงบนม้านั่งหินตัวหนึ่งข้างๆ ลู่เฉวียนอัน “เรื่องของน้องห้าเป็นอย่างไร”

“เจ้ามาพอดี! เสี่ยวเซิ่ง น้องห้าของเจ้าคบหากับครอบครัวใหญ่ในเมือง ยังตั้งท้องให้เขา! เจ้าจะว่าอย่างไร! ว่าอย่างไร! สตรีบุปผาเหลือง[1]เป็นโสดยังไม่ทันออกเรือนก็ตั้งครรภ์ ท้องใหญ่ขึ้นทุกวันๆ ข้าจึงค่อยค้นพบ เมื่อวานตอนกลางวันแสกๆ อยู่ๆ ก็อาเจียนตอนไปเดินบนถนน ทั้งยังเป็นลม พอตรวจสอบจึงค่อยเจอว่าตั้งครรภ์ เรื่องนี้ตอนนี้กระจายไปทั่วแล้ว คนพูดกันว่าตระกูลลู่ของพวกเราเป็นตระกูลชั้นต่ำ ไม่อบรบส่งสอน ไม่มีกฎเกณฑ์ ลูกผู้หญิงในบ้านใจแตกใจง่าย!” ลู่เฉวียนอันพอพูดถึงเรื่องนี้ก็โกรธกริ้ว

“บัณฑิตผู้นั้นเล่า” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว “รู้ไหมว่าเป็นตระกูลใด”

“ตระกูลใดกลับรู้ ไม่รู้ว่าเป็นใคร! นางไม่พูด เป็นตายก็ไม่พูด บอกว่ากลัวจะทำให้อีกฝ่ายเสียชื่อเสียง!” ลู่เฉวียนอันโมโหตรงจุดนี้ที่สุด ชื่อเสียงของคนอื่นเป็นชื่อเสียง แล้วชื่อเสียงของตระกูลลู่ไม่ใช่หรือ ยังไม่ทันออกเรือนก็เข้าข้างแต่อีกฝ่ายแล้ว

“แต่ว่าสตรีนางหนึ่งอุ้มท้อง ให้นางคุกเข่าใต้ดวงอาทิตย์ ไม่ค่อยดีกระมัง?” ลู่เซิ่งถามเบาๆ

“เสี่ยวเซิ่งตอนนี้เจ้าน่าจะเป็นคนมีความสามารถมาก ในเมืองเลียบคีรีแห่งนี้ข้าไม่ทราบว่าเจ้ามีความสามารถขนาดไหน แต่ว่าก่อนหน้านี้ที่ให้ข้าตุนธัญญาหาร สายตาแบบนี้จะต้องไม่แย่แน่ เจ้าจงช่วยข้าตรวจสอบ ดูว่าคนชั่วคนไหนทำร้ายบุตรีของข้าลู่เฉวียนอัน! ถึงตระกูลลู่จะเล็ก แต่ไม่ใช่ข่มเหงได้ง่าย!” ลู่เฉวียนอันเดือดดาลแล้ว

“ให้ข้าจัดการเถอะ” ลู่เซิ่งพยักหน้า

ในบ้านก็วุ่นวาย ที่แล้วมาดรุณีเช่นลู่อิงอิงไร้น้ำใจ เห็นแก่ตัว กลับคิดไม่ถึงว่าถูกคนเอาเปรียบจนตั้งท้อง ได้ง่ายดายปานนี้

หลังกินอาหารเที่ยง เขากลับห้องนอนของตัวเองทำสมาธิฝึกฝน กินผงยาและยาลูกกลอนที่พรรคบรรณาการให้ ฝึกฝนวิชากำลังภายในต่อ

เป็นเพราะใช้ปราณหยินไปจนหมดสิ้น เขาได้แต่ฝึกฝนวิชากำลังภายใน นับว่าทำให้พลังยุทธ์มั่นคง

ทางด้านวิชาแข็งกร้าว หลังจากเขาฝึกฝนวิชาแข็งกร้าวสี่วิชา เช่นวิชาด้ายทองจนสำเร็จ ภายหลังก็ฝึกวิชาแข็งกร้าววิชาอื่นต่อ วิชาเสาสมบัติกลับไม่มีประสิทธิผลแล้ว

เขาศึกษาอย่างละเอียด แล้วพบว่า หลังจากฝึกวิชานี้ถึงระดับหนึ่ง การกระตุ้นที่จำเป็นในกระบวนการฝึกฝนวิชาแข็งกร้าววิชาอื่นไม่มีประโยชน์ต่อตัวเองโดยสิ้นเชิงแล้ว

วิชาแข็งกร้าววิชาหนึ่งในนี้คิดฝึกถึงขอบเขตสูงสุด จำเป็นต้องใช้แส้เหล็กเฆี่ยนตีตัวเอง แต่สำหรับลู่เซิ่งในตอนนี้ เฆี่ยนจนแซ่ขาดก็ไม่มีอันตรายแม้แต่น้อย

ยังมีหัตถ์เมฆาทิ่มแทง หลังสำเร็จแล้วเมื่อฟาดฝ่ามือใส่แผ่นเหล็กที่มีแต่หนามแหลม สามารถหักหนามเหล็กได้

แต่ลู่เซิ่งตอนนี้แค่ประทับหนึ่งฝ่ามือ ไม่ต้องพูดถึงหนามเหล็ก แผ่นเหล็กก็ถูกกระแทกเป็นรอยมือ

ขอบเขตที่วิชาแข็งกร้าวนี้บรรลุถึงได้ไร้ประโยชน์ต่อเขาแล้ว

ตอนนี้เขาฝึกฝนวิชาก็เพื่อทำความเข้าใจและเสริมความมั่นคง ความจริงวิทยายุทธ์ทั่วไปเขาฝึกจนไม่มีอะไรจะฝึกแล้ว

เมื่อวิชาแข็งกร้าวหมดประโยชน์ ลู่เซิ่งก็เริ่มทดลองศึกษาวิชาเดินลมปราณกำลังภายในที่สะสมในพรรค เพื่อจะได้เลื่อนระดับวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานระดับเก้าได้สะดวก

น่าเสียดาย เมื่อบรรลุถึงระดับพลังยุทธ์ของเขา คิดจะเข้าสู่ระดับถัดไป เขารู้สึกว่าปราณหยินที่จำเป็นต้องใช้มีมากเกินไปจริงๆ วัตถุมีปราณหยินทั่วไปสองชิ้นไม่พอแล้ว นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่เขาทดลองตามหาวัตถุมีปราณหยินอย่างต่อเนื่อง

หลังจากทำภารกิจและดำเนินการฝึกฝนในแต่ละวันเสร็จสมบูรณ์ ลู่เซิ่งก็ค่อยๆ ลุกขึ้น

เฉี่ยวเอ่อร์ทำน้ำแกงเหมยเปรี้ยวแช่น้ำแข็งมาให้เขาโดยเฉพาะ

“คุณหนูห้ายังคุกเข่าอยู่หรือ” เขาถามอย่างขอไปที

“ยังคุกเข่าอยู่…” เฉี่ยวเอ๋อร์มีสีหน้าไม่อาจอดกลั้น “นายผู้เฒ่าสั่งคำสั่งเด็ดขาด ไม่ให้ผู้ใดเข้าไปช่วย นางอยากคุกเข่าก็ให้นางคุกเข่าจนตายอยู่ตรงนั้น”

ลู่เซิ่งส่ายหน้า “เจ้าเอาน้ำไปให้คุณหนูห้า บอกว่าเป็นความประสงค์ของข้า”

เฉี่ยวเอ๋อร์พลันยินดี

“เจ้าค่ะ!” นางทนดูไม่ได้แต่แรกแล้ว สตรีอุ้มท้องนางหนึ่งคุกเข่ากลางแดดจ้า นี่จะทำให้นางคุกเข่าจนแท้งเลยหรือ

ทว่าในเมื่อลู่เซิ่งกล่าววาจาแล้ว ประมุขตระกูลคงไว้หน้าเขาบ้าง อย่างไรก็เป็นคุณชายใหญ่ที่มีอำนาจบารมีตามความเป็นจริงมากที่สุดของตระกูลลู่

เฉี่ยวเอ๋อร์วางน้ำแกงเหมยเปรี้ยว รีบวิ่งออกไป ลู่เซิ่งส่ายหน้าอย่างหมดคำพูด ประคองถ้วยขึ้นซดรวดเดียวหมด

เขาพักผ่อนเล็กน้อย ก่อนออกจากคฤหาสน์ โดยสารรถไปยังจวนเซียวที่เซียวหงเย่พักอยู่

เขาอยู่ในฐานะตัวแทนของตระกูลซั่งหยาง เซียวหงเย่เป็นตัวแทนของจวนอู๋โยว ส่วนไป๋เฟิงเต้าหยินเป็นหัวหน้าขุนนางตรวจสอบของราชวงศ์แห่งราชสำนัก

ทั้งสามคนกำหนดความมั่นคงส่วนใหญ่ของแดนเหนือได้ ดังนั้นงานประชุมเช่นนี้มีไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย

ลู่เซิ่งยังไม่ทันถึงจวนเซียว ก็ได้ยินเสียงบรรเลงขลุ่ยดังมา รอจนถึงหน้าจวน เซียวหงเย่พาอนุของตนมาต้อนรับด้วยตัวเอง

“น้องลู่รีบเข้ามา! ข้ากับไป๋เฟิงเหล่าเต้ารอท่านจนกับข้าวเย็นหมดแล้ว” คนอ้วนแซ่เซียวตัดพ้อด้วยรอยยิ้มกว้าง

“ขุนนางนอกราชการเซียวล้อเล่นแล้ว เหตุใดข้าจะกล้าให้ท่านกับไป๋เฟิงเหล่าเต้ารอนาน” ลู่เซิ่งตอบด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “เข้าไปก่อนค่อยว่ากัน”

ทั้งคู่เข้าประตูจวน ทะลุระเบียง เข้าไปในห้องเล็กๆ ที่อยู่ในสุด ภายใต้การคุ้มครองของข้ารับใช้พร้อมกัน

ไป๋เฟิงเหล่าเต้ารออยู่ในห้องเล็กมานานแล้ว นอกจากเขา มีบุรุษวัยเยาว์ผมยาวที่คิ้วดุจกระบี่ตาดุจดวงดาวนั่งบนที่นั่งคนหนึ่ง คนผู้นี้มองดูลู่เซิ่งเข้าประตูมา สีหน้าลำพอง ต่อให้อยู่ต่อหน้าเซียวหงเย่ ก็ยังไม่สนใจ เหมือนไม่เห็นคนทั้งสองอยู่ในสายตา

“รีบนั่งๆ!” ไป๋เฟิงรีบลุกขึ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ท่านผู้นี้คือ” ลู่เซิ่งมองบุรุษหนุ่มผู้นั้น งานประชุมย่อยของพวกเขาสามคนให้คนนอกเข้ามาร่วม จะต้องมีเหตุผล

“ท่านนี้คือยอดฝีมือมรรคากระบี่ที่เดินทางไปทั่วแว่นแคว้น หลิงเฟิง คุณชายหลิง” ไป๋เฟิงเหล่าเต้าแนะนำ “แม้คุณชายหลิงจะมาจากตระกูลหลิงที่ขึ้นชื่อด้านวิชาดาบ แต่ว่าวิชากระบี่ด้ายเงินมีอานุภาพไม่ธรรมดา กำลังท้าสู้ปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงทั่วทิศ ได้ยินว่าพี่ลู่มีวิชาดาบเหนือคน เอาชนะประมุขพรรคหงหมิงจือยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือในอดีตได้ ดังนั้นจึงตั้งใจมาขอคำชี้แนะ”

ในใบหน้ายิ้มแย้มของไป๋เฟิงเหล่าเต้าคล้ายซ่อนบางสิ่งที่ไม่ชัดเจนเอาไว้

ลู่เซิ่งจิตใจตึงเครียด เขาความจริงไม่ใช่สายเลือดตระกูลขุนนาง หากแต่เป็นคนธรรมดาที่ไต่เต้าขึ้นมาทีละก้าวๆ

ที่แล้วมาเขาเป็นห่วงอยู่บ้างว่าจะถูกคนพบความลับ เกิดมีคนพบว่าเขาเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดที่ฝึกอย่างหนักจากคนธรรมดา ทั้งต่อสู้กับคนของตระกูลขุนนางได้ ผลลัพธ์และปฏิกิริยาที่จะตามมาแทบไม่อาจคาดเดา

ตอนนี้ไป๋เฟิงหาคนมาคนหนึ่ง บอกว่าต้องการท้าสู้กับเขา นี่ไม่อาจไม่ทำให้เขาเดาว่าไป๋เฟิงค้นพบสิ่งใดแล้วหรือไม่

“ประมุขพรรคลู่” หลิงเฟิงผู้นั้นค่อยๆ ลุกขึ้น มือกำด้ามกระบี่ด้านหลัง “ได้ยินชื่อราชากระบี่แดนเหนือมานาน แม้จะเป็นแค่คนธรรมดา แต่ก็คงมีจุดที่น่าชื่นชมบ้าง คิดไม่ถึงพริบตาเดียวจะมีท่านมาแทนที่ แต่ก็พอดีที่เราสองเป็นสายเลือดตระกูลขุนนาง จะได้ตัดสินอย่างยุติธรรม ไม่ทราบท่านมีความเห็นอย่างไร”

ลู่เซิ่งมองคนผู้นี้ แม้มีใบหน้าดูถูกดูแคลน แต่การเคลื่อนไหวกลับมีกลิ่นอายระแวดระวัง ไม่ได้ทะนงตนอย่างที่แสดงออกภายใน ยิ่งแน่ใจกว่าเดิม

“คุณชายหลิงมีวิชากระบี่เลิศล้ำ น่าเสียดายข้าไม่ใช้กระบี่” เขากล่าวราบเรียบ

“ประมุขพรรคลู่เหตุใดต้องบอกปัด ข้าเดินทางมา ท้าสู้คนดังไม่ต่ำกว่าร้อยคน ได้ยินว่าเยื่อดำของประมุขพรรคลู่เป็นสีสันที่หายากยิ่ง จึงมาขอให้ชี้แนะ หรือว่าท่านไม่คิดสู้ นี่ไม่ใช่ลักษณะที่ประมุขของพรรคควรมี” หลิงเฟิงเอ่ยเสียงทุ้ม กลิ่นอายบนร่างคมกริบกว่าเดิม เหมือนกับกระบี่ออกจากฝัก ความคมกล้าอันลุ่มลึกเข้มข้นคุกคามคนอยู่บ้าง

“เพียงแค่ประกระบวนท่าเท่านั้น น้องลู่ให้พวกเราได้เห็นท่วงท่าสง่างามของศึกใหญ่ในตอนนั้นหน่อย” เซียวหงเย่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“มิผิดๆ ได้ยินมานานแล้วว่าวิชาดาบเปลี่ยนอาทิตย์ของน้องลู่เกรี้ยวกราด อานุภาพกล้าแข็ง ครั้งนั้นได้แต่ชมศึกอยู่ไกลๆ ไม่มีโอกาสที่สองได้ชมดูดีๆ” นักพรตไป๋เฟิงกล่าวตาม

“ประมุขพรรคลู่มีความเห็นใด” หลิงเฟิงมองลู่เซิ่งด้วยสองตาที่ดุดัน

ลู่เซิ่งมองเซียวหงเย่และไป๋เฟิง จากนั้นมองมือที่กำกระบี่ของหลิงเฟิง ไตร่ตรองเล็กน้อย

