บทที่ 118

ลดภาษี 7 ใน 10 ส่วนงั้นหรือ นี่มันตลกร้ายเสียเหลือเกิน ! ตอนนี้เขตปิงหยวนนั้นก็แทบจะไม่มีรายได้จากภาษีอยู่แล้ว นี่ยังจะมาขอลดอีกงั้นหรือ ? นี่พวกเขายังไม่พอใจกันอีกหรือไง ?

ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลที่ฟานหมินกล่าวก็ดูจะฟังไม่ขึ้นยิ่งนัก เพราะถึงแม้จะเคยปิงหยวนจะวุ่นวายจริง หากแต่นั้นมันก็ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้มันสงบสุข และชาวเมืองเองก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น ทำให้ร้านค้าต่าง ๆ พากันรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็ว

ข้าไม่ใช่ไอ้โง่ที่จะให้ใครมาหลอกกันได้ !

ถังหยินพยายามกดความโกรธเอาไว้ เขายิ้มออกมาและกล่าว “ข้าคิดว่ามันคงจะมากเกินไปเสียหน่อย เพราะตอนนี้ข้านั้นได้ทำการลดภาษีไปมากถึง 3 ใน 10 ส่วนแล้ว”

“อีกอย่าง ถ้าเกิดว่าข้าปฏิบัติกับตระกูลฟานเป็นพิเศษเช่นนี้ ข้าก็เกรงว่าจะมีปัญหาตามมาได้ เอาแบบนี้ดีไหม เอาเป็นว่าข้าเก็บเงินภาษีจากร้านค้าของท่านแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยแทน ?”

ฟานหมินไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาแบบนี้ ไม่ใช่แค่เพียงจะไม่ยอม หากแต่ยังขู่ที่จะเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีกด้วย ! “ท่านพูดล้อข้าเล่นใช่ไหม ?”

“ไม่อยู่แล้ว ข้าจะพูดเล่นกