ตอนที่ 73 ศัตรูคู่อาฆาตมาพบกัน

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

มู่เฉียนซีกล่าวถาม “ทางด้านตระกูลโอวหยางมีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้างแล้วล่ะ ?”

องครักษ์เงา “ตระกูลโอวหยางส่งคนไปเอาคืนกับคนพวกนั้นแล้วขอรับ!”

มู่เฉียนซีผุดลุกขึ้นยืน กล่าวขึ้น “ไปกับข้า ไปจัดการคนของตระกูลโอวหยางกับข้า”

บุรุษผู้สามารถกลืนยาลูกกลอนได้ทีเดียวหกสิบเม็ดผู้นั้น นางมีความสนใจเป็นอย่างมาก จะให้คนของตระกูลโอวหยางสังหารเขาทิ้งย่อมยอมไม่ได้

มู่เฉียนซีมาถึงที่หมาย กลิ่นโลหิตฉุนจมูกรุนแรงพัดผ่านใบหน้านาง

— ผลัวะ!  ผลัวะ!  ผลัวะ! —

บุรุษชุดเขียวแกมน้ำเงิน  สวมหน้ากากปกปิดใบหน้าราวกับมีเครื่องต่อสู้ประจำกายกำลังอัดไม่ยั้งมือ ทุกผู้คนที่เข้าใกล้เขาล้วนแต่กระอักเลือดระลอกใหญ่

เขาไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธใด เพียงสะบัดมืออย่างนุ่มนวลก็สามารถปลิดชีพคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย เขาใช้วิธีง่าย ๆ ทว่าหยาบช้าปลิดชีพคู่ต่อสู้ไปแล้วนับสิบคน

“ท่านผู้นำตระกูล!” องครักษ์เงารีบเข้ามายืนตรงหน้ามู่เฉียนซีเพื่อปกป้องนาง

องครักษ์เงาก็เพิ่งจะเห็นวิธีการสังหารอันโหดเหี้ยมเช่นนี้เป็นครั้งแรก การสังหารของชายผู้นั้นดูเหมือนจะง่าย ทว่ามันแฝงไปด้วยความเหี้ยมโหด มือเขาไม่เปื้อนโลหิตแม้แต่น้อย

มู่เฉียนซีกล่าวน้ำเสียงทุ้มต่ำ “พวกเจ้าเห็นเหมือนที่ข้าเห็นหรือไม่ ?”

“ร่างบุรุษชุดเขียวแกมน้ำเงินผู้นี้ไม่มีพลังวิญญาณ ไม่มีพลังลมปราณใด ๆ เสมือนว่าเขาใช้เพียงกำลังภายในเท่านั้น” มู่อีกล่าว

ใบหน้ามู่เอ๋อร์ทาบทาความตกใจ “นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไรกัน ?!”

“ใต้หล้านี้กว้างใหญ่นัก เรื่องแปลกสารพัดล้วนมีอยู่ทั่วทุกสารทิศ แม้วันนี้เรามาแล้วไม่ได้ช่วยอะไร แต่เราก็ได้เห็นบางอย่างที่แปลกประหลาดกับตาตัวเอง” มู่เฉียนซีกล่าว

— ตูม!  ตูม!  ตูม! —

องครักษ์ของตระกูลโอวหยางล้มไปทีละคน  ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ ปรมาจารย์ยุทธ์ จอมภูต หรือปรมาจารย์ภูตที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาก็มิอาจเทียบกับบุรุษชุดเขียวแกมน้ำเงินนี้ได้

“อ๊าก อ๊าก อ๊าก!  ข้าสู้ตาย!” องครักษ์ตระกูลโอวหยางที่เหลืออยู่ใช้ท่าไม้ตายแข็งแกร่งที่สุดรวมพลังกันเพื่อพยายามสังหารบุรุษชุดเขียวแกมน้ำเงิน

— ตูม! —

— ปัง! —

เสียงร่างของคนล้มลงกระแทกพื้นอย่างรุนแรง คิดไม่ถึงว่าเขาผู้นั้นจะเป็นบุรุษชุดเขียวแกมน้ำเงิน

องครักษ์ตระกูลโอวหยางหัวเราะพึงพอใจ กล่าวอย่างลำพองตน “ฮ่า ๆ ๆ! เป็นอย่างไรล่ะ ในที่สุดเจ้าก็พ่ายแพ้ต่อข้า ข้าจะฉีกเนื้อเจ้าให้แหลกเป็นชิ้น ๆ”

“ท่านผู้นำตระกูล… นั่น…”

มู่อีรู้สึกว่าทั้งหมดนี้ช่างน่าประหลาดยิ่งนัก เมื่อครู่บุรุษผู้นี้เพิ่งจะกวาดล้างสิ่งรอบข้างด้วยพลังอันแข็งแกร่งเย้ยฟ้าท้าสวรรค์  ทว่าต่อมากลับล้มลงไปง่ายดาย มันกะทันหันเกินไปหรือไม่ ?

ไหน ๆ วันนี้มู่เฉียนซีก็มาแล้ว นางไม่ยอมให้บุรุษผู้นี้เป็นอะไรไปแน่

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

เสียงตะโกนดังขึ้น กลิ่นอายเย็นยะเยือกน่าหวาดกลัวแผ่คืบคลานมา คนของตระกูลโอวหยางชะงักมือทันทีเมื่อเห็นสตรีร่างบางในชุดผ้าแพรพลิ้วสีม่วง

“ท่านผู้นำตระกูลมู่!” พวกเขาอุทานขึ้นอย่างตกอกตกใจ

“บุรุษผู้นี้เป็นคนของตระกูลมู่รึ ?” พวกเขาแต่ละคนจ้องใบหน้ามู่เฉียนซี อารมณ์กรุ่นโกรธเข้าครอบงำ

มู่เฉียนซียกยิ้มมุมปากอย่างขี้เล่นก่อนจะกล่าวว่า “อ๋อ! ที่แท้คนของตระกูลโอวหยางสงสัยว่าเขาเป็นคนของตระกูลมู่นี่เอง หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าตระกูลโอวหยางส่งคนไปทำร้ายคนอื่นด้วยใช่หรือไม่ ?!  เช่นนั้นก็… ออกมาสู้กับข้าให้หมดเลยสิ!”

“เหอะ ๆ ๆ ดูเหมือนว่าท่านผู้นำจะกล่าวได้ถูกต้องแล้ว คาดไม่ถึงว่าบุรุษผู้นี้จะกล้าลงมือกับคุณชายรองอย่างเหี้ยมโหด เขาต้องเป็นคนของตระกูลมู่ไม่ผิดแน่”

ทันใดนั้นเสียงหัวเราะดั่งลั่น โอวหยางสือหลงปรากฏตัว พร้อมด้วยองครักษ์กลุ่มหนึ่ง  ข้างกายโอวหยางสือหลงยังมีมือดีผู้หนึ่งนั่นก็คือ น้องชายของผู้นำตระกูลโอวหยางจู ‘โอวหยางฉี’

— ฟุ่บ!  ฟุ่บ!  ฟุ่บ! —

ทันใดนั้นองครักษ์เงาตระกูลมู่ปรากฏตัวคอยคุ้มกันมู่เฉียนซีอยู่ด้านหลัง ส่วนคนของตระกูลโอวหยางกรูกันเข้ามาจำนวนมาก แต่ละคนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง

ทางฝั่งตระกูลมู่ พวกเขาดื่มโอสถแทนน้ำและกินยาลูกกลอนแทนข้าว อีกทั้งยังทุ่มเทฝึกสุดชีวิต หากวันนี้มิสามารถสู้รบกับคนตระกูลโอวหยางได้ พวกเขาจะต้องเอาหัวโขกกำแพงฆ่าตัวตายเป็นแน่

“เหอะ!” โอวหยางฉีทำเสียงฮึดฮัดในจมูก แววตาดูถูกเหยียดหยามไม่ปกปิด เขากล่าว “ผู้นำตระกูลมู่คิดว่าเรา ตระกูลโอวหยางจะยอมให้รังแกกันได้ง่าย ๆ เช่นนั้นรึ ?!”

มู่เฉียนซีแสร้งทำใบหน้าไร้เดียงสา กล่าวตอบโต้

“โอวหยางฉี ดวงตาข้างไหนของท่านรึที่เห็นว่าข้ารังแกคนในตระกูลโอวหยาง ? คนของตระกูลมู่มิได้ลงมือทำร้ายโอวหยางเฉียงแม้เพียงนิด  การที่เราผ่านมาเจอกันตรงนี้ก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น”

โอวหยางฉีสีหน้าเคร่งขรึม ในใจต่อว่าเหยียดหยาม ‘เหอะ! คนของเจ้าไม่ได้ลงมือเอง แต่เจ้าก็เป็นคนเรียกให้คนอื่นมาลงมือ’

‘ดึกสงัดเช่นนี้แค่บังเอิญผ่านมาเจอกันเช่นนั้นรึ ? ใครจะโง่เชื่อ!’

โอวหยางสือหลงบันดาลโทสะ “ผู้นำตระกูลมู่! ในเมื่อบังเอิญเจอกัน เช่นนั้นข้าจะส่งเจ้าลงนรกภูมิไปกับคนของเจ้าเสียตอนนี้เลย เจ้าเคยทำร้ายบุตรชายของข้า คืนนี้ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าให้หนักยิ่งกว่า เจ้ามันทำไว้เจ็บแสบนัก!”

“ในตอนที่โอวหยางซินทดสอบเลื่อนชั้น เขาไร้ความสามารถ  เป็นเพียงเศษสวะจึงแพ้พ่ายให้กับข้าอย่างง่ายดาย ส่วนท่าน  เหอะ! ผู้เป็นท่านพ่ออย่างท่านอย่าได้คิดว่าจะแข็งแกร่งกว่าบุตรชาย อายุปูนนี้ข้าว่ายิ่งไร้ความสามารถ ไร้ประโยชน์ไม่ต่างอะไรกับเศษสวะ ถ้าไม่เชื่อก็ดูเอาเถิด แก่เฒ่าปูนนี้แล้วยังเป็นได้แค่จอมยุทธ์ระดับสอง ท่านยังมีหน้ามากล่าวอีกรึว่าจะแก้แค้นให้บุตรชายผู้ไม่เอาไหน” มู่เฉียนซีกล่าวหยอกเย้า แต่วาจานางเสมือนมีดกรีดแสกกลางใบหน้าผู้ฟัง

โอวหยางสือหลงโกรธควันออกหู

“มู่เฉียนซี! เจ้ากล้าว่าข้าเป็นเศษสวะเชียวรึ เจ้ามันเด็กไร้สัมมาคารวะ มิรู้จักต่ำสูงชราเยาว์ รนหาที่ตายนัก!”

“เหวย ๆ ๆ ข้ามู่เฉียนซีผู้นำตระกูลมู่เป็นสตรียังไม่เป็นผู้ใหญ่แต่กลับเป็นถึงผู้บำเพ็ญภูตระดับเจ็ด ส่วนท่านอยู่มาเป็นห้าสิบหกสิบปีแล้วยังเป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับสอง หากท่านไม่ใช่เศษสวะอย่างที่ข้ากล่าว แล้วใครล่ะเป็นเศษสวะ” มู่เฉียนซีกล่าวเย้ย

“มิใช่ทุคนจะเป็นเหมือนเจ้าที่ทุก ๆ วันได้กินยาลูกกลอนแทนข้าว ทว่ากำลังของข้านั้นมั่นคง ทำการใดก็มีหลักขั้นตอนที่ถูกต้องและมั่นใจ”

ถึงแม้ว่าเขาจะดำรงตำแหน่งอยู่ในวังหลวง ทว่าตำแหน่งของตระกูลโอวหยางนั้นมิได้สูงส่งอะไรนัก หนึ่งปีถึงจะได้รับรางวัลเป็นยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งก็นับว่าโชคดีมากแล้ว

มู่เฉียนซี “ถึงแม้ว่าตระกูลโอวหยางจะส่งพวกท่านมา แต่อย่าลืม มีองครักษ์เงาของข้าอยู่ ไม่ว่าข้าจะทำการใดพวกท่านก็มิอาจขวางข้าได้ แต่นี่ท่าน หากท่านปรารถนาจะแก้แค้นนัก ข้าก็จะให้โอกาสนั้น…  มาสู้กับข้าสักตั้งสิ โอวหยางสือหลง ในเมื่อท่านปรารถนาจะแก้แค้นให้กับเศษสวะอย่างบุตรชาย และเพื่อพิสูจน์ว่าตัวท่านเองมิใช่เศษสวะอย่างที่ข้ากล่าวดูแคลน ก็มาสู้กับข้าสักตั้งประเดี๋ยวนี้เลย”

มู่อีได้ยินเช่นนี้พลันผงะไป “อ่า! ท่านผู้นำตระกูล”

พวกเขารู้ว่าว่าท่านผู้นำตระกูลนั้นแข็งแกร่งมากมายขนาดไหน ทว่าพลังของโอวหยางสือหลงสูงกว่าท่านผู้นำตระกูล!

แม้แต่โอวหยางฉียังรู้สึกเหนือความคาดหมาย ‘มู่เฉียนซีกล้าไปท้าทายเขา ช่างน่าขัน!’

‘มู่เฉียนซี เจ้าคงไม่คิดว่าเอาชนะเหว่ยเหว่ยได้แล้วจะเอาชนะโอวหยางสือหลงได้อีกหรอกนะ!’

โอวหยางสือหลงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเล็กน้อย ไม่มีอะไรน่ายินดีไปกว่าการแก้แค้นมู่เฉียนซีให้กับบุตรชายอีกแล้ว ทว่านี่มิใช่เรื่องที่เขาตัดสินใจเองได้

เขาหันมองโอวหยางฉี…

โอวหยางฉีเหลือบมองมู่เฉียนซีด้วยสายตาประหนึ่งอาบเคลือบน้ำแข็ง เขามองเห็นถึงเล่ห์เหลี่ยมของนางได้อย่างชัดเจน

“มู่เฉียนซี เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีสัตว์พันธสัญญาที่สามารถฆ่าสัตว์วิญญาณระดับสามได้ แม้พลังของโอวหยางสือหลงจะมากกว่าเจ้า แต่หากเจ้าเอาสัตว์พันธสัญญานั้นออกมา โอวหยางสือหลงก็ต้องตายอย่างมิต้องสงสัย”

“เจ้าแมวของข้ากำลังหลับใหลอยู่ อีกอย่าง การต่อสู้ครั้งนี้ข้าจะไม่ใช้สัตว์พันธสัญญาเด็ดขาด เช่นนี้แล้วโอวหยางสือหลง หากท่านใจเสาะไม่กล้าสู้กับข้า ท่านก็คงเป็นเศษสวะอย่างที่ข้ากล่าวไว้จริง ๆ”

โอวหยางสือหลงกล่าวโต้อย่างกรุ่นโกรธ “เจ้าว่าใครเป็นเศษสวะ! มู่เฉียนซีเจ้ามันสมควรตาย!  มา! สู้ก็สู้ ข้าไม่กลัวเด็กอย่างเจ้า!”

เขาหันไปมองโอวหยางฉี กล่าวขึ้น “ไม่ว่าอย่างไรวันนี้… ข้าจะต้องปลิดชีพนางเด็กสตรีปีศาจผู้นี้ให้จงได้!”

ไม่ว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับโอวหยางสือหลง ตระกูลโอวหยางก็ถือว่าสูญเสียไปเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ก็ดีเหมือนกันที่ให้โอวหยางสือหลงสู้รบกับนาง เพราะจะได้ยืดเยื้อเวลาออกไป

เกิดแสงวาบประกายขึ้นในดวงตาโอวหยางฉี ‘หึ! มู่เฉียนซี เจ้าคิดว่าพลังองครักษ์เงาของตระกูลเจ้าถึงขั้นปรมาจารย์ภูตปรมาจารย์ยุทธ์แล้วจะยิ่งใหญ่อย่างนั้นรึ ? วันนี้ข้าต้องปลิดชีพพวกมันทั้งหมดให้จงได้’

โอวหยางสือหลงกล่าว ยกยิ้มมุมปาก “ฮ่า ๆ  ซินเอ๋อร์ วันนี้พ่อจะล้างแค้นให้เจ้าด้วยมือของพ่อเอง มันจะต้องชดใช้ให้เจ้าร้อยเท่าพันเท่า!”

.