บทที่ 119 จัดการ (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 119 จัดการ (1)
บอกว่าเขาลู่เซิ่งเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในหมู่คนธรรมดาอาจยังได้ แต่ว่าในสถานการณ์ที่มีซั่งหยางจิ่วหลี่คอยสะกดอยู่ ยังมีคนหน้าเนื้อใจเสือที่ไม่ทราบเบื้องลึกเบื้องหลังอยู่ตรงหน้าสองคน แล้วเขานึกว่าตัวเองเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแดนเหนืออันใด คงเสียสติไปแล้วจริงๆ

“พวกเราเปลี่ยนสถานที่พูดคุยเถอะ” เซียวหงเย่เสนอ

ทั้งสามคนเปลี่ยนห้องอย่างรวดเร็ว หลิงเฟิงที่ตายไปไม่มีใครพูดถึงอีก รอจนพวกเขาจากไป พริบตาเดียวก็กลายเป็นฝุ่นดำลุกไหม้หมดสิ้น

หลิงเฟิงอย่างน้อยมีพลังระดับทวิลักษณ์ ตอนที่ลู่เซิ่งคว้ามือเขา รู้สึกว่าเหมือนจับสิ่งมีชีวิตคล้ายปลาที่ลื่นไหลสุดขีด เขาพอออกแรง วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานก็พุ่งเข้าไปในตัวอีกฝ่าย ผลพิเศษได้แก่การกระแทกกับตาข่ายโลหิตที่ทำงานพร้อมกัน ตรึงหลิงเฟิงให้อยู่กับที่

หมายความว่า ถ้าเกิดยอดฝีมือทั่วไปถูกเขาจับได้ เมื่อผลพิเศษสองอย่างปะทุ ก็หนีไม่รอดแล้ว

หลิงเฟิงเป็นเช่นนี้ ยังไม่ได้แสดงพลังออกมา ก็ถูกลู่เซิ่งฉวยโอกาสฆ่าตายในฝ่ามือเดียว

เขาดูเหมือนโดนขยี้กะโหลกตาย แต่ความจริงแล้วตาข่ายปราณภายในจำนวนมากของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานกระจายในร่างกายแต่แรก ไม่มีปราณภายใน อาศัยเพียงพละกำลังอันมหาศาลของวิชาแข็งกร้าว ไม่อาจฆ่าการดำรงอยู่ของระดับพันธนาการ จำเป็นต้องประสานทั้งสองสิ่ง มีแต่วิชากำลังภายในธาตุหยางจึงบังเกิดผลสังหารอีกฝ่ายได้

ทั้งสามคนเปลี่ยนเป็นสถานที่ที่คล้ายห้องเก็บสะสม รูปสลักบุปผา วิหค แมลง มัจฉา หลากหลายรูปวางเต็มห้อง ทั้งหมดเป็นรากไม้แกะสลัก รูปร่างพิลึกกึกกือ สมจริงราวมีชีวิต

“โฮ่ๆๆ ข้ามีความสนใจสะสมของเหล่านี้ ทั้งสองท่านอย่าได้หัวเราะเยาะ” เซียวหงเย่ใช้พัดพับบังปากไว้ กล่าวพลางหัวเราะ

“หามิได้ ขุนนางนอกราชการเซียวมีงานอดิเรกเฉพาะตัว คิดไม่ถึงยังเป็นยอดฝีมือด้านรากไม้แกะสลัก” ลู่เซิ่งยิ้มพลางชมเชยหลายประโยค เขาดูลักษณะจำเพาะอันแปลกประหลาดของเซียวหงเย่ออกจากรากไม้แกะสลักเหล่านี้ บวกกับดูออกจากรายละเอียดว่า เพิ่งแกะสลักได้ไม่นาน ซ้ำยังเป็นฝีมือคนคนเดียวกัน จึงเดาออกได้ไม่ยากว่าเซียวหงเย่แกะสลักด้วยตัวเอง

“ประมุขพรรคลู่ชมเกินไปแล้ว” เซียวหงเย่หยีตา จากนั้นก็โบกมือให้หญิงรับใช้ ข้ารับใช้ที่อยู่รอบๆ ถอยไป

รอจนทุกคนออกไปแล้ว ในห้องสะสมก็เหลือแค่พวกเขาสามคน เขาปิดประตูหน้าต่าง ค่อยบอกให้ทั้งสองคนนั่งลงพูดคุยกัน

“จะว่าไป ครั้งนี้ที่เชิญทั้งสองท่านมา ก็เพื่อปรึกษาเรื่องพิธีกรรมต่อจากนี้” เขายิ้มกว้างเอ่ยเสียงเบา

“พิธีกรรม” ไป๋เฟิงเหล่าเต้าขมวดคิ้ว “ใกล้จะเริ่มแล้วสินะ ไม่ใช่สิบปีมีครั้งหนึ่งหรอกหรือ”

“นี่ไม่ใช่กำลังปรึกษากันล่วงหน้าหรอกหรือ” เซียวหงเย่พูดด้วยรอยยิ้ม มองดูลู่เซิ่ง “ประมุขพรรคลู่ เรื่องนี้ต้องให้ท่านร่วมมือเต็มที่ ท่านเตรียมตัวเป็นคนแรก มีแผนการอะไรบ้าง”

พิธีกรรมอันใด

ลู่เซิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง จิตใจกลับสับสน ไม่ทราบว่าเป็นพิธีกรรมอันใด คล้ายกับเป็นความรู้ทั่วไปที่คนทุกคนซึ่งเป็นลูกหลานตระกูลขุนนางต่างทราบ ดูจากคำพูดของคนทั้งสอง คล้ายยังเป็นความรู้ทั่วไปที่ปกติธรรมดาที่สุด

“ข้ามีแผนการอะไร ยังไม่ใช่ขึ้นอยู่กับความคิดของท่านทั้งสองดอกหรือ” เขาจิตใจหวั่นไหว กล่าววาจากำกวม

“อีกหกเดือนจะเป็นพิธีกรรมของจวนอู๋โยว หากไม่เร่งรีบ ก่อนหน้านี้สิ้นเปลืองกับการเซ่นสรวงเลือดให้ภัยพิบัติมังกรสีชาดไปมาก ประมุขตระกูลของข้าเผยตัวแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับสองท่าน ไม่อาจก่อคลื่นลมใหญ่เกินไป” เซียวหงเย่ยิ้มกว้าง “พวกเราจวนอู๋โยว ยินดีใช้เม็ดเงินปลอมหนึ่งร้อยเม็ดเป็นค่าใช้จ่าย สำหรับค่าตอบแทนรวมในครั้งนี้”

“เม็ดเงินปลอม!” ไป๋เฟิงพลันอุทาน สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “ทั้งยังมีจำนวนมาก ประมุขจวนอู๋โยวกลับใจกว้างนัก”

ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าเป็นเม็ดเงินปลอมอันใด แต่ไม่เป็นอุปสรรคให้เขาแสร้งทำท่าทางหวั่นไหว

เซียวหงเย่คล้ายพอใจกับสีหน้าที่ทั้งสองแสดง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ครั้งนี้จำเป็นต้องใช้คนที่มีสิบนิ้วไร้เล็บแต่กำเนิดอย่างน้อยสิบคน ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก สิ่งมีชีวิตทั่วไปหนึ่งร้อย หลักๆ แล้วไม่อาจก่อการรุนแรงเกินไป”

“นี่นับเป็นจำนวนมาตรฐานแล้ว ข้าไม่มีความเห็น” ไป๋เฟิงแสดงท่าที นี่บ่งบอกว่าราชสำนักที่อยู่เหนือขุนนางไม่มีข้อโต้แย้ง

เซียวหงเย่ย้ายสายตาไปที่ตัวลู่เซิ่ง

ลู่เซิ่งคาดเดาไว้แล้ว เขาเรียบเรียงคำพูด ถามเนื้อหาที่คล้ายไม่มีความเกี่ยวข้องมากนัก

“คนที่ต้องการ ไม่ว่าใหญ่เล็ก หมายความว่าอย่างไร”

เซียวหงเย่ยิ้ม

“อ้อ นี่เป็นคนแก่หรือเด็กก็ได้ ใช้แค่เลือดหัวใจหนึ่งหยด ดังนั้นจำนวนไม่สำคัญ”

ลู่เซิ่งเข้าใจแล้ว

จวนอู๋โยวกำลังหาคนมาเซ่นสรวง! นี่เป็นเรื่องฆ่าคน! เลือดจากหัวใจ เอาเลือดจากหัวใจ นั่นไม่ใช่ฆ่าคนแล้วเป็นอะไร

เขาพิจารณาสีหน้าของเซียวหงเย่กับไป๋เฟิงเหล่าเต้า เห็นทั้งสองทำท่าเหมือนมีเหตุมีผล คล้ายกับสนทนาว่าวันนี้ตอนเที่ยงจะกินอะไร คล้ายกับชีวิตคนในคำพูดไม่ใช่คน หากแต่เป็นสัตว์ที่รอถูกเชือด

เซียวหงเย่อธิบาย “ก่อนหน้านี้ข้านำคนจากแคว้นเมฆามาร้อยคน แต่ว่าระหว่างทางถูกหนอนตัวน้อยส่วนหนึ่งสกัดไว้ ไม่อย่างนั้นครั้งนี้ไม่ต้องหาที่นี่แล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ต้องให้ประมุขพรรคลู่ใช้ความคิดมากๆ…”

“นักโทษประหารชีวิตกับอาชญากรได้หรือไม่” ลู่เซิ่งถามเสียงขรึม

“แน่นอนว่าได้ นี่ดีที่สุด ไม่เกิดปัญหาง่ายๆ แต่ว่าคนที่มีสิบนิ้วไร้เล็บไม่ได้หาง่ายนัก” ไป๋เฟิงเสริมด้วยรอยยิ้ม

“เอาล่ะประมุขพรรคลู่ กล่าวตรงๆ เถอะ ท่านเป็นหัวหน้า เม็ดเงินปลอมเจ็ดสิบเม็ดเป็นอย่างไร” เซียวหงเย่เร่ง

ลู่เซิ่งถอนใจเงียบๆ เขาที่แล้วมาไม่ใช่คนใจอ่อน แต่ว่าจะให้เขาไปทำลายชีวิตคนโดยไร้สาเหตุเพื่อพิธีกรรมหรือ เขาสำนึกตัวว่าไม่ได้เลวถึงขั้นนั้น

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าปฏิเสธ ก็จะเป็นการล่วงเกินจวนอู๋โยว หนำซ้ำดูจากการแสดงออกของไป๋เฟิง คล้ายกับนี่ยังเป็นเรื่องที่ตระกูลขุนนางทั้งหมดรู้สึกธรรมดายิ่ง สุดท้ายก็หลีกเลี่ยงไม่ได้

ตอนนี้เขาสังเกตเห็นว่า เซียวหงเย่กับไป๋เฟิงเริ่มแสดงสีหน้าประหลาดใจ ทราบว่าเขาลังเลนานเกินไป ทำให้ทั้งสองคนสงสัยบ้างแล้ว จึงกล่าว

“คนที่มีสิบนิ้วไร้เล็บข้าไม่กล้ารับประกัน แต่จำนวนคนร้อยคนข้ามอบให้ได้” เขาวางแผนลงมือกับโจรในคุก หรือไม่ก็ไปหาคนที่ทำเรื่องชั่วขัดหลักกฎหมาย จำนวนมีมากขนาดนี้สุดท้ายสามารถรวบรวมได้ร้อยคนแน่

“เช่นนี้ก็ได้” เซียวหงเย่ค่อยละสายตาจากตัวลู่เซิ่ง “เช่นนั้นทุกๆ สิบปีหลังจากนี้ให้กำหนดตามนี้หรือ”

“ทางข้าไม่มีความเห็น ขอแค่สิ่งที่จวนอู๋โยวสมควรมอบให้ไม่บกพร่องก็พอ” ไป๋เฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม

ลู่เซิ่งยิ้มเล็กน้อย

“ได้ แต่ด้านค่าตอบแทนย่อมไม่แน่นอน”

“นี่ย่อมแน่นอน” เซียวหงเย่พลันหัวเราะโฮ่ๆ “ไม่ทราบประมุขพรรคลู่ใช้ต้องใช้เวลากี่วัน อีกสองเดือนจวนข้าค่อยจัดพิธี”

“ข้าจะดำเนินการโดยเร็วที่สุด” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “ขุนนางนอกราชการเซียวเตรียมเม็ดเงินปลอมไว้ก็พอ”

“วางใจๆ”

หลังจากตกลงเรื่องนี้ ทั้งสามคนคุยกันต่อพักหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นเซียวหงเย่กับไป๋เฟิงคุยกัน ลู่เซิ่งเพียงรับฟัง บางครั้งถูกถามค่อยแสดงความเห็นของตัวเอง

หลังจากสนทนาอย่างเจาะลึก เขาก็พอฟังเข้าใจแล้ว

พิธีกรรมที่ว่าก็คือพิธีกรรมที่พวกตระกูลขุนนางจำเป็นต้องทำทุกๆ สิบปี ใช้ชีวิตคนเซ่นสรวงอาวุธเทพที่ตัวเองบูชา ถ้าไม่เซ่นสรวง จะทำให้พลังของลูกหลานตระกูลขุนนางอ่อนแอ ความสามารถของตนเองก็ลดลง

ลู่เซิ่งคอยหลอกถาม จนได้ความว่าขอแค่บูชาอาวุธเทพ ศัสตรามาร ก็จำเป็นต้องจัดพิธีกรรม ไม่มีข้อยกเว้น

ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นตระกูลขุนนางหรือขุมกำลังมารปีศาจ ต่างก็รักษาความรุ่งเรืองสงบสุขของดินแดนในการปกครองของตนเอง เพื่อที่ประชากรจะได้เพิ่มมากกว่าเดิม สามารถหาคนสำหรับพิธีกรรมได้ตลอดเวลา

ถึงอย่างไรเงื่อนไขพิเศษที่พิธีกรรมต้องใช้ก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ตอนทราบคำตอบ ลู่เซิ่งก็เข้าใจโดยสมบูรณ์แล้ว

ตระกูลขุนนางเดิมเป็นภูตผีปีศาจที่ห่มหนังมนุษย์ พวกเขาเห็นคนธรรมดาเหมือนกับสุกร แพะ หรือไม่ก็ดีกว่าปศุสัตว์เช่นสุกร แพะเล็กน้อย

ทั้งสามคนคุยกันพักหนึ่ง ไป๋เฟิงเหล่าเต้าก็บอกลาจากไปก่อน เหลือลู่เซิ่งกับเซียวหงเย่

เซียวหงเย่เรียกหญิงงามมาอยู่ด้วย ยื่นมือหนึ่งเข้าไปลูบใต้กระโปรงของหญิงสาวอย่างไร้ข้อกริ่งเกรง นั่งเคียงไหล่กับลู่เซิ่งในห้องเล็ก รับชมหญิงรับใช้เต้นระบำ

เสียงเพลงไพเราะเสนาะหู ไม่ทราบว่าเป็นเครื่องดนตรีอะไรบรรเลง ลู่เซิ่งรู้สึกเหมือนดรุณีขับขานอย่างอ่อนละมุน เหมือนกับเสียงขณะน้ำฝนหรือน้ำค้างกระทบพื้น

เขานั่งอยู่บนที่นั่ง สตรีร่างสะโอดสะองที่หน้าอกหน้าใจอวบอิ่มนั่งพิงอยู่ข้างตัว แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะน่ารัญจวน แต่เขากลับไม่มีกะใจหาความสำราญแม้แต่น้อย มีแต่ความเย็นเยียบในใจ

“น้องลู่ สาวงามหญิงรับใช้ของที่นี่ต่างเป็นสิ่งของที่ถูกจัดการมาก่อน ถ้าน้องลู่ถูกใจคนไหนก็เลือกได้เลยตามใจชอบ” เซียวหงเย่โบกมือ เอ่ยอย่างใจกว้าง

“ท่านพี่ล้อเล่นแล้ว ผู้แซ่ลู่ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ มรรคายุทธ์จึงเป็นความปรารถนาชั่วชีวิตของข้า เรื่องหยุมหยิมอื่นๆ เรื่องไร้สาระ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ

ถึงแม้เขาไม่เข้าใจว่าเคยจัดการมาก่อนหมายถึงอะไร แต่มองสตรีในนี้ ต่างสองตาไร้ประกาย พูดอะไรก็เชื่อฟัง เหมือนกับตุ๊กตาที่ขยับได้เอง ก็พอเข้าใจคร่าวๆ ว่าคืออะไร

“ปัจจุบันบุคคลที่บริสุทธ์ผุดผ่องเช่นน้องลู่หายากแล้ว ไม่น่าอายุน้อยขนาดนี้ก็ก้าวสู่ระดับตรีลักษณ์ได้แล้ว” เซียวหงเย่ถอนใจเอ่ย เขาประคองสุราเลิศรส คารวะลู่เซิ่งจอกหนึ่ง

“ท่านพี่ชมเกินไปแล้ว” ลู่เซิ่งยกจอกคารวะตอบ

“จะว่าไปที่ครั้งนี้รั้งตัวน้องลู่ไว้โดยเฉพาะ ความจริงมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งอยากสนทนากับน้องลู่” เซียวหงเย่กล่าว สีหน้าจริงจัง

“โปรดบอก” ลู่เซิ่งเดาออกแต่แรกว่าเซียวหงเย่ยังมีธุระ

เซียวหงเย่โบกมือ บอกให้องครักษ์ที่อยู่รอบๆ ถอยออกไป เหลือแต่สาวงามที่เริงระบำและเล่นสนุกอยู่ข้างกาย

“น้องลู่ยังไม่ทราบ โจรน้อยคนหนึ่งที่จวนอู๋โยว ข้าประกาศจับไว้เพิ่งมาถึงแดนเหนือ ยังมีโจรประกาศจับส่วนหนึ่งจากแคว้นเมฆามารวมตัวกัน กำลังเรืองอำนาจแล้ว”

“อ้อ? ด้วยพลังของจวนท่าน หรือว่าไม่อาจจัดการปัญหาได้” ลู่เซิ่งยิ้ม

“โจรน้อยผู้นั้นกลอกกลิ้งเกินไป ไม่สู้ด้วยตรงๆ หลบขวาหนีซ้าย จัดการยากจริงๆ ดังนั้นข้าผู้พี่จึงอยากให้น้องลู่ช่วยตรวจสอบดูแล ถ้าเจอร่องรอย ขอให้แจ้งผู้พี่ทันที” เซียวหงเย่เอ่ยอย่างจริงใจ “หลังจากสำเร็จ จะให้ดอกไร้กังวลของจวนอู๋โยวเป็นค่าตอบแทนหนึ่งดอก”

“ดอกไร้กังวลหรือ” ลู่เซิ่งไม่ทราบว่ามันคืออะไร แต่คงจะไม่แย่แน่

“ขอแค่ร่างกายได้รับบาดเจ็บไม่เกินระดับห้า กินหนึ่งครั้งสามารถหายดีได้โดยสิ้นเชิง น้องลู่ไม่เคยใช้กระมัง” เซียวหงเย่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ของสิ่งนี้ในแต่ละปี พวกเรามอบให้คนอื่นจำกัด ปกติแล้วไม่ให้ใคร แต่น้องลู่ย่อมไม่เหมือนกับคนอื่นๆ พวกเราพบกันดั่งวาสนา ของแค่นี้ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง”

“เช่นนั้นขอบคุณท่านพี่แล้ว” ลู่เซิ่งประสานมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เขาหวนนึกถึงเจินอี้ที่เห็นเมื่อตอนนั้น ศีรษะถูกจามเป็นสองส่วน แต่ยังไม่ตาย ทั้งฟื้นฟูได้ด้วย แล้วนึกถึงสตรีกางร่มและหลิงเฟิงที่ได้เห็นเมื่อก่อนหน้า

คู่ต่อสู้ระดับพันธนาการที่เขาเคยต่อสู้ด้วยมีแค่สามคน สองคนแรกใกล้เคียงกับความเป็นอมตะ หลิงเฟิงกลับถูกกำจัดในฝ่ามือเดียว เขาไม่เข้าใจกฎเกณฑ์อยู่บ้าง

……………………………………….