“เอาเถอะ ในเมื่อท่านพี่ทั้งสองอยากเห็นวิชาดาบที่ข้าถนัด ผู้แซ่ลู่จะประกระบวนท่ากับพี่หลิงสักหน่อยก็ได้”

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกเราไปลานฝึกด้านล่างกัน ด้านล่างจวนของผู้แซ่เซียวขุดลานฝึกใหญ่ไว้ลานหนึ่งสำหรับใช้ฝึกวิทยายุทธ์โดยเฉพาะ วันนี้ได้ใช้งานพอดี” เซียวหงเย่เสนอทันที

“ไม่ต้องแล้ว” ลู่เซิ่งหมุนตัว มองหลิงเฟิงพร้อมยิ้มเล็กน้อย “อย่างไรก็ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งกระบวนท่า เอาตรงนี้นี่แหละ”

“!” หลิงเฟิงงุนงง ขนลุกชูชันทันที เหมือนกับโดนสัตว์ร้ายที่น่ากลัวจดจ้อง เขาแตกตื่น กระทืบพื้นหลบไปทางซ้าย

ตูม!

เงามือสีดำขนาดมหึมากดลงบนศีรษะของเขา

จบสิ้นแล้ว!

ความคิดนี้แวบผ่านในใจเขาเป็นครั้งสุดท้าย

ตูม!

กำแพงห้องเล็กกลายเป็นรูใหญ่ ลู่เซิ่งจับศีรษะหลิงเฟิงด้วยมือข้างเดียว แล้วทุบอีกฝ่ายกับกำแพงหินที่แข็งแกร่ง ไขสมองกับเลือดระเบิดออก สาดกระจายเต็มพื้น

ฟู่ว…

มือขวาของเขาขยายจนเป็นสองเท่าของคนธรรมดา ไม่เหมือนกับมนุษย์ กระฉากหลิงเฟิงออกมาจากกำแพง

“ดูสิ จบเสียแล้ว” ลู่เซิ่งยิ้มพร้อมมองไป๋เฟิงเหล่าเต้า แลบลิ้นออกมาเลียเลือดที่กระเซ็นใส่ริมฝีปาก

ไป๋เฟิงนั่งบนที่นั่ง กำที่รองแขนแน่น รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ แข็งทื่อ

หลิงเฟิงตายแล้ว

รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าเซียวหงเย่เช่นกัน แม้เป็นแค่ลูกหลานตระกูลขุนนางที่ตกต่ำซึ่งท้าสู้ไปทั่ว แต่สุดท้ายก็เป็นคนของตระกูลขุนนาง ลู่เซิ่งคิดสังหารก็สังหาร ไม่มีความกริ่งเกรงแม้แต่น้อย

เยื่อดำของหลิงเฟิงถึงขั้นไม่อาจถ่วงเวลา ราวกับไม่คงอยู่ ถูกลู่เซิ่งใช้พละกำลังอันมหาศาลทำลาย เมื่อไม่มีเยื่อดำ ก็ไม่มีร่างอมตะ

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ หลิงเฟิงตายไปแล้ว แต่ตายเร็วเกิน ถึงขั้นที่พวกเขาไม่ทันเห็นเส้นสนกลในของลู่เซิ่งก็จบเห่แล้ว

“ประมุขพรรคลู่…สมกับเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ โฮ่ๆๆ…” เซียวหงเย่หัวเราะเสียงประหลาด ทำลายความกระอักกระอ่วน

“วาจานี้พูดเฉยๆ ได้อยู่ แต่ถ้าแพร่หลายออกไปคงโดนหัวเราะจนฟันหัก” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างถ่อมตัว ชักมือกลับ เช็ดของสกปรกกับเสื้อผ้าของหลิงเฟิง

……………………………………….

[1] สตรีบุปผาเหลือง หมายถึง ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงาน