ตอนที่ 89-2 ชื่อร้านพระราชทาน กับ ผ่านต้นฤดูหนาว

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

แววตาแสดงความแปลกใจของมังกร ทำให้ผู้คนมิอาจโป้ปด

 

 

หงเยียนพิจารณาสักพัก ก่อนตอบอย่างนุ่มนวล

 

 

“ฝ่าบาททรงมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ชื่อร้าน คุณหนูอวิ๋นช่วยหม่อมฉันคิดเพคะ”

 

 

ลูกสาวบ้านสกุลอวิ๋นอีกแล้ว หนิงซีฮ่องเต้ขยับคิ้ว ฝ่ามือข้างที่สวมสร้อยข้อมือหินสีฝังทองคำขยับเล็กน้อย ใจลอยชั่วขณะ พลางว่า “ดี…เซียงหยิงซิ่ว…ดี”

 

 

เหยาฝูโซ่วสังเกตเห็นอาการเหม่อลอยวาบหนึ่งของหนิงซีฮ่องเต้ จึงเก็บไว้ในใจ แล้วรีบส่งเสียงสนับสนุน

 

 

“เซียงหยิงซิ่ว? เป็นชื่อที่สง่างามมาก!”

 

 

หนิงซีฮ่องเต้จึงได้สติ “เช่นนั้น ใช้ชื่อนี้ก็แล้วกัน”

 

 

หงเยียนประสานมือ “ขอบพระทัยที่ทรงพระราชทานชื่อร้าน!”

 

 

เหล่าขุนนางส่งเสียงดังอื้ออึง ย่อมกำลังยกย่องว่าเป็นชื่อที่เหมาะสมยิ่ง

 

 

หนิงซีฮ่องเต้จึงไม่ลังเลใจอีก ยกพู่กันขนแกะจุ่มน้ำหมึกสีดำ แล้วนำขึ้นตวัดฉวัดเฉวียนไปมา จนตัวอักษรที่แข็งแกร่งและทรงพลังสามตัวโลดแล่นอยู่บนกระดาษเรียบร้อย

 

 

เหยาฝูโซ่วบอกให้คนในวังเอาไปตากให้แห้ง ม้วนแล้วผูกด้วยแถบผ้าไหมทอลายสีทอง เป็นของกำนัล มอบให้หงเยียนนำออกจากวังไป

 

 

หลังคดีถังโจวสิ้นสุดและทุกคนปิติยินดีกันถ้วนหน้า ต่อไปก็ถึงคราวคดีการทำเหมืองแร่บนเขาชิงเหอ

 

 

จากการแกะรอยของเจ้าหน้าที่จนพบเบาะแสสำคัญ ที่สามารถกระชากหน้ากากเว่ยอ๋องซึ่งบงการอยู่เบื้องหลังออกมา ทำให้เหล่าขุนนางที่เฝ้าจับตาดูผู้รับผิดชอบคดีเหมืองแร่บนเขาชิงเหอระเบิดพากันโห่ร้องด้วยความยินดี ด้วยหมู่นี้พวกเขาไม่มีเรื่องใหญ่อะไรให้ทำ จึงรวมพลังกันกัดเรื่องนี้ไม่ปล่อย ร่วมกันทิ้งระเบิดใส่เว่ยอ๋อง รายงานต่อฝ่าบาทว่าเว่ยอ๋องทำผิดกฎหมายฐานเปิดเหมืองเป็นการส่วนตัว

 

 

ซึ่งขุนนางพระญาติหรือคนในสกุลเหวยย่อมก้าวออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้เว่ยอ๋อง โดยตีให้ตายก็ไม่ยอมรับ เพียงบอกว่าเว่ยอ๋องโดดเด่นจนถูกคนบางกลุ่มริษยาและกระทำการใส่ร้ายป้ายสี

 

 

สองสามปีมานี้ อิทธิพลของคนสกุลเหวยหยั่งรากลึกไม่น้อย จนทำให้ราชสำนักแบ่งออกเป็นสองฝ่ายในพริบตา จึงมักโต้เถียงกันกลางที่ประชุม จนทำให้ท้องพระโรงเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำลายแทบทุกครั้ง

 

 

ซึ่งจริงๆ แล้ว คดีนี้เจ้าห้าเป็นคนทำหรือไม่ หนิงซีฮ่องเต้มีหรือจะไม่ชัดเจน อย่าว่าแต่ปรากฎหลักฐานที่แจ่มแจ้งเลย ลำพังดูจากนิสัยเสียของเจ้าห้าที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ ก็ชัดเจนแล้วว่า การดึงสมบัติของชาติมาเป็นสมบัติส่วนตัว ยังจะนับเป็นอะไรได้ ใยจะทำไม่ได้! ?

 

 

เพียงแต่การเดาใจฮ่องเต้ ก็เหมือนการงมเข็มในมหาสมุทร

 

 

หนิงซีฮ่องเต้ปล่อยให้ขุนนางทั้งสองฝ่ายปะทะคารมกันจนหนำใจ โดยไม่ส่งเสียง นั่งอยู่บนภูเขา ใช้

 

 

สายตาเย็นชามองดูพยัคฆ์ต่อสู้กันไปก่อน

 

 

ส่วนเว่ยอ๋อง เดิมทีคิดหยิบยืมงานเลี้ยงสังสรรค์ก่อเรื่องใหญ่ โดยคิดว่าพอไทเฮาประชวร และพี่สามถูกมองว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ก็จะสามารถเบี่ยงเบนความสนใจของผู้รับผิดชอบคดีกับเสด็จพ่อไปได้ แต่ตอนนี้เมื่อไม่สำเร็จ คดีจึงถูกนำกลับมาคิดบัญชีอีกครั้ง ทำให้เขาไม่พอใจยิ่ง

 

 

พอรู้สึกว่าทุกสายตาล้วนจับจ้องมาที่ตน ตนหลบอยู่แต่ในจวนก็สิ้นเรื่อง ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น กกเยี่ยหนานเฟิง หนุ่มสุดที่รักคนใหม่ทั้งวัน ไม่ยอมก้าวออกจากจวน รอให้เสด็จแม่ที่อยู่ในวังช่วยปัดเป่าภัยพิบัติไปก่อน

 

 

พูดถึงความผิดฐานทำเหมืองแร่เป็นการส่วนตัว ถ้าจะบอกว่าร้ายแรงก็ร้ายแรงได้ไม่จำกัด เพราะเป็นการแย่งทรัพยากรธรรมชาติ แย่งเงินทองของชาติบ้านเมือง ฮ่องเต้ที่โง่เขลาเท่านั้นถึงจะให้อภัย แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นโทษสถานเบา ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าฮ่องเต้คิดปกป้องคนผู้นี้จริงๆ ก็อาจปล่อยข่าวออกไปว่า ตนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังที่อนุญาติให้ทำ

 

 

เนื่องจากพระมเหสีรองเหวยไม่อยากให้โอรสถูกลงโทษ จึงร้องห่มร้องไห้จนน้ำตาท่วมเตียงมังกร มารยาหญิงร้อยเล่มเกวียนมีเท่าไหร่ถูกงัดออกมาใช้จนหมด

 

 

เนื่องจากสองแม่ลูกเป็นคนโปรดของหนิงซีฮ่องเต้อยู่เป็นทุนเดิม ไปๆ มาๆ จึงอ่อนพระทัยลง ตัดสินใจว่าจะลงโทษสถานเบา แต่พอเจี่ยไทเฮารู้เข้า ก็ไม่ยอมถ่ายเดียว

 

 

เนื่องจากในงานเลี้ยงสังสรรค์ เจี่ยไทเฮาได้หมายหัวหลานคนนี้ไว้แล้ว ถ้าเขาเป็นผู้สับเปลี่ยนสุราดอกท้อเพราะคิดให้ร้ายเจ้าสามจริง นั่นก็หมายความว่า ตนผู้เป็นถึงไทเฮา ต้องตกเป็นหมากในการทำร้ายคนเพื่อแย่งชิงอำนาจของเด็กชั่วๆ คนหนึ่ง แย่ที่ไม่มีหลักฐาน ซุนจวิ้นอ๋องก็ถูกกักบริเวณอยู่ในจวน จนถึงตอนนี้ ให้ตายอย่างไร ก็ยังไม่ยอมบอกความจริงออกมา มิเช่นนั้นก็ได้จับตัวหลานชั่วไปสอบสวนตรงหน้าพระที่นั่งแต่แรกแล้ว!

 

 

ตอนนี้พอเจี่ยไทเฮาได้ยินว่าฮ่องเต้มีเจตนาที่จะไม่ถือสาหาความเว่ยอ๋อง ไหนเลยจะยอม เมื่อเรื่องสุราดอกท้อไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้ หรือเรื่องเหมืองแร่ก็ยังจะทำอะไรเจ้าไม่ได้อีก

 

 

พอหนิงซีฮ่องเต้มาเยี่ยม เจี่ยไทเฮาจึงไม่ลังเลใจอีก วางท่าทีเมินเฉย ไม่เย็นชาแต่ก็ไม่กระตือรือร้นขณะยกตัวอย่างคดีที่องค์ชายในรัชสมัยก่อนทำผิดกฎหมายแล้วปกปิดประชาชนให้ฟัง ก่อนตบโต๊ะรัวๆ ว่าทำให้ฮ่องเต้เสียหน้าหนักมาก ต่อด้วยการวิเคราะห์คดีตัวอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ฟังว่า การเล่นพรรคเล่นพวกทำให้บ้านเมืองเสียหายอย่างไร จนหนิงซีฮ่องเต้ตกตะลึงพรึงเพริศ เข้าใจความหมายของไทเฮาในที่สุด

 

 

ตอนนี้ แม้แต่ไทเฮาก็ยังยืนข้างผู้รับผิดชอบคดี หนิงซีฮ่องเต้ยังจะแก้ตัวอะไรได้อีก ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าห้าไม่เป็นที่ชื่นชม ล่วงเกินใครไม่ล่วงเกิน เป็นต้องล่วงเกินไทเฮา วันที่สองของการประชุม จึงมีพระราชโองการ ลงโทษเว่ยอ๋อง ซย่าโหวซื่อยวนตามความผิดทางอาญา ดังนี้

 

 

ลดเงินเดือนเว่ยอ๋อง จากหมื่นชั่งเหลือพันชั่ง กักบริเวณในจวนเป็นเวลาหนึ่งปี โดยมีสำนักพระราชวังคอยตรวจสอบพฤติกรรมและประเมินผลเป็นระยะ เพื่อพิจารณาใหม่…เท่ากับถูกควบคุมความประพฤติ

 

 

ห้าปีถัดจากนี้ เว่ยอ๋องจะไม่ได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการใดๆ ทรัพย์สินเงินทองในจวนครึ่งหนึ่งตกเป็นของท้องพระคลัง ถือเป็นค่าปรับตามความผิด องครักษ์เสื้อเกราะของเว่ยอ๋องจำนวนสามพันคนถูกย้ายกลับกรมกลาโหม…เท่ากับริดรอนอำนาจทางการเมือง

 

 

โดยกฎระเบียบของอ๋องแห่งต้าเซวียนมีอยู่ว่า หลังจากองค์ชายอายุถึงเกณฑ์และได้รับแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง จะได้รับหนังสือแต่งตั้งกับตราประทับ เงินเดือนหมื่นชั่ง และผู้คุ้มกันอ๋องโดยเฉพาะ ซึ่งก็คือ อ๋องสามารถเลือกองครักษ์และองครักษ์เสื้อเกราะอย่างน้อยสามพันคนมาคุ้มกันตน

 

 

ซึ่งหนิงซีฮ่องเต้คิดว่าการลงโทษข้างต้น นอกจากสามารถรักษาหน้าไว้ให้เจ้าห้านิดหน่อยแล้ว ก็ยังไม่ปลดบรรดาศักดิ์ เจ้าห้ายังคงเป็นอ๋องต่อ เพียงแต่อำนาจที่แท้จริงถูกขุดจนเป็นโพรงไปหมด

 

 

ตอนขันทีนำพระราชโองการมาที่จวนเว่ยอ๋อง เว่ยอ๋องกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่กับเยี่ยหนานเฟิงที่ห้องด้านใน ครั้นพอออกมาฟังประกาศและรับพระราชโองการ อารมณ์ก็ขึ้น รอจนขันทีจากไป ค่อยเดินเข้าห้องด้านในพลางครุ่นคิด แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ โมโหจนต้องแผดเสียงร้องออกมา ก่อนเข้าไปหยิบแส้ อุปกรณ์เร้าอารมณ์ที่ข้างเตียง เฆี่ยนเข้าใส่ร่างขาวๆ ของเยี่ยหนานเฟิง

 

 

ระยะนี้เยี่ยหนานเฟิงเป็นที่โปรดปรานของเว่ยอ๋องมาก นอกจากทำอะไรได้ตามอำเภอใจในจวนแล้ว แม้แต่กิน เว่ยอ๋องก็ยังต้องป้อนให้ด้วยตัวเอง หรือไม่พอใจอะไรนิดหน่อย เว่ยอ๋องก็จะมากอดปลอบและนอนด้วยทุกคืน ไหนเลยจะรับความป่าเถื่อนเช่นนี้ไหว จึงร้องห่มร้องไห้พลางขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย

 

 

พอเว่ยอ๋องเห็นเนื้อตัวสุดที่รักเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียว แม้เจ็บปวดใจ ทว่าความโกรธก็ยังไม่จางหาย แต่ก็เฆี่ยนไม่ลง จึงทิ้งแส้ แล้วโผเข้ากอดเยี่ยหนานเฟิง ปลอบโยนพลาง ร้องไห้พลาง

 

 

พ่อบ้านในจวนอ๋องหรือผู้ที่มเหสีรองเหวยส่งมาดูแลเว่ยอ๋อง ตอนนี้พอเห็นเว่ยอ๋องสติแตกและโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ก็ได้แต่ยืนปลอบใจอยู่หน้าห้อง

 

 

“ท่านห้าใจเย็นๆ อย่างไรเสียในวังก็ยังมีพระมเหสีรองเหวยคอยช่วย นอกวังก็มีคนสกุลเหวยอีกกลุ่มใหญ่ ฝ่าบาทพระทัยกว้าง ไม่มีทางลงโทษท่านทั้งชีวิตแน่ ท่านต้องอดทนไปก่อน ให้เวลาผ่านไปสักระยะ ฝ่าบาทอาจเปลี่ยนใจ…”

 

 

เว่ยอ๋องฉุกคิด อารมณ์ค่อยสงบลงบ้าง ก็ใช่ อย่างไรตนก็เป็นโอรสของหนิงซีฮ่องเต้ และเป็นโอรสที่ทรงโปรดปรานเป็นที่สุด การขุดเหมืองแร่เป็นการส่วนตัว เป็นไปได้ที่ถูกปลดให้เป็นสามัญชน หรือจำคุกตลอดชีวิต แต่ครั้งนี้ตนเพียงถูกลดเงินเดือนและลดกำลังคน หมายความว่าฝ่าบาทยังมีใจลำเอียงให้ตนอยู่! ไม่แน่ว่าผ่านไปสักระยะ ตนอาจออกไปได้—ตอนนี้ก็คิดเสียว่า พักผ่อนเติมพลังก็แล้วกัน ดีที่ในจวนมีคนรู้ใจอยู่เคียงข้าง!

 

 

คิดพลาง เว่ยอ๋องก็โอบเยี่ยหนานเฟิงที่กว่าจะกล่อมได้เข้ามาไว้ในอ้อมอก แล้วทำกิจกรรมบนเตียงต่อ