ที่ประตูหลักของตระกูลลู่ ลู่หาวเดินออกมาด้วยความโกรธอยากจะฆ่าคน สายตากวาดมอง สุดท้ายก็ไปตกอยู่บนตัวของโม่เทียน

“ตาเฒ่าโม่ เอาคนตระกูลมึงมาขวางหน้าประตูบ้านผม จะเปิดศึกกับตระกูลลู่งั้นหรือ?”

ลู่หาวพูดจาไม่ไว้หน้าใคร

โม่เทียนก็ไม่โกรธอะไรเลย แล้วยกมือพูดว่า “หลานลู่หาว พูดเกินไปแล้ว ที่มาวันนี้ก็เพื่อมาดูประลองวิชายา ในเมืองเจียงหลินไม่ได้เจอผู้ฝึกชี่ประลองวิชายากันมาหลายปีแล้ว ถือเป็นโอกาสหายากที่วันนี้จะได้เห็นสักครั้ง ก็เลยพาคนของตระกูลโม่มาเปิดหูเปิดตา วางใจเถอะ จะไม่ก่อเรื่องอะไรทั้งนั้น จะไม่ส่งเสียงดังด้วย คนตระกูลโม่ทุกคนฟังไว้ ห้ามส่งเสียงดังเอะอะโวยวายหน้าประตูตระกูลลู่ และห้ามลงไม้ลงมือกับคนของตระกูลลู่ ถ้าใครขัดคำสั่ง ก็จะลงโทษตามกฏตระกูล”

คนของตระกูลโม่ทุกคนก็ส่งเสียงตอบรับอย่างดัง แต่แค่เสียงนี้ ก็ทำเอาเด็กๆ ในถนนสายนี้ตกใจร้องไห้กันไปหมด

นี่หรือที่บอกว่าจะไม่ส่งเสียงดัง ลู่หาวกัดฟันพูดว่า “ตาเฒ่าโม่ ถ่อมาถึงตระกูลลู่เราเพื่อมาดูอะไรนะ?”

โม่เทียนยิ้มพูดว่า “หลานลู่หาว ไม่ใช่จะมาเพื่อประลองวิชายากับตระกูลลู่ ตระกูลโม่เราทั้งหมดไม่มีผู้ฝึกชี่เลยสักคน ไหนเลยจะกล้าพูดว่ามาประลองวิชายา พอดีว่ามีสหายมาจากสถาบันสอนวิชาบู๊ชื่อจ้าวซวี่ เขาได้ยินว่าตระกูลลู่มีอยู่คนหนึ่ง ก็เลยจะมาขอประลองฝีมือกัน พวกเราก็แค่มาดูเขาสู้กันเท่านั้นแหละ”

ลู่หาวก็เปลี่ยนสายตาไปมองยังตัวของจ้าวซวี่ แล้วพูดเสียงเย็นว่า “ผู้ฝึกชี่จ้าวซวี่ คุณจะประลองวิชายา มีสถานที่อื่นตั้งเยอะ ทำไมจะต้องมาที่ตระกูลลู่ของผม นี่มันจะต่างอะไรกับการหาเรื่องล่ะ?”

จ้าวซวี่ฟังน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรของลู่หาว แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร

ก็เลยพูดตอบนิ่งๆ ไปว่า “ผู้ฝึกชี่ประลองวิชายาอย่างพวกเรา ไม่ได้สนใจเรื่องพิธีรีตองอะไรมากมาย มีคน มีหม้อ มียา ก็ประลองวิชายาได้ทุกเมื่อ ผู้จัดการตระกูลลู่ท่านนี้ รบกวนไปเชิญผู้ฝึกชี่ที่อยู่ด้านในออกมาด้วย ไม่อย่างนั้น ผมก็จะคิดว่าเขากลัวผมแล้วจริงๆ ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป

ลู่หาวอดกลั้นอารมณ์วู่วามที่อยากจะต่อยออกไปสักหมัด แล้วพูดว่า “ผู้ฝึกชี่จ้าวซวี่ คุณไปได้ยินมาจากไหนว่าตระกูลลู่เรามีผู้ฝึกชี่? อย่าถูกคนอื่นหลอกใช้เอานะ”

จ้าวซวี่ก็มองลู่หาวด้วยหางตา แล้วหัวเราะเบาๆ พูดว่า “ผมรู้มาจากไหน ทำไมต้องบอกคุณด้วยล่ะ”

หัวเราะเบาๆ จ้าวซวี่ก็ส่ายหัวเบาๆ แล้วก็หลับตาลง ท่าทางที่วางมาดโอหังอวดดีนั้นไม่หมดไป ไม่เห็นลู่หาวอยู่ในสายตาเลย

โม่เทียนก็พูดเสี้ยมให้เกิดเรื่อง “ลู่หาว ยืนอยู่ตรงนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ แถมยังไล่ผู้ฝึกชี่คนหนึ่งออกไปไม่ได้อีกด้วย ไม่สู้รีบไปเชิญคนเก่งในบ้านออกมาเร็วๆ ดีกว่า”

คำพูดของโม่เทียนไปเสียดแทงลู่หาว ถ้าหากว่าลู่หาวหัวร้อนขึ้นมาจริงๆ แล้วใช้พละกำลังขับไล่จ้าวซวี่ออกไป โม่เทียนก็จะดีใจมากเป็นพิเศษ

มันก็จะแสดงว่าตระกูลลู่จะเป็นปฏิปักษ์กับผู้ฝึกชี่คนหนึ่ง มันเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างมาก โดยเฉพาะฝั่งตรงข้ามเข้ามาโดยอ้างว่าจะมาประลองวิชายา

ความแค้นของผู้ฝึกชี่ มันน่ากลัวกว่านักบู๊เยอะเลย

ในตอนนี้เอง เงาคนหนึ่งก็เดินออกมาจากซอยเล็กๆ อีกซอยหนึ่ง

สวมชุดคลุมสีดำ หน้ากากเงินเย็นชา

ทันใดนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของโม่เทียนก็นิ่งไป โม่หลินที่อยู่ข้างหลังของเขาก็สีหน้าเปลี่ยนไปมาก ในใจก็ตกใจ เป็นเขานี่เอง

จ้าวซวี่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงพลังของผู้ฝึกชี่ แถมยังไม่ด้อยกว่าเขาอีกด้วย ตระกูลลู่มีผู้ฝึกชี่ระดับสองขึ้นไปด้วยหรือนี่

หันหัวไป จ้าวซวี่ก็จับจ้องไปยังหน้ากากเงินนั้น จนอยากจะใช้สายตามองทะลุเข้าไปดูใบหน้าให้ชัดเจน

พอเห็นตัวชัดเจนแล้ว ลู่หาวก็ตั้งสติทำหน้าปกติขึ้นได้ สีหน้าระรื่น รีบเดินเข้าไปต้อนรับ

“คุณผู้ชายเถ่เมี่ยน ต้องขอโทษด้วยครับ”

ลู่ฝานที่ซ่อนใบหน้าไว้ในหน้ากากเงินก็ตั้งใจทำเสียงให้แหบแห้ง พูดว่า “ไม่เป็นอะไร พอดีว่า ผมเองก็คันไม้คันมือเหมือนกัน เดี๋ยวจะประลองกับเขาหน่อยก็แล้วกัน”

รอบตัวปกคลุมไปด้วยสายลมพัดเบา ลู่ฝานเดินออกไปไกล จนมาถึงตรงหน้าของจ้าวซวี่ เหตุผลที่เขาไม่อยากพูดกับลู่หาวเยอะ ก็เพราะกลัวลู่หาวจะฟังเสียงของเขาออก พูดมากจะเสียเรื่อง พูดน้อยไว้ก่อนดีที่สุด

ลู่ฝานยืนอยู่ที่หน้าประตูตระกูลลู่ จ้องหน้ากับจ้าวซวี่

จ้าวซวี่ก็มองลู่ฝานหัวจรดเท้า แล้วยิ้มพูดเบาๆ ว่า “ท่านนี้ก็คือผู้ฝึกชี่ของตระกูลลู่ใช่ไหมครับ ไม่ทราบว่าจะบอกชื่อแซ่ได้หรือไม่?”

ลู่ฝานพูดเสียงแหบว่า “เถ่เมี่ยน* ข้ามพวกคำพูดที่น่าเบื่อไปได้ไหม? นายมาประลองวิชายาไม่ได้หรือ? คุยกันเรื่องการแข่งเลยดีกว่า ว่าจะสู้แบบบุ๋นหรือบู๊”

ลู่ฝานฝึกกับหวูเฉินมาหนึ่งปี ก็พอรู้กฎเกณฑ์ของผู้ฝึกชี่ไม่น้อย

การสู้แบบบุ๋นนั้น ก็คือทั้งสองฝ่ายกลั่นยาของตนเอง แล้วใช้ยาเป็นตัวตัดสิน

ส่วนแบบบู๊นั้น ก็คือประลองวิชายาสู้พลังอีกด้วย กลั่นยาไปด้วยโจมตีฝั่งตรงข้ามไปด้วย บางครั้งก็ไม่รีบให้ยาเสร็จออกมา แต่รีบโจมตีคู่ต่อสู้ แล้วก็มากลั่นยาของตนเองอย่างสบายๆ ก็ได้

การประลองวิชายาสองแบบนี้ เหมาะกับการแก้ปัญหาขอพิพาทกันของผู้ฝึกชี่ในทวีป เพราะผู้ฝึกชี่มีน้อยมาก เมื่อเทียบกับนักบู๊แล้ว ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในหมื่นเลย

ดังนั้นผู้ฝึกชี่ส่วนใหญ่ก็จะรู้จักสามัคคีกันเป็นกลุ่มก้อน ยกเว้นคนที่เป็นศัตรูกัน ไม่อย่างนั้นปกติแล้วจะไม่ลงมือกับพวกเดียวกัน

คำพูดที่ว่า เป็นคนต้องไว้หน้ากันบ้าง วันหลังจะได้มองหน้ากันติด มันเป็นหลักการของผู้ฝึกชี่ทุกคน

“แบบบุ๋นก็แล้วกัน ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน พวกเราเลือกยาที่ตนเองถนัด แล้วเอามาแข่งกันดีไหม?”

จ้าวซวี่พูดอย่างนิ่งๆ ถึงแม้จะรู้ว่าฝั่งตรงข้ามก็มีพลังไม่ด้อยไปกว่าตนเองเลย จ้าวซวี่ก็ยังมั่นใจว่าจะชนะได้

“งั้นหรือ? ก็ถือว่าเป็นการประลองที่ดีเหมือนกัน แต่ในเมื่อจะประลองวิชายา แล้วมีเดิมพันยาไหม”

ลู่ฝานพูดช้าๆ