เพียงแต่สิ่งที่หลินชิงเวยคิดไม่ตกก็คือ ก่อนหน้าที่จ้าวเฟยจะตายนางไม่ได้ถูกควบคุม ปี้หลิงตายไปหลายวันแล้วจึงถูกควบคุม เมื่อเป็นเช่นนี้หนอนตัวนั้นเมื่ออยู่ในร่างกายของคนเราจะเติบโตชั่วระยะเวลาหนึ่ง นางคิดดูแล้วเมื่อเปรียบเทียบระยะเวลาที่พบหนอนในร่างกายของจ้าวเฟยและปี้หลิงแล้วดูเหมือนระยะเวลาสั้นสักหน่อย ย่อมต้องเป็นหนอนที่ยังไม่เติบโต

คิดดูแล้วหนอนที่ชอนไชเข้าไปในร่างกายของซินหรู เป็นหนอนที่เติบโตมาจากร่างกายของปี้หลิงแต่แรกแล้ว ดังนั้นนางจึงถูกควบคุมเช่นนี้ และยามนี้พฤติกรรมทุกอย่างของเซียวเยี่ยนที่ผิดปกติมีความเป็นไปอย่างยิ่งว่าจะถูกหนอนที่เติบโตแล้วชอนไชเข้าสู่ร่างกาย ไม่ต้องรอเวลาก็สามารถเข้าสู่หัวใจของคนได้ในทันที

มิน่าเล่า ทันทีที่เซียวเยี่ยนปล่อยตัวซินหรู ซินหรูก็ดูเหมือนได้สติขึ้นมาทันที มีเพียงหนอนที่เติบโตแล้วจึงจะสามารถควบคุมพฤติกรรมของคนได้ เช่นนั้นเหตุใดนางยังมีเลือดไหลออกมาทางจมูกอีก เช่นนั้นเป็นเพราะมีลูกหนอนกำลังกัดกินอวัยวะภายในของนางและกำลังขยายพันธุ์!

หลินชิงเวยสีหน้าขาวเผือด นางจับชายอาภรณ์ของเซียวไว้ไม่ยอมปล่อย ทั้งยังหันไปมองซินหรูที่อยู่บนพื้น หัวใจนางราวกับจะหลุดขึ้นมาถึงลำคอ–นางควรจะทำอย่างไรดี?

เซียวเยี่ยนยืนอยู่ที่เดิมไม่เคลื่อนไหวชั่วขณะ หลินชิงเวยยังคงดึงรั้งสติเขาเอาไว้ได้ จึงกล่าวขึ้นอีกว่า “เซียวเยี่ยน ไม่นะ ท่านตื่นเถิด อย่าถูกมันควบคุม…”

เขาไม่มีทางคิดที่จะสังหารเซียวจิ่นเด็ดขาด เขาจะต้องเสียใจภายหลังเป็นแน่

เซียวเยี่ยนหันกลับมา สายตาเยียบเย็นที่มองหลินชิงเวยเสมือนมองคนแปลกหน้าคนหนึ่ง แต่พฤติกรรมของเขายังคงเหมือนคนปกติ ซ้ำยังพูดจาเหมือนปกติ “ปล่อยมือ”

หลินชิงเวยไหนเลยจะยอมปล่อยมือง่ายๆ ทางหนึ่งดึงรั้งเขาไว้อีกทางหนึ่งร้องตะโกนออกไปข้างนอก “เด็กๆ! รีบเข้ามา!”

แม้องครักษ์จะคุ้มกันตำหนักซวี่หยางอย่างแน่นหนา แต่ภายในตำหนักล้วนเป็นข้าหลวง ข้าหลวงที่ยืนอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงร้องตะโกนจึงรีบวิ่งเข้ามา ทันทีเข้ามาในตำหนักบรรทมก็เห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้น บรรยากาศภายในนั้นแปลกประหลาดอย่างยิ่ง

หลินชิงเวยร้องคำราม “ยังทึ่มทื่ออะไรกันอีก ยังไม่รีบไปพาฝ่าบาทออกไป!”

ทว่าพวกเขายังไม่ทันได้ขยับ เซียวเยี่ยนหันกลับไปใช้หางตาของดวงตาหงส์มองพวกไปนอกประตูอย่างเย็นชา “เปิ่นหวางบัญชาให้พวกเจ้าถอยออกไปให้หมด”

เหล่านางกำนัลและขันทีควรจะฟังเซ่อเจิ้งอ๋องหรือฟังหลินเจาอี๋ ชัดเจนยิ่งนักว่านางกำนัลภายในตำหนักซวี่หยางมากกว่าครึ่งล้วนทำงานให้เซ่อเจิ้งอ๋องทั้งสิ้น คำสั่งของเซ่อเจิ้งอ๋องเปรียบเสมือนราชโองการของฮ่องเต้

ยามนี้โอษฐ์ทองคำของเซ่อเจิ้งอ๋องบัญชาลงมา เหล่านางกำนัลและขันทีพากันถอยร่นเตรียมจะถอยออกไปนอกตำหนักบรรทม

ยามนี้เองเสียงของเซียวจิ่นดังขึ้น “หยุดอยู่ที่นั่นให้หมด! ยังไม่เข้ามาอีก ประคองเจิ้นออกไป!”

เหล่านางกำนัลและขันทีตกตะลึงอีกครั้ง ระหว่างหลินเจาอี๋และเซ่อเจิ้งอ๋องพวกเขาย่อมต้องเชื่อฟังเซ่อเจิ้งอ๋อง แต่หากเป็นฮ่องเต้และเซ่อเจิ้งอ๋อง เช่นนั้นพวกเขาควรจะเชื่อฟังใคร?

เหล่านางกำนัลและขันทีชะงักงันลังเลใจยิ่งกว่าเดิม

เซียวจิ่นเห็นท่าทีเช่นนี้ของพวกเขาแล้วพลันรู้สึกเดือดดาล ใบหน้าราวหยกขาวแกะสลักของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยโทสะ สีหน้าของเขาเรียกได้ว่าเป็นฮ่องเต้ทรงอำนาจและบารมีองค์หนึ่ง เขากล่าวว่า “หรือคำสั่งของเจิ้นยังสู้คำพูดของเซ่อเจิ้งอ๋องไม่ได้? ผู้ฝ่าฝืนคำสั่งให้ประหารโดยไม่ต้องไต่สวน!”

ราวกับนี่เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้ขัดแย้งกับเซ่อเจิ้งอ๋อง ในที่สุดเหล่านางกำนัลและขันทีก็เดินเข้ามาราวกับฝูงปลา เพื่อเดินอ้อมผ่านร่างของเซียวเยี่ยนไปหยุดอยู่ข้างกายเซียวจิ่นเพื่อย้ายเขาออกไป

เมื่อพวกเขากำลังจะเดินเข้าประตูมา ไหนเลยจะคิดว่าเซียวเยี่ยนพลันลงมือเขารวบรวมพลังลมปรานไว้ที่ฝ่ามือ เพียงสะบัดแขนเสื้อกวาดออกไป เหล่านางกำนัลและขันทีที่ไร้เรี่ยวแรงต่อสู้ก็ถูกซัดออกไปด้านนอกพร้อมกับเสียงร้องอย่างน่าเวทนา

“เซียวเยี่ยน!” หลินชิงเวยตกตะลึง นาทีถัดมาเซียวเยี่ยนหลุบตาลงต่ำมองนางแล้วปัดมือของหลินชิงเวยที่จับชายอาภรณ์ของเขาเอาไว้ออกไป หลินชิงเวยรู้สึกชามือข้างนั้นของตนในชั่วพริบตา ราวกับเนื้อหนังและกระดูกแทบแหลกจนไร้ซึ่งความรู้สึก

หลินชิงเวยสะดุดไปหลายก้าว เซียวเยี่ยนหันกายอีกครั้งมุ่งหน้าเข้าหาเซียวจิ่น

หลินชิงเวยโผเข้ามากอดเอวของเซียวเยี่ยนจากด้านหลัง นางแทงเข็มเงินในมือลงบนแผ่นหลังของเซียวเยี่ยนอย่างไม่คำนึงความแม่นยำ จนปัญญาที่นางตกอยู่ในสถานการณ์อันวิกฤตจึงมิอาจควบคุมน้ำหนักมือได้ เข็มเงินแทงลงไปในผิวหนังของเซียวเยี่ยนได้ครึ่งหนึ่ง แต่เซียวเยี่ยนในยามนี้ถูกควบคุมจึงไม่รู้สึกเจ็บปวดอันใด ทันทีที่เขาเดินพลังลมปรานเข็มเงินเหล่านั้นก็กระเด็นออกจากร่างกายไปฝังตัวอยู่บนผนัง

ต่อมาหลินชิงเวยถูกเซียวเยี่ยนสะบัดออกเหมือนแมวน้อยตัวหนึ่ง ร่างของนางถูกสะบัดจนร่วงหล่นไปชนกับขอบโต๊ะ ราวกับอวัยวะภายในห้าและหกล้วนอยู่ผิดตำแหน่ง เจ็บปวดจนพูดไม่ออก

เซียวจิ่นขดกายเข้าไปในแท่นบรรทมมังกรอันกว้างใหญ่ สายตาที่เขามองเซียวเยี่ยนในนาทีนี้เปลี่ยนจากเดือดดาลไปด้วยโทสะกลายเป็นอ่อนแอช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และหวาดกลัว “เสด็จอา…”

เสียงเรียกเสด็จอานั้นทำให้ร่างของเซียวเยี่ยนหยุดชะงัก ภายในดวงตาที่เลื่อนลอยราวกับมีกำลังต่อสู้กับสิ่งใดอยู่ หลินชิงเวยเห็นความเปลี่ยนแปลงในดวงตาของเขาเพียงชั่วขณะ จึงพยายามใช้มือค้ำพื้นลุกขึ้นมาพูดว่า “เซียวเยี่ยน ท่านตื่นเถิด เซ่อเจิ้งอ๋องผู้สูงศักดิ์ ไยกลายเป็นหุ่นเชิดให้ผู้อื่นควบคุมเล่า! ท่านจะสังหารเขาภายใต้การควบคุมของผู้อื่นใช่หรือไม่?”

แต่การต่อสู้นั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วระยะเวลาแสนสั้น นาทีถัดมาก็มลายหายไป ฝ่ามือของเขาวาดขึ้นแล้วยกมือขึ้นซัดไปทางเซียวจิ่น

ร่างกายของเซียวจิ่นเดิมก็อ่อนแออยู่แล้วไหนเลยจะรับไหว หากถูกฝ่ามือเซียวเยี่ยนฟาดใส่ไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส

ในนาทีแห่งความเป็นความตายหลินชิงเวยไม่รู้ว่าตนไปเอาความกล้าหาญมาจากที่ไหน ยกเท้าขึ้นได้ก็พุ่งเข้ามากระโดดขึ้นบนแท่นบรรทมมังกรของเซียวจิ่น ดวงตาของเซียวจิ่นเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างของหลินชิงเวยเข้ามาใกล้ตนเรื่อยๆ

จากนั้นเขาก็ถูกหลินชิงเวยทับไว้ใต้ร่าง

ดวงตาของเซียวจิ่นมีความหวาดกลัวพาดผ่าน “ชิงเวย…”

หลินชิงเวยไม่พูดจาแต่กดศีรษะของเขาไว้ในอ้อมกอดของตนเพื่อปกป้องเขาให้พ้นภัย

เวลานั้นเมื่อฝ่ามือของเซียวเยี่ยนซัดลงมาเขาเห็นว่าฝ่ามือของตนกำลังจะซัดลงไปบนแผ่นหลังของหลินชิงเวย ดวงตาคมปลาบของเขาเบิกโต แววตาที่ถูกควบคุมของเขาดูเหมือนจะทำลายกรงขังนั้นได้ ในดวงตาของเขาราวกับคลื่นพายุทอร์นาโด ในสมองของเขารู้สึกเจ็บแปลบ ดูเหมือนกำลังคิดจะควบคุมให้เขาลงมือกับคนทั้งสองเบื้องหน้า แต่เขารวบรวมกำลังของตนอย่างแข็งแกร่ง ดังนั้นฝ่ามือที่ซัดลงไปบนร่างของหลินชิงเวยจึงเป็นฝ่ามือที่สูญเสียการควบคุมพละกำลังไปครึ่งหนึ่ง แต่ยังคงทำให้หลินชิงเวยกระอักเลือดสดๆ ออกมาคำหนึ่ง และสาดลงบนลำคอของเซียวจิ่นอย่างพอเหมาะพอเจาะ เลือดนั้นร้อนเสียจนทำให้เขาสั่นสะท้าน

“ชิงเวย…ชิงเวย!”

ในสมองของหลินชิงเวยเต็มไปด้วยงงงัน นางกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้าไม่เป็นไร”

ส่วนเซียวเยี่ยนกลับด้วยเพราะเขาฝืนกำลังดึงพลังของตนเองกลับมากะทันหัน ทำให้พลังลมปราณของตนตีกลับ เขาก้าวถอยหลังสองก้าวแล้วกระอักเลือดสดๆ ออกมาคำหนึ่งเช่นกัน

ขณะเดียวกันสตรีที่นั่งอยู่อย่างสงบในเรือนอีกหลังหนึ่งรู้สึกร่างกายอ่อนยวบ เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มใบหน้าของนาง สีหน้าซีดขาวราวกระดาษ ริมฝีปากไร้สีเลือดปรากฏให้เห็นเลือดสดๆ สองสด ดูแล้วนางประหลาดใจอย่างที่สุด สายลมพัดป่าไผ่ด้านนอกเกิดเสียงดังซ่าๆๆๆๆ นางหยุดไม่ได้ นางต้องรวบรวมสมาธิอีกครั้ง

หลินชิงเวยคิดว่าเซียวเยี่ยนได้สติคืนมาแล้ว นางเพิ่งจะหันกลับไป ยังไม่ทันได้มองเห็นเบื้องหน้าชัดเจนก็เห็นเงาร่างสีดำสายหนึ่ง นางรู้สึกว่าร่างกายของตนถูกคนหิ้วขึ้นมาอย่างง่ายดาย

มือใหญ่อันคุ้นเคยข้างหนึ่งโอบรอบช่วงเอวของนาง ฝ่ามือใหญ่ๆ ที่ขับไล่ฆาตกรแทนนาง บีบลำคอนางอย่างไร้ปรานี เหมือนเมื่อสักครู่ที่เขาบีบคอซินหรู

เพียงแต่สิ่งที่หลินชิงเวยคิดไม่ตกก็คือ ก่อนหน้าที่จ้าวเฟยจะตายนางไม่ได้ถูกควบคุม ปี้หลิงตายไปหลายวันแล้วจึงถูกควบคุม เมื่อเป็นเช่นนี้หนอนตัวนั้นเมื่ออยู่ในร่างกายของคนเราจะเติบโตชั่วระยะเวลาหนึ่ง นางคิดดูแล้วเมื่อเปรียบเทียบระยะเวลาที่พบหนอนในร่างกายของจ้าวเฟยและปี้หลิงแล้วดูเหมือนระยะเวลาสั้นสักหน่อย ย่อมต้องเป็นหนอนที่ยังไม่เติบโต

คิดดูแล้วหนอนที่ชอนไชเข้าไปในร่างกายของซินหรู เป็นหนอนที่เติบโตมาจากร่างกายของปี้หลิงแต่แรกแล้ว ดังนั้นนางจึงถูกควบคุมเช่นนี้ และยามนี้พฤติกรรมทุกอย่างของเซียวเยี่ยนที่ผิดปกติมีความเป็นไปอย่างยิ่งว่าจะถูกหนอนที่เติบโตแล้วชอนไชเข้าสู่ร่างกาย ไม่ต้องรอเวลาก็สามารถเข้าสู่หัวใจของคนได้ในทันที

มิน่าเล่า ทันทีที่เซียวเยี่ยนปล่อยตัวซินหรู ซินหรูก็ดูเหมือนได้สติขึ้นมาทันที มีเพียงหนอนที่เติบโตแล้วจึงจะสามารถควบคุมพฤติกรรมของคนได้ เช่นนั้นเหตุใดนางยังมีเลือดไหลออกมาทางจมูกอีก เช่นนั้นเป็นเพราะมีลูกหนอนกำลังกัดกินอวัยวะภายในของนางและกำลังขยายพันธุ์!

หลินชิงเวยสีหน้าขาวเผือด นางจับชายอาภรณ์ของเซียวไว้ไม่ยอมปล่อย ทั้งยังหันไปมองซินหรูที่อยู่บนพื้น หัวใจนางราวกับจะหลุดขึ้นมาถึงลำคอ–นางควรจะทำอย่างไรดี?

เซียวเยี่ยนยืนอยู่ที่เดิมไม่เคลื่อนไหวชั่วขณะ หลินชิงเวยยังคงดึงรั้งสติเขาเอาไว้ได้ จึงกล่าวขึ้นอีกว่า “เซียวเยี่ยน ไม่นะ ท่านตื่นเถิด อย่าถูกมันควบคุม…”

เขาไม่มีทางคิดที่จะสังหารเซียวจิ่นเด็ดขาด เขาจะต้องเสียใจภายหลังเป็นแน่

เซียวเยี่ยนหันกลับมา สายตาเยียบเย็นที่มองหลินชิงเวยเสมือนมองคนแปลกหน้าคนหนึ่ง แต่พฤติกรรมของเขายังคงเหมือนคนปกติ ซ้ำยังพูดจาเหมือนปกติ “ปล่อยมือ”

หลินชิงเวยไหนเลยจะยอมปล่อยมือง่ายๆ ทางหนึ่งดึงรั้งเขาไว้อีกทางหนึ่งร้องตะโกนออกไปข้างนอก “เด็กๆ! รีบเข้ามา!”

แม้องครักษ์จะคุ้มกันตำหนักซวี่หยางอย่างแน่นหนา แต่ภายในตำหนักล้วนเป็นข้าหลวง ข้าหลวงที่ยืนอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงร้องตะโกนจึงรีบวิ่งเข้ามา ทันทีเข้ามาในตำหนักบรรทมก็เห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้น บรรยากาศภายในนั้นแปลกประหลาดอย่างยิ่ง

หลินชิงเวยร้องคำราม “ยังทึ่มทื่ออะไรกันอีก ยังไม่รีบไปพาฝ่าบาทออกไป!”

ทว่าพวกเขายังไม่ทันได้ขยับ เซียวเยี่ยนหันกลับไปใช้หางตาของดวงตาหงส์มองพวกไปนอกประตูอย่างเย็นชา “เปิ่นหวางบัญชาให้พวกเจ้าถอยออกไปให้หมด”

เหล่านางกำนัลและขันทีควรจะฟังเซ่อเจิ้งอ๋องหรือฟังหลินเจาอี๋ ชัดเจนยิ่งนักว่านางกำนัลภายในตำหนักซวี่หยางมากกว่าครึ่งล้วนทำงานให้เซ่อเจิ้งอ๋องทั้งสิ้น คำสั่งของเซ่อเจิ้งอ๋องเปรียบเสมือนราชโองการของฮ่องเต้

ยามนี้โอษฐ์ทองคำของเซ่อเจิ้งอ๋องบัญชาลงมา เหล่านางกำนัลและขันทีพากันถอยร่นเตรียมจะถอยออกไปนอกตำหนักบรรทม

ยามนี้เองเสียงของเซียวจิ่นดังขึ้น “หยุดอยู่ที่นั่นให้หมด! ยังไม่เข้ามาอีก ประคองเจิ้นออกไป!”

เหล่านางกำนัลและขันทีตกตะลึงอีกครั้ง ระหว่างหลินเจาอี๋และเซ่อเจิ้งอ๋องพวกเขาย่อมต้องเชื่อฟังเซ่อเจิ้งอ๋อง แต่หากเป็นฮ่องเต้และเซ่อเจิ้งอ๋อง เช่นนั้นพวกเขาควรจะเชื่อฟังใคร?

เหล่านางกำนัลและขันทีชะงักงันลังเลใจยิ่งกว่าเดิม

เซียวจิ่นเห็นท่าทีเช่นนี้ของพวกเขาแล้วพลันรู้สึกเดือดดาล ใบหน้าราวหยกขาวแกะสลักของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยโทสะ สีหน้าของเขาเรียกได้ว่าเป็นฮ่องเต้ทรงอำนาจและบารมีองค์หนึ่ง เขากล่าวว่า “หรือคำสั่งของเจิ้นยังสู้คำพูดของเซ่อเจิ้งอ๋องไม่ได้? ผู้ฝ่าฝืนคำสั่งให้ประหารโดยไม่ต้องไต่สวน!”

ราวกับนี่เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้ขัดแย้งกับเซ่อเจิ้งอ๋อง ในที่สุดเหล่านางกำนัลและขันทีก็เดินเข้ามาราวกับฝูงปลา เพื่อเดินอ้อมผ่านร่างของเซียวเยี่ยนไปหยุดอยู่ข้างกายเซียวจิ่นเพื่อย้ายเขาออกไป

เมื่อพวกเขากำลังจะเดินเข้าประตูมา ไหนเลยจะคิดว่าเซียวเยี่ยนพลันลงมือเขารวบรวมพลังลมปรานไว้ที่ฝ่ามือ เพียงสะบัดแขนเสื้อกวาดออกไป เหล่านางกำนัลและขันทีที่ไร้เรี่ยวแรงต่อสู้ก็ถูกซัดออกไปด้านนอกพร้อมกับเสียงร้องอย่างน่าเวทนา

“เซียวเยี่ยน!” หลินชิงเวยตกตะลึง นาทีถัดมาเซียวเยี่ยนหลุบตาลงต่ำมองนางแล้วปัดมือของหลินชิงเวยที่จับชายอาภรณ์ของเขาเอาไว้ออกไป หลินชิงเวยรู้สึกชามือข้างนั้นของตนในชั่วพริบตา ราวกับเนื้อหนังและกระดูกแทบแหลกจนไร้ซึ่งความรู้สึก

หลินชิงเวยสะดุดไปหลายก้าว เซียวเยี่ยนหันกายอีกครั้งมุ่งหน้าเข้าหาเซียวจิ่น

หลินชิงเวยโผเข้ามากอดเอวของเซียวเยี่ยนจากด้านหลัง นางแทงเข็มเงินในมือลงบนแผ่นหลังของเซียวเยี่ยนอย่างไม่คำนึงความแม่นยำ จนปัญญาที่นางตกอยู่ในสถานการณ์อันวิกฤตจึงมิอาจควบคุมน้ำหนักมือได้ เข็มเงินแทงลงไปในผิวหนังของเซียวเยี่ยนได้ครึ่งหนึ่ง แต่เซียวเยี่ยนในยามนี้ถูกควบคุมจึงไม่รู้สึกเจ็บปวดอันใด ทันทีที่เขาเดินพลังลมปรานเข็มเงินเหล่านั้นก็กระเด็นออกจากร่างกายไปฝังตัวอยู่บนผนัง

ต่อมาหลินชิงเวยถูกเซียวเยี่ยนสะบัดออกเหมือนแมวน้อยตัวหนึ่ง ร่างของนางถูกสะบัดจนร่วงหล่นไปชนกับขอบโต๊ะ ราวกับอวัยวะภายในห้าและหกล้วนอยู่ผิดตำแหน่ง เจ็บปวดจนพูดไม่ออก

เซียวจิ่นขดกายเข้าไปในแท่นบรรทมมังกรอันกว้างใหญ่ สายตาที่เขามองเซียวเยี่ยนในนาทีนี้เปลี่ยนจากเดือดดาลไปด้วยโทสะกลายเป็นอ่อนแอช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และหวาดกลัว “เสด็จอา…”

เสียงเรียกเสด็จอานั้นทำให้ร่างของเซียวเยี่ยนหยุดชะงัก ภายในดวงตาที่เลื่อนลอยราวกับมีกำลังต่อสู้กับสิ่งใดอยู่ หลินชิงเวยเห็นความเปลี่ยนแปลงในดวงตาของเขาเพียงชั่วขณะ จึงพยายามใช้มือค้ำพื้นลุกขึ้นมาพูดว่า “เซียวเยี่ยน ท่านตื่นเถิด เซ่อเจิ้งอ๋องผู้สูงศักดิ์ ไยกลายเป็นหุ่นเชิดให้ผู้อื่นควบคุมเล่า! ท่านจะสังหารเขาภายใต้การควบคุมของผู้อื่นใช่หรือไม่?”

แต่การต่อสู้นั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วระยะเวลาแสนสั้น นาทีถัดมาก็มลายหายไป ฝ่ามือของเขาวาดขึ้นแล้วยกมือขึ้นซัดไปทางเซียวจิ่น

ร่างกายของเซียวจิ่นเดิมก็อ่อนแออยู่แล้วไหนเลยจะรับไหว หากถูกฝ่ามือเซียวเยี่ยนฟาดใส่ไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส

ในนาทีแห่งความเป็นความตายหลินชิงเวยไม่รู้ว่าตนไปเอาความกล้าหาญมาจากที่ไหน ยกเท้าขึ้นได้ก็พุ่งเข้ามากระโดดขึ้นบนแท่นบรรทมมังกรของเซียวจิ่น ดวงตาของเซียวจิ่นเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างของหลินชิงเวยเข้ามาใกล้ตนเรื่อยๆ

จากนั้นเขาก็ถูกหลินชิงเวยทับไว้ใต้ร่าง

ดวงตาของเซียวจิ่นมีความหวาดกลัวพาดผ่าน “ชิงเวย…”

หลินชิงเวยไม่พูดจาแต่กดศีรษะของเขาไว้ในอ้อมกอดของตนเพื่อปกป้องเขาให้พ้นภัย

เวลานั้นเมื่อฝ่ามือของเซียวเยี่ยนซัดลงมาเขาเห็นว่าฝ่ามือของตนกำลังจะซัดลงไปบนแผ่นหลังของหลินชิงเวย ดวงตาคมปลาบของเขาเบิกโต แววตาที่ถูกควบคุมของเขาดูเหมือนจะทำลายกรงขังนั้นได้ ในดวงตาของเขาราวกับคลื่นพายุทอร์นาโด ในสมองของเขารู้สึกเจ็บแปลบ ดูเหมือนกำลังคิดจะควบคุมให้เขาลงมือกับคนทั้งสองเบื้องหน้า แต่เขารวบรวมกำลังของตนอย่างแข็งแกร่ง ดังนั้นฝ่ามือที่ซัดลงไปบนร่างของหลินชิงเวยจึงเป็นฝ่ามือที่สูญเสียการควบคุมพละกำลังไปครึ่งหนึ่ง แต่ยังคงทำให้หลินชิงเวยกระอักเลือดสดๆ ออกมาคำหนึ่ง และสาดลงบนลำคอของเซียวจิ่นอย่างพอเหมาะพอเจาะ เลือดนั้นร้อนเสียจนทำให้เขาสั่นสะท้าน

“ชิงเวย…ชิงเวย!”

ในสมองของหลินชิงเวยเต็มไปด้วยงงงัน นางกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้าไม่เป็นไร”

ส่วนเซียวเยี่ยนกลับด้วยเพราะเขาฝืนกำลังดึงพลังของตนเองกลับมากะทันหัน ทำให้พลังลมปราณของตนตีกลับ เขาก้าวถอยหลังสองก้าวแล้วกระอักเลือดสดๆ ออกมาคำหนึ่งเช่นกัน

ขณะเดียวกันสตรีที่นั่งอยู่อย่างสงบในเรือนอีกหลังหนึ่งรู้สึกร่างกายอ่อนยวบ เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มใบหน้าของนาง สีหน้าซีดขาวราวกระดาษ ริมฝีปากไร้สีเลือดปรากฏให้เห็นเลือดสดๆ สองสด ดูแล้วนางประหลาดใจอย่างที่สุด สายลมพัดป่าไผ่ด้านนอกเกิดเสียงดังซ่าๆๆๆๆ นางหยุดไม่ได้ นางต้องรวบรวมสมาธิอีกครั้ง

หลินชิงเวยคิดว่าเซียวเยี่ยนได้สติคืนมาแล้ว นางเพิ่งจะหันกลับไป ยังไม่ทันได้มองเห็นเบื้องหน้าชัดเจนก็เห็นเงาร่างสีดำสายหนึ่ง นางรู้สึกว่าร่างกายของตนถูกคนหิ้วขึ้นมาอย่างง่ายดาย

มือใหญ่อันคุ้นเคยข้างหนึ่งโอบรอบช่วงเอวของนาง ฝ่ามือใหญ่ๆ ที่ขับไล่ฆาตกรแทนนาง บีบลำคอนางอย่างไร้ปรานี เหมือนเมื่อสักครู่ที่เขาบีบคอซินหรู