ตอนที่ 89-3 ชื่อร้านพระราชทาน กับ ผ่านต้นฤดูหนาว

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

กรมกลาโหมรับผิดชอบเรื่องดำเนินการย้ายองครักษ์เสื้อเกราะกลับคืน อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงชัดเจนดีว่าตอนนี้เว่ยอ๋องมีสภาพน่าสังเวชเช่นไร ความปิติยินดีที่ลูกสาวได้ออกเรือนจึงลดลงกว่าครึ่งทันที ขืนเว่ยอ๋องตกต่ำแบบนี้ไปเรื่อยๆ การดองกับบ้านสกุลอวิ๋นก็อาจถูกลากยาวตาม จึงรู้สึกเศร้าสลดไม่น้อย

 

 

อวิ๋นหว่านถงก็ตกใจหน้าซีดเช่นกัน ตอนอยู่ในวังก็ว่าแล้วว่า ทำไมใจถึงเต้นตูมตาม ตอนนั้นได้แต่รู้สึกว่าเว่ยอ๋องต้องเดือดร้อนเพราะล่วงเกินไทเฮาแน่ แล้วก็เป็นจริงตามนั้นไม่มีผิด

 

 

หลังจากว้าวุ่นใจขณะฟังบิดาพูดจนจบ ก็แอบบอกสาวใช้คนสนิทให้ไปสืบข่าวจากนอกบ้านให้หน่อย

 

 

ทว่าอนุฟางกลับมิได้มองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้น สองสามวันมานี้จึงคอยปลอบใจลูกสาว อวิ๋นหว่านถงไม่ฟังยังดี แต่ฟังแล้วกลับย่ำเท้าไปมา ร้อนใจจนละล่ำละลักว่า

 

 

“ท่านแม่ไม่รู้อะไร อ๋องห้าน่ะ ถูกลงโทษจนแทบล้มละลายด้วยซ้ำ แถมยังถูกกักบริเวณ ริดรอนอำนาจ ห้าปีต่อจากนี้จะไม่ได้รับตำแหน่งใดๆ เลย แม้แต่องครักษ์ก็ยังถูกกรมกลาโหมของท่านพ่อเก็บกลับคืน! พูดหยาบหน่อยก็คือ กระทั่งเศรษฐีในเยี่ยจิงออกจากบ้านไปทานข้าวล่องเรือ ก็ยังมีบ่าวที่ต่อยตีเก่งจำนวนหนึ่งคอยตามคุ้มกัน แต่อ๋องห้าในตอนนี้ ถ้าออกไป กระทั่งบ่าวนำทางก็ยังมีไม่มากเท่าเศรษฐี!…หรือเท่ากับเป็นอ๋องที่ไม่มีหมวกคนหนึ่ง ข้า ทำไมข้าถึงได้เคราะห์ร้ายแบบนี้นะ!”

 

 

มันยากนักหรือที่ฟ้าจะส่งอ๋องที่มีเงิน มีอำนาจมาให้ ถึงได้แต่ส่งแต่อ๋องเนื้อในกลวงมาให้อยู่ร่ำไป เช่นนี้จะไม่ให้เศร้าใจได้อย่างไรเล่า

 

 

อนุฟางจึงว่า “แล้วไง อย่างไรก็ยังเป็นอ๋องมิใช่หรือ ถึงเนื้อในกลวง อย่างน้อยเราก็ได้กำไรที่หน้าตา! มีหมวกอ๋องที่เป็นองค์ชายอยู่ทั้งคน ก็ชนะผู้คนไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว เจ้านะเจ้า ใช่ว่าแม่ว่า ทำไมถึงมองแค่ระยะสั้นๆ เล่า เศรษฐีรึ ถึงมีเงินแค่ไหนก็คนละระดับกับอ๋องอยู่ดี”

 

 

อวิ๋นหว่านถงไม่ค่อยชอบออกนอกบ้าน จะมองไกลได้สักแค่ไหนเชียว โตมาขนาดนี้ ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวก็คือ แต่งงานกับคนมั่งคั่ง มีอำนาจมีบารมี จะได้กินดีอยู่ดี มีหน้ามีตาอวดชาวบ้าน ล้างความอัปยศที่เกิดเป็นลูกเมียน้อย จากนั้นก็ค่อยมองดูคนที่บ้านมาคุกเข่าอ้อนวอนตน

 

 

ตอนนี้พอได้ยินว่า บ่าวในจวนที่เว่ยอ๋องเลี้ยงไว้พากันแยกย้าย กระทั่งองครักษ์ยังถูกเรียกกลับ ทรัพย์สินเงินทองในจวนอ๋องก็ถูกริบเข้าท้องพระคลัง เว่ยอ๋องกลายเป็นคนว่างงานอนาถา ใยจะไม่ว้าวุ่นใจเล่า

 

 

หน้าตาอะไร? มีแต่เปลือก ไม่มีเนื้อเช่นนี้ จะเอาหน้าตามาจากไหน!

 

 

“เจ้าดูๆ เคยเห็นอ๋องที่ไหนยากจนตายหรืออดอยากตายบ้างล่ะ” อนุฟางเห็นลูกสาวมีสีหน้าไม่สู้ดี ก็พยายามพูดปลอบประโลมไปเรื่อย

 

 

อวิ๋นหว่านถงกระพริบตาปริบๆ อย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ก็ใช่ ไม่ค่อยได้เห็นอ๋องที่จนตายหรืออดตายหรอก แต่อ๋องที่ถูกราชสำนักลิดรอนอำนาจจนตกต่ำลง ก็เท่ากับประชาชนคนธรรมดาดีๆ นี่เอง!

 

 

พูดไปก็เท่านั้น อวิ๋นหว่านถงจะทำอะไรได้ ก็แค่อยากบ่นระบาย เพราะพอรู้ว่าเว่ยอ๋องสูญเสียอำนาจ

 

 

ความหยิ่งทะนงที่เพิ่งรู้สึกได้ ก็ราวกับถูกคนสาดด้วยเลือดสุนัข จิตยิ่งมาก็ยิ่งอ่อนไหววิตกจริต กลัวว่าจะสูญเสียทุกอย่างไป อยู่บ้านก็ระแวงตลอด มักรู้สึกเหมือนมีคนนินทาลับหลังว่าตนแต่งให้กับอ๋องเคราะห์ร้ายคนหนึ่ง

 

 

อย่างทุกครั้งที่ชูซย่ากลับถึงเรือนหยิงฝู ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปซุบซิบกับเมี่ยวเอ๋อร์

 

 

“เจ้าว่าคุณหนูทั้งสองของบ้านเรานี่ ล่วงเกินเทพเจ้าองค์ไหนมาหรือเปล่า ก่อนแต่งงานล้วนเจอแต่เรื่องเศร้า หน้าหงิกหน้างอทั้งวัน!”

 

 

เรื่องของเว่ยอ๋อง ตอนนี้นับว่าเป็นหัวข้อสนทนาที่กำลังได้รับความนิยมตั้งแต่หัวจดท้ายซอย วันนี้ก็มีบ่าวสองคนแอบนั่งคุยกันที่หลังเรือน ในคำพูดอาจหลุดชื่อเว่ยอ๋องออกมาบ้าง แต่ดันเป็นจังหวะพอดีกับที่อวิ๋นหว่านถงเดินผ่านมา อวิ๋นหว่านถงจึงคล้ายแมวที่ถูกคนรังแก พองขนตั้งชัน แล้วร้องไห้เสียงดังทันที บอกว่าบ่าวเหยียบย่ำตน โดยแม้แต่บ่าวก็ยังดูแคลนตน

 

 

บ่าวทั้งสองงงเป็นไก่ตาแตก ไหนเลยจะรู้ว่าคุณหนูสามตอแหลเช่นนี้

 

 

ตั้งแต่อนุฟางเล่นงานเถาฮวาสำเร็จ โดยไม่ถูกใครต่อว่าสักคำ นิสัยก็หยิ่งผยองขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อนางเดินมากับลูกสาว ไหนเลยจะปล่อยบ่าวที่ทำให้ลูกสาวร้องไห้ไปได้ จึงเรียกคนมาตบปากบ่าวทั้งสอง ตบจนสลบ ฟื้นมาก็ตบซ้ำอีก ทั้งสองจึงร้องโอดครวญขอชีวิตระงม พลันทำให้หลังเรือนวุ่นวายกันไปหมด

 

 

ชูซย่ากับเมี่ยวเอ๋อร์ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเช่นกัน จึงวิ่งมาดู พอเห็นก็ได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ แม่ลูกคู่นี้วางตัวให้เป็นผู้สูงศักดิ์ที่เจริญแล้วไม่เป็นจริงๆ ยังไม่ทันไร ก็เริ่มแตกตื่น ขัดแย้งกันเองเสียแล้ว

 

 

ตอนอนุฟางตบตีบ่าวของตนเองนั้น อวิ๋นเสวียนฉั่งเพิ่งกลับถึงจวนได้ไม่นานพอดี เดิมทีเขานั่งจิบน้ำชาอยู่ในห้องโถงด้านหน้า พอได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้หลังเรือน พร้อมเสียงยกเก้าอี้ โต๊ะล้ม เสียงตบดังเพี๊ยะๆๆ ดังรบกวนจิตใจ ก็พลันร้อนใจขึ้นมา แม้หมู่นี้ตนยุ่งอยู่นอกบ้าน ก็ยังได้ยินมาว่า อนุฟางเบ่งไปทั่ว อาศัยที่ว่าเป็นคนโปรด เรื่องของเถาฮวา แม้เขามิได้ว่าอะไรนาง แต่ก็ยังติดอยู่ในใจ พอรู้สึกหงุดหงิด ก็ปัดถ้วยน้ำชาที่มีน้ำชาอยู่ตกแตกเสียงดัง ‘เพล้ง’

 

 

พออนุฟางรีบพาคุณหนูสามเข้ามา ยังไม่ทันถอนสายบัว ก็ต้องสบเข้ากับสายตามองแรงอย่างเกลียดชังชองท่านพี่ จึงยืนตะลึงอยู่กับที่ ยังไม่ทันเข้าไปอธิบาย ท่านพี่ก็สะบัดแขนเสื้อ ก้าวยาวๆ จากไปทันที

 

 

หมู่นี้ตามปกติ อวิ๋นเสวียนฉั่งมักค้างคืนที่เรือนของอนุฟาง แต่ตอนนี้เขาหยิบเสื้อคลุม แล้วเดินไปที่เรือนหลัก คร้านที่จะกลับมาอีก

 

 

ขณะอวิ๋นเสวียนฉั่งนั่งสงบสติอารมณ์อยู่กับโต๊ะไม้ชิงชัน ก็มีชาร้อนถ้วยหนึ่งยื่นเข้ามาข้างๆ พร้อมกับเสียงนุ่มนวล คล้ายสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่พัดมาดับเปลวไฟในใจ

 

 

“นายท่านใจเย็นๆ เจ้าค่ะ จิบชาร้อนสักคำก่อน”

 

 

พอเงยหน้าขึ้น จะเป็นใครไปได้ ถ้าไม่ใช่เหลียนเหนียง

 

 

จะว่าไป เหลียนเหนียงถูกย้ายมาที่นี่หลายวันแล้ว แต่กลับไม่เหมือนเถาฮวาที่มาถึงช่วงแรกๆ ก็มักเดินไปมาทั่วบริเวณให้เขาได้เห็นเสมอ

 

 

สีหน้าของเขาจึงผ่อนคลายลง ยกถ้วยกระเบื้องเคลือบขึ้น พลางพูดอย่างอ่อนโยน

 

 

“เจ้าย้ายมาจากห้องครัวแล้วหรือ ข้ากลับไม่ค่อยได้เห็นเจ้า”

 

 

อาจเพราะนางไม่ทำตัวโดดเด่น เขาจึงรู้สึกดี

 

 

เหลียนเหนียงหน้าแดง ก้มหน้าลงเล็กน้อย พูดเสียงมุ้งมิ้งคล้ายยุง ก่อกวนจิตใจบุรุษให้หวั่นไหว…

 

 

“บ่าวเพิ่งเข้ามาทำงานในเรือน มีหลายเรื่องที่ยังไม่คุ้นเคย เกรงว่าจะรับใช้นายท่านได้ไม่ดีพอ หลายวันมานี้จึงอยู่แต่ด้านนอก คอยดูพวกผู้อาวุโสว่าเขารับใช้กันอย่างไร…”

 

 

“อ้อ” อวิ๋นเสวียนฉั่งฟังแล้วก็รู้สึกอบอุ่นใจ จึงหยอกล้อ “ดูอย่างเดียว แต่ตัวเองไม่รับใช้? แอบขี้เกียจนี่”

 

 

ตาสวยของเหลียนเหนียงทำท่าจะร้องไห้ คล้ายสุนัขที่เว้าวอน อยากได้ความรักจากเจ้าของ

 

 

“บ่าวเฝ้าอยู่ด้านนอก หมู่นี้นายท่านงานยุ่ง ถ้ามาค้างคืนที่เรือนหลัก บ่าวจะได้ดับไฟก่อนเที่ยงคืน บ่าวรอให้นายท่านหลับสนิทก่อน ค่อยกลับไปนอนเจ้าค่ะ”

 

 

เป็นคนอ่อนโยนและเอาใจใส่จริงๆ อวิ๋นเสวียนฉั่งรู้สึกว่านางน่ารักน่าเอ็นดู มีความละเอียดอ่อนและฉลาด แบบที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยตอนสาวๆ ไล่ไม่ทัน ถ้าเทียบกันแล้ว ไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้แต่ใช้วิชามารนอกรีตเล็กๆ น้อยๆ เรียกร้องความสนใจจากตน อย่างครั้งนั้นที่ใช้กำยานลุ่มหลงจากดินแดนตะวันตกที่เกือบทำให้สุขภาพตนย่ำแย่ แต่เหลียนเหนียงในตอนนี้ ใช้ความตั้งใจและรู้กาลเทศะอย่างแท้จริง โดยไม่ได้คิดว่า นางมาจากสมาคมม้าผอม ที่เรียนรู้มาแล้วว่าควรเป็นอนุอย่างไร จึงไม่แปลกที่นางจะมีวิธีการเล่นกับผู้ชายที่เนียนกว่าไป๋เสวี่ยฮุ่ย

 

 

พอเหลียนเหนียงเห็นว่านายท่านมองตนอย่างเคลิบเคลิ้ม ก็ไม่พูดอะไรมาก ย่อตัวลง แล้วว่า

 

 

“นายท่านจิบน้ำชาก่อน ถ้าน้ำชาในกาเย็นแล้ว บ่าวค่อยเติมให้ใหม่”

 

 

เพิ่งเอื้อมมือไป มือก็ถูกบุรุษที่อยู่ด้านหลังจับแล้วบีบเบาๆ ตามด้วยเสียงหัวเราะหยอกเย้าของเจ้าบ้าน

 

 

“รับใช้คนเก่งแบบนี้ ไม่ต้องเรียนกระมัง เกินหน้าอาจารย์แล้ว วันนี้เริ่มเข้ามารับใช้เถอะ”

 

 

เหลียนเหนียงดีใจเป็นอย่างยิ่ง หันคอหยกมา มองอย่างอ่อนโยนพลางว่า

 

 

“เจ้าค่ะ”

 

 

ในใจคิดถึงเถาฮวา ที่วันๆ เอาแต่เดินเฉิดฉายโปรยเสน่ห์ไปมาต่อหน้าผู้ชาย จะไปยากอะไร อย่างมากก็ทำให้ผู้ชายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ต่อให้ถูกตั้งเป็นอนุแล้วไง ถ้าไม่มีใครให้ความสำคัญ เป็นไปก็เท่านั้น ถ้าต้องอยู่อย่างน่าอนาถแบบอนุฟาง ในบ้านมีเพิ่มขึ้นอีกคน หรือน้อยลง นายท่านก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก สามารถทำให้ผู้ชายอยากเข้ามาครอบครองเองต่างหาก ถึงจะเรียกว่าแผนมัดใจชาย