บทที่ 117

ได้ยินแบบนั้นหวังเหมิงก็เข้าใจมากขึ้นและพูดตอบกลับชายหนุ่มอย่างอ่อนแรง “นายท่าน ข้าเข้าใจผิดไปเอง ได้โปรดให้อภัยข้าเถิด…”

ถังหยินไม่มีทางปล่อยคนเช่นนี้ไปแน่ ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “ช้าไปแล้ว ฆ่าเขาซะ”

พูดจบเฉิงจินก็พลันแทงมีดเข้าใส่ลำคอของหวังเหมิงทันที

คอของชายอ้วนเป็นรูใหญ่ แล้วหัวก็หลุดจากบ่าลงไปกลิ้งบนพื้น ก่อนที่เฉิงจินจะเดินตามถังหยินออกไป

เมื่อมาถึงข้างนอก ถังหยินก็เหลือบมองชายที่ตามมาด้านหลัง และยิ่งมองมากเท่าไหร่ก็ยิ่งพบว่าคนคนนี้เป็นคนที่ใจเย็นมาก รวมไปถึงมีความสามารถที่เก่งกาจยิ่งนัก

บอกตามตรงเลยว่าชายหนุ่มนั้นไม่คิดว่าหน่วยศรทมิฬจะเก่งกาจได้ถึงเพียงนี้ ดูท่าเขาคงต้องมองทั้ง 4 คนนี้ใหม่เสียแล้ว

และเมื่อเรื่องของหวังเหมิงจบกันไปแล้ว ดังนั้นถังหยินจึงหันไปถามคนข้างตัวว่า “เฉิงจิน เจ้าทำได้ดีมาก เจ้าอยากจะได้รางวัลอะไรไหม ?”

“ข้าน้อยไม่ต้องการสิ่งใดทั้งนั้นหรอกนายท่าน” เฉิงจินประกบมือทำความเคารพ

เมื่อได้ยินแบบนั้น ถังหยินก็พยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม “รางวัลเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนที่ทำงานหนักอย่างเจ้านะ ทุกคนในหน่วยจะได้รับเงินจำนวน 2 พันเหรียญเงิน ส่วนเฉิงจิน เจ้าจงไปตรวจสอบเรื่องของขุนนางคนอื่นซะ ดูว่ามีใครอีกที่ทำเช่นนี้บ้าง !”

ในเมื่อหวังเหมิงยังเป็นแบบนี้ งั้นแล้วขุนนางคนอื่นก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงต้องการตรวจสอบใหม่ทั้งหมด เพื่อให้แน่ใจว่ากฎของเขาจะครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อไม่ให้มีเงินหายไปสักแดงเดียว

อย่างไรก็ตาม ด้วยอำนาจที่เขามอบให้แก่เฉิงจิน มันก็คงมากพอแล้ว ที่จะทำให้พวกขุนนางขี้โกงกลัวจนตัวสั่นเทา เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับหวังเหมิง มันไม่ได้ทำให้แค่กลุ่มศรทมิฬเป็นที่โจษจันทั่วปิงหยวนเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกขุนนางต่าง ๆ เลือกที่จะหลีกหนีคนพวกนี้ทันทีที่เห็นหน้าอีกด้วย !

ในเวลาเดียวกัน ข่าวเรื่องผู้ฝึกยุทธ์ศาสตร์มืดก็ได้แพร่กระจายไปทั่วเขตปิงหยวน ดึงดูดให้คนประเภทเดียวกันเข้ามามากมาย เพียงไม่กี่วันก็มีจำนวนผู้ใช้ศาสตร์มืดมากเกินกว่า 30 คนแล้ว

ด้วยจำนวนกำลังพลที่มากขึ้น มันก็ทำให้เฉิงจินจัดการทุกอย่างได้ง่ายขึ้น เขาแบ่งทีมออกเป็น 3 หน่วย โดยหนึ่งทีมไว้สำหรับผู้มีพลังระดับสูง หนึ่งทีมสำหรับระดับกลาง และอีกหนึ่งทีมสำหรับระดับล่าง เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย

นอกจากนี้เขายังสั่งให้ตัดชุดพิเศษสำหรับกลุ่มศรทมิฬ โดยจะใช้สีดำเป็นสีหลัก ไม่ว่าจะเป็นเกราะ หมวก ผ้าคลุม รวมไปถึงดาบก็ล้วนแล้วแต่เป็นสีดำ ทำให้กลุ่มศรทมิฬดูจะมีรูปแบบที่ชัดเจนขึ้น และมีแต่จะเพิ่มกำลังพลขึ้นอีกเรื่อย ๆ ในอนาคต

เมื่อได้เงินที่หวังเหมิงมาคดโกงมา ถังหยินก็ใจกล้ามากขึ้น เขาตัดสินใจที่จะเพิ่มเสบียงและอาวุธแบบไม่หยุดยั้ง ทั้งยังเรียกหยวนจี้ให้จัดหาม้าโมจำนวน 4 พันตัว ภายใต้ราคาเดิมที่เคยตกลงกันไว้

การจัดซื้อครั้งนี้ดูท่าจะไม่นานนัก เพราะพ่อค้าผู้นั้นรับปากว่า ตนนั้นจะกลับมาอีกครั้งพร้อมม้าตามจำนวนที่ต้องการ ในอีกครึ่งเดือนต่อจากนี้ !

หลังส่งเจาจูออกไป ถังหยินกับหยวนจี้ก็เดินไปดูคลังเก็บของของหวังเหมิงต่อ ภายในนั้นมันเต็มไปด้วยผ้าแขวน ภาพวาด และเนื้อผ้าหายากที่ชายร่างอ้วนไปปล้นพวกชาวบ้านมา

เมื่อกวาดตาจนทั่ว เขาจึงหันไปพูดกับหยวนจี้ “ถ้าข้าขายของเหล่านี้ทั้งหมด ก็คงจะได้เงินเพิ่มมาอีกสินะ”

เมื่อก่อนถังหยินไม่ได้ใส่ใจในเงินตรามากนัก แต่ตอนนี้มันกลับตาลปัตรกันไปหมดแล้ว หากแต่ไม่ใช่ว่าเขาละโมบมากขึ้น ทว่าเป็นเพราะชายหนุ่มนั้นเข้าใจดีเกี่ยวกับมันมากขึ้นต่างหาก

เพราะคงต้องยอมรับจริง ๆ ว่า เงินตรานั้นมีความสำคัญมากสำหรับโลกนี้หรือแม้แต่โลกที่เขาเคยอยู่ ถ้าหากไม่มีเงินละก็ กองทหารของเขาก็ไม่อาจคงอยู่ ได้แต่รอวันพังทลาย และอดตายกันหมด !

หยวนจี้พยักหน้าให้ “ถ้าหากเราหาคนรับซื้อได้ ทั้งหมดนี่ก็จะมีค่าหลายหมื่นทองเลยล่ะขอรับ”

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ในเขตปิงหยวนจะมีใครรับซื้อได้กัน ?” เมื่อพูดขึ้นแบบนี้ เขาก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่าตนนั้นได้พบกับตระกูลฟานมาก่อนหน้านี้แล้ว และคนของตระกูลนี่นั้นก็น่าจะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถจ่ายเงินซื้อมันได้ !

ถ้าเขาบอกให้นางซื้อของเหล่านี้ นางจะเอาด้วยหรือไม่ ? ถังหยินส่ายหัวเขาไม่ใช่คนที่จะไปมีเรื่องกับใครก่อนอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายก็เป็นอิสตรี ดังนั้นจึงไม่ควรทำ

ชายหนุ่มยิ้มออกมาแล้วมองหยวนจี้ “หยวนจี้ เจ้าเองก็เป็นคนที่ร่ำรวยเอาเรื่องเลยไม่ใช่เหรอ ?”

ชายนักปราชญ์ยิ้มแห้ง ๆ ออกมา “ก็แค่เคยน่ะขอรับ ข้าเอาเงินไปบริจาคหมดแล้ว และถ้าเกิดต้องซื้อของพวกนี้จริง ๆ ข้าก็คงต้องขายที่ดินและจวนแล้วล่ะขอรับ !”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มก็พลันโบกมือแล้วหัวเราะออกมา “ข้าเพียงแค่หยอกเจ้าเล่นเท่านั้น” เขารู้ดีว่าหยวนจี้มีเงินมากมายในคลังส่วนตัว แต่ไม่ว่าเขาจะร้อนเงินแค่ไหน เขาก็จะไม่บีบบังคับให้หยวนจี้ต้องขายที่ดินหรอก !

“พวกเรายังมีเงินเหลือตั้งมากมาย อย่าเพิ่งรีบคิดถึงคนซื้อของเหล่านี้เลย” ถังหยินตบบ่าของหยวนจี้แล้วเดินจากไป

อันที่จริงแล้ว ชายหนุ่มนั้นอยากจะขายของเหล่านี้ให้กับพวกฟานมาก แต่เขานั้นไม่ใช่คนประเภทที่จะไปเริ่มชวนคุยกับผู้อื่นนี่สิ !

เที่ยงวันนั้น ขณะที่ถังหยินเดินเล่นอยู่ในสวน ก็ได้มีถังซ่งเข้ามารายงานว่าฟานหมินจะเข้ามาพบเขา

ฟานหมิน ? ชายหนุ่มไม่คุ้นกับชื่อนี้เลย “นางเป็นใครกัน ?”

“นายท่าน นางไม่บอกจุดประสงค์ หากแต่บอกเพียงว่านางนั้นคือลูกสาวของฟานจู”

ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้จักฟานจู แต่หลังจากที่ได้ยินชื่อตระกูลฟานจากชิวเจิ้น เขาก็รู้เลยว่านามที่ว่านี่ต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่ ๆ หรือว่าจะเป็นคนเดียวกันกับที่ปรากฏตัวในโรงชาคืนนั้นกัน ?

ถังหยินบอกกับพ่อบ้าน “ให้นางเข้ามารอที่ห้องโถง”

“ขอรับนายท่าน” ชายแก่กล่าวแล้วเดินจากไป

ถังหยินเดินกลับไปยังห้องของเขา แล้วจึงทำการเปลี่ยนเป็นเสื้อที่สะอาดที่สุด เพื่อเตรียมไปพบกับฟานหมิน

ตระกูลฟานไม่ใช่ตระกูลขุนนาง แต่เป็นเหมือนกับเจ้าของกิจการการค้าซะมากกว่า พวกเขามีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งมาก ดังนั้นพวกเขาจึงมีความสำคัญมากในเมืองนี้ ลูกสาวของฟานจูเองก็มีความเป็นผู้ดีเอาเรื่อง ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าหมิ่นนาง หากทว่าถังหยินนั้นกลับปล่อยให้นางรออยู่ที่ห้องโถงนานเกือบครึ่งชั่วยาม

เมื่อเขามาถึง นางก็กำลังนั่งจิบชาเป็นถ้วยที่ 3 แล้ว

เมื่อเห็นถังหยิน ฟานหมินก็วางถ้วยชาลง “ข้าคือฟานหมิน มาเพื่อพบท่านถัง”

นางทั้งสาวและดูสง่างาม ใครก็ตามที่ได้มองหน้าหญิงสาวผู้นี้คงจะมีความสุขไม่ใช่น้อย แต่ทว่าสายตาที่ถังหยินจ้องมองนางนั้น มันกลับไม่ต่างอะไรจากหมาป่าที่จ้องจะขย้ำเหยื่อเลย !

นางกำลังจ้องมองถังหยิน ในขณะที่ชายหนุ่มเองก็ทำเช่นเดียวกัน

ใช่จริง ๆ ด้วย นางคือคนเดียวกันกับในโรงชาวันนั้น แต่ทว่าตอนนี้กลับดูแตกต่างเล็กน้อย คงเป็นเพราะชุดหรูหราที่สวมใส่ ที่ช่วยเพิ่มความงามเข้าไปอีก ทำให้ใครก็ตามยากที่จะละสายตาไปจากนางได้

ช่างเป็นหญิงที่ห้าวหาญยิ่งนัก ถังหยินหัวเราะในใจ “กิจธุระอันใดพาท่านมายังบ้านของข้ากันหรือคุณหนูแห่งตระกูลฟาน ?”

“ท่านก็พูดสุภาพเกินไปแล้ว ข้าสิต้องเป็นคนกล่าวเช่นนั้น ..นับเกียรตินักที่ได้พบกับท่าน เพราะท่านนั้นถึงกับต้องเสียสละเวลางานมาเพื่อต้อนรับข้า !”

ข้าว่างจะตายอยู่แล้วในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ว่าแต่ แม่นี่รู้ได้ยังไงกัน ? ถังหยินหน้าแดงแล้วหัวเราะแห้ง ๆ “ไม่เป็นไรหรอกแม่หญิงฟาน ว่าแต่ท่านเถอะ มาที่นี่ทำไม ?”

ใบหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที “ข้ามีเรื่องจะขอให้ท่านช่วย”

ถังหยินโบกมือให้ฟานหมินนั่งลง เขาเองก็นั่งด้วยเช่นกัน “ว่ามาเลยแม่หญิง”

“ท่านรู้จักตระกูลฟานของข้าใช่หรือไม่ ?”

“เล็กน้อยเท่านั้น”

“ตระกูลฟานของพวกเราขยายกิจการมากมายในเขตปิงหยวนตั้งแต่ร้านอาหารไปจนถึงโรงค้าผ้า จึงนับได้ว่าเป็นการช่วยเพิ่มพูนเงินทองให้กับเขตนี้ ทั้งยังช่วยเพิ่มความรุ่งเรืองให้แก่ท่านด้วยไปในตัว”

“แน่นอนอยู่ ข้าเห็นด้วย” ถังหยินก็ยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ของนางอยู่ดี แต่ก็ตอบรับไปก่อน

“แต่ก็อย่างที่ท่านรู้มา เขตปิงหยวนนั้นไม่ได้สงบสุขเสียทีเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกต่างชาติเลย กิจการค้าขายของพวกเรานั้นถูกทิ้งร้างมากมายแถมชาวเมืองก็มีน้อยนิดเพียงหยิบมือ จึงเกรงว่าถ้าพวกเราเลือกที่จะทำธุรกิจที่นี่ คงจะได้ผลกำไรไม่ดีนัก”

“ท่านหมายถึง…”

“ข้าหวังว่าท่านจะช่วยลดภาษีของตระกูลฟานลง 7 ใน 10 ส่วน ด้วยวิธีนี้ข้าว่าจะไม่เป็นการเสียหายมากนัก ท่านคิดว่าไง ?” ฟานหมินเอนตัวมาข้างหน้าพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะวางแขนไว้บนเก้าอี้ น้ำเสียงของนางนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจราวกับว่าถือไพ่ใบที่เหนือกว่าอยู่

เมื่อเห็นเช่นนี้ พวกพี่น้องฉางกวงที่อยู่ด้านหลังถังหยินก็รู้สึกโกรธขึ้นจมูกในทันที