เล่มที่ 4 บทที่ 119 ค้นหาหลักฐาน

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“ดี เช่นนั้นข้าไปก่อนล่ะ ระวังตัวเองด้วยนะเจ้าเด็กน้อย”

    ชิงหูยกมือขึ้นลูบเส้นผมยาวสลวยของหลินเมิ้งหยา นัยน์ตาสั่นไหว เผยให้เห็นความอ่อนโยน

    ทั้งที่เป็นการกระทำปกติธรรมดาทั่วไป ทว่าเมื่อตกอยู่ในสายตาของหลงเทียนอวี้ มันมิต่างอะไรจากการถูกยั่วยุ

    “รู้แล้วน่า เจ้าวางใจเถิด ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี”

    หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าคนที่ชิงหูรู้สึกไม่สบายใจเมื่อต้องห่างที่สุดคือตนเอง

    ปกติเขามักจะไม่แสดงออก แต่เมื่อนางตกอยู่ในอันตราย เขามักจะช่วยเหลือนางอย่างรอบคอบเสมอ

    ชิงหูพยักหน้าลง เหลือบมองชายหนุ่มอีกสองคน ก่อนจะออกจากกระโจมไป

    เมื่อหันหน้า กลับได้เห็นใบหน้านิ่วคิ้วขมวดของหลงเทียนอวี้

    “ท่านอ๋อง?”

    หลินเมิ้งหยาส่งเสียงเรียก ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความสงสัย

    หรือเพราะแผนการของพวกเขาไม่ราบรื่น ใบหน้าของหลงเทียนอวี้จึงไม่น่ามองเช่นนี้?

    “ไม่มีอะไร เมื่อครู่เจ้าส่งชิงหูไปทำเรื่องอะไร?”

    หากเป็นแต่ก่อน หลงเทียนอวี้ไม่แม้แต่จะฟังเรื่องของผู้อื่น

    เขากับหลินเมิ้งหยาแบ่งขอบเขตการทำงานกันอย่างชัดเจน โดยจะไม่เข้าไปก้าวก่ายกันเด็ดขาด

    แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เพียงได้เห็นความสนิทสนมระหว่างชิงหูกับหลินเมิ้งหยาในวันนี้ ความขุ่นมัวพลันปรากฏขึ้นในหัวใจ

    ความรู้สึกนั้น เหมือนกับว่าพวกเขามีความลับต่อกันและกัน ทว่าเขากลับกลายเป็นคนนอก

    ขณะเดียวกัน หัวใจของท่านอ๋องผู้นี้จึงรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมา

    “อันที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอกเพคะ”

    หลินเมิ้งหยากลับไม่คิดอะไรมากมายนัก เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้หลงเทียนอวี้ฟัง

    “คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องการสลับตัวเช่นนี้ขึ้นในสกุลเยว่เหมือนกัน”

    หลงชิงหานพูดจบ ในที่สุดก็ส่ายหน้า

    “เหมือนกัน? หรือว่า…เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนหรือเพคะ?”

    หลินเมิ้งหยาสังเกตคำพูดของหลงชิงหาน

    หลงเทียนอวี้และหลงชิงหานสบตากัน สุดท้ายเป็นหลงเทียนอวี้ที่เป็นฝ่ายเล่า

    “ใช่แล้ว เมื่อสิบสามปีก่อน เสด็จพ่อของข้าหลงรักหญิงสาวคนหนึ่งนามว่าชิงเหลียน อันที่จริงนางเป็นหนึ่งในนักร้องเริงระบำเท่านั้น ทว่ารูปร่างหน้าตางดงาม ใครจะรู้เล่าว่าสามปีต่อมา อยู่ ๆ จิตใจของชิงเหลียนจะเปลี่ยนไป เสด็จพ่อทรงกริ้วเป็นอย่างมาก สุดท้ายส่งนางเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น”

    ที่แท้ก็เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในพระราชวัง

    “ต่อมา ชิงเหลียนตายในตำหนักเย็น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากนั้นสามเดือนจะมีหญิงสาวหน้าตางดงามเหมือนกับชิงเหลียนปรากฏตัวขึ้นในซ่องโสเภณี ตอนนั้นทุกคนในเมืองหลวงโจษจันกันว่านางเป็นบ้า เหตุเพราะนางพร่ำเพ้อว่าตนเองคือคนรักของฮ่องเต้”

    สาวงามในวังหลวงถูกสลับตัว อีกทั้งยังถูกส่งไปอยู่ที่ซ่องโสเภณี

    เรื่องนี้ไม่ว่าใครได้ฟังก็คงรู้สึกเหลือเชื่อ

    อีกอย่าง พระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา อย่าว่าแต่การสลับตัวสาวงามเลย ขนาดจะออกจากวังยังเป็นเรื่องยาก

    เช่นนั้นอีกฝ่ายทำได้อย่างไร?

    “หรือว่าหญิงสาวที่ตายในตำหนักเย็นจะมิได้เปิดเผยสิ่งใดออกมาเลยหรือเพคะ?”

    หลินเมิ้งหยาไม่เชื่อว่าฝาแฝดจะไร้ซึ่งข้อแตกต่างไปเสียทีเดียว

    แม้แต่นิสัยใจคอยังแตกต่างกัน เกรงว่าคงไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดการสลับตัวกันในวังหลวง

    “ไม่มี ที่นางถูกส่งตัวเข้าตำหนักเย็นก็เพราะนางข่วนเสด็จพ่อจนได้รับบาดเจ็บ”

    หลงชิงหานส่ายหน้า เรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว ส่วนเรื่องการสลับตัวเป็นเพียงการคาดเดาจากฝ่ายในเท่านั้น

    ตอนนั้นหลงเทียนอวี้และหลงชิงหานอายุยังน้อย

    ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาได้ยินแค่เพียงคำบอกเล่า

    หลินเมิ้งหยารู้สึกสงสัยในใจ ทว่าความคิดบางอย่างพลันปรากฏขึ้นในหัวใจของนาง

    “ในพระราชวังมีความลับมากมายนับไม่ถ้วน ตอนนี้สิ่งที่พวกเราต้องทำคือจับตัวคนร้ายที่ทำร้ายพี่เยว่ถิง”

    ชิงหูถูกส่งตัวไปที่บ้านเกิดของฮูหยินเยว่แล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานจะต้องได้รับข่าวคราวอย่าวแน่นอน

    ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือการหาทางเดินให้กับพี่เยว่ถิง

    “ข่าวถูกกระจายออกไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อเช้าจนถึงตอนนี้มีคนมาแอบฟังอยู่หลายครั้ง แต่คนพวกนี้เหมือนคนเสียสติ พวกเขาเข้ามาและถูกองครักษ์โจมตีกลับไปไม่น้อย”

    ใบหน้าของหลงชิงหานและหลินเมิ้งหยาปรากฏรอยยิ้มมีเลศนัย

    เพราะเหตุนี้คนพวกนั้นจึงพยายามเข้ามาดับไฟตั้งแต่ต้นลม ขอเพียงอีกสามวันข้างหน้าไร้ซึ่งเงาของคนร้าย หลินเมิ้งหยาก็จะได้รับโทษตามความผิด

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะเตรียมการเอาไว้แล้ว

    “หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกสามวันก็คงมิใช่ทางเลือกที่ดี แม้องครักษ์จะมีฝีมือ แต่ก็คงมิอาจรับมืออย่างต่อเนื่องได้”

    ยิ่งไปกว่านั้น การโจมตีของพวกเขาก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น

    “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น คืนนี้ท่านอ๋องไปกับข้าหน่อยได้หรือไม่”

    หลินเมิ้งหยาหันหน้ากลับไปมองทางหลงเทียนอวี้ ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่เผยรอยยิ้มซุกซน

    แม้หลงเทียนอวี้จะไม่รู้ว่านางต้องการทำอะไร แต่ถึงกระนั้นก็พยักหน้าลง

    “จริงสิ ในกลุ่มของพวกที่มาโจมตี มีคนของเถาฮวาอู๋อยู่หรือไม่?”

    อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็นึกขึ้นมาได้ ก่อนหน้านั้นชิงหูเอ่ยว่านักฆ่าแห่งเถาฮวาอู๋มารวมตัวกันที่ตีนเขา

    ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ถูกขังอยู่ในกระโจมยังเป็นนักฆ่าแห่งเถาฮวาอู๋

    “อือ มีอย่างแน่นอน แต่พวกเขาแฝงตัวอยู่ในบ้านสกุลอื่น หากเจ้าไม่เตือนเอาไว้ เรื่องนี้คงไม่มีใครรู้”

    หลงชิงหานพยักหน้าลง ตลอดหลายวันมานี้เขารับผิดชอบดูแลลูกน้องในการนำศพคนเหล่านั้นไปทิ้ง

    ก่อนจะจัดการศพเหล่านั้น เขาตรวจสอบตามคำสั่งของหลินเมิ้งหยา ก่อนจะพบว่าเป็นคนของเถาฮวาอู๋ไม่น้อย

    “เช่นนั้นก็ยากแล้ว หากคนของเถาฮวาอู๋แฝงตัวอยู่ในบ้านทุกสกุล หากพวกเราคิดจะดึงออกมา เกรงว่าจะไม่ง่ายขนาดนั้น”

    คิ้วขมวดเข้าหากัน ตอนนี้หลินเมิ้งหยากำลังตระหนักถึงสุภาษิตที่ว่าความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก

    ยังไม่ทันจะจัดการเรื่องของฮ่องเต้หมิงได้ เถาฮวาอู๋กลับปรากฏตัว โดยที่นางไม่รู้จุดประสงค์ของพวกเขา

    คิดไม่ถึงเลยว่าการล่าสัตว์เล็ก ๆ นี้จะเกิดเรื่องราวมากมายหลายอย่าง

    เกรงว่าจะจัดการเรื่องของพี่เยว่ถิงไม่ได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังไม่รู้ว่าจะปลอบโยนพี่ชายของตนเองเช่นไร

    “กำลังว้าวุ่นใจเพราะเรื่องของเยว่ถิงอยู่อย่างนั้นหรือ?”

    ออกจากกระโจมของหลงชิงหาน หลงเทียนอวี้กระซิบเสียงแผ่ว

    หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง หลุบตาต่ำ ก่อนจะถอนหายใจพลางเอ่ยตอบ

    “ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายกับท่านพี่อย่างไร”

    แม้นางจะเชื่อว่าพี่ชายของตนเองจะมิได้มองผู้อื่นเพียงผิวเผิน แต่เพราะเกิดเรื่องเช่นนี้กับพี่เยว่ถิงขึ้น เกรงว่านางกับพี่ชายจะหมดวาสนาต่อกันแล้ว

    “พี่ชายของเจ้าไม่มีวันโทษเจ้าหรอก ข้าส่งคนไปติดต่อพี่หมิงเยว่อันในแถบชานเมืองแล้ว เยว่ถิงสามารถไปรักษาตัวที่นั่นได้”

    ที่ต้าจิ้นแห่งนี้ อย่าว่าแต่เรื่องข่มขืนเลย ต่อให้มีเรื่องขายหน้าเกิดขึ้นก็สามารถทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงได้

    ตอนนี้เยว่ถิงไม่เพียงไม่อาจแต่งงานออกเรือนได้ แม้แต่การอาศัยอยู่ในเมืองหลวงก็อาจทำให้ช้ำใจตายเพราะคำนินทา

    “หรือชั่วชีวิตนี้จะต้องอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวภายใต้ร่มเงาของพระโพธิสัตว์ จึงจะสามารถปกป้องชื่อเสียงของหญิงสาวเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์?”

    หลินเมิ้งหยาไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าเหตุใดหญิงสาวที่ถูกข่มขืนจำต้องได้รับความทุกข์ทรมานเช่นนี้

    หรือพวกนางไม่สมควรได้รับความเห็นใจและการให้อภัยจากผู้อื่นอย่างนั้นหรือ? เพราะอะไรกัน? เหตุใดผู้หญิงที่น่าสงสารเหล่านั้นจะต้องอดทนต่อคำด่าทอ?

    “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากทำเช่นนี้ แต่ถ้าหากพานางกลับไปยังเมืองหลวงและใช้ชีวิตใหม่ในจวนอวี้ เจ้าคิดหรือว่าเยว่ถิงจะอดทนต่อสายตาและนิ้วที่ชี้เข้ามาตราหน้าของนางได้?”

    แววตาอ่อนโยน ราวกับว่าสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดในหัวใจของหลินเมิ้งหยา

    นางเป็นคนเข้มแข็ง แต่กลับเป็นห่วงเรื่องของผู้อื่นมากจนเกินไป

    มิรู้ว่าเพราะเหตุใด หลงเทียนอวี้รู้สึกว่านางที่เป็นเช่นนี้ช่างน่ารักเหลือเกิน

    “หากเจ้ากลัวว่าจะเหงา เช่นนั้นพวกเราสร้างเรือนเล็กๆ ให้นาง และให้นางอาศัยอยู่ที่นั่นอย่างสงบดีหรือไม่?”

    หลงเทียนอวี้ไม่เคยใส่ใจใครมาก่อนในชีวิต แต่เพราะเยว่ถิงเป็นเพื่อนรักของหลินเมิ้งหยา

    แม้ใบหน้าจะยังฝืนยิ้ม ทว่าหลินเมิ้งหยากลับพยักหน้าลง พยายามบังคับตัวเองไม่ให้เป็นกังวลมากนัก

    ความเห็นแก่ตัวในใจยังคงแอบหวังให้พี่เยว่ถิงได้ลงเอยกับพี่ชาย

    แต่ดูเหมือนจะยากเสียแล้ว

    เหตุเพราะเกิดเรื่องขึ้นกับเยว่ถิงและหูลู่หนาน ดังนั้นการคุ้มกันจึงเข้มงวดมากขึ้น

    สกุลใหญ่หลายสกุลรวมตัวอยู่ด้วยกัน

    คนยิ่งเยอะก็ยิ่งปลอดภัย

    นอกจากกระโจมจวนอวี้แล้ว กระโจมอื่นล้วนอยู่รวมกันอย่างน้อยสองตระกูล

    ดังนั้นเมื่อหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้กลับไปยังกระโจมของตนเอง พวกเขาต้องประหลาดใจที่เห็นบริเวณรอบๆ ของกระโจมว่างเปล่าไร้ผู้คน

    มองเห็นพวกป๋ายจีแต่ไกล แหวกผ้าม่านออก

    สาวใช้ทั้งสี่และหลินจงอวี้กำลังเก็บกวาดกระโจมและดูแลเยว่ถิง

    หลังจากได้พูดคุยกับท่านลุงเยว่แล้ว เยว่ฉีจึงย้ายมาอยู่ที่นี่อย่างเป็นทางการ

    เหตุเพราะเกรงว่าฮูหยินเยว่จะสร้างเรื่องและทำให้เยว่ฉีต้องตกอยู่ในอันตราย

    ดังนั้นท่านลุงเยว่จึงส่งเยว่ฉีมาอยู่ภายใต้การคุ้มครองของหลินเมิ้งหยา

    พี่เยว่ถิงยังคงนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียง หมอหลวงจ่ายยาให้มากมาย แต่กลับไร้ซึ่งผลสัมฤทธิ์

    เมื่อคืนวาน เยว่ถิงมีไข้ตัวร้อน หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน พี่เยว่ถิงอ่อนแอลงกว่าเดิมมาก

    “เกิดอะไรขึ้น? ไข้ยังไม่ลดอย่างนั้นหรือ?”

    หลินเมิ้งหยาเอ่ยถาม เยว่ฉีซึ่งนั่งอยู่ขอบเตียงส่ายหน้าพลางเอ่ย

    “ยังเลยเจ้าค่ะ หมอหลวงบอกว่าอาจเกิดการติดเชื้อที่บาดแผลสักจุดหนึ่ง ดังนั้นไข้จึงยังไม่ลด หากยังไม่ทายาให้เรียบร้อย ต่อให้ดื่มยาขนานไหนก็ไม่มีวันหาย”

    ท่ามกลางการช่วยเหลือจากพวกป๋ายซ่าว เยว่ฉีตรวจสอบร่างกายของเยว่ถิง แต่นางกลับไม่พบบาดแผลใดๆ

    หลินเมิ้งหยากัดริมฝีปากแน่น เหตุเพราะนางนึกถึงเรื่องที่ทุกคนไม่มีวันคาดคิดขึ้นมาได้

    “ท่านอ๋องพาเสี่ยวอวี้ออกไปก่อนเถิดเพคะ ป๋ายจี ป๋ายซ่าว พวกเจ้าเตรียมอ่างน้ำให้กับข้า ป๋ายจื่อจงนำยาที่หมอหลวงจ่ายให้ไปละลายน้ำแล้วใส่ลงไปในอ่าง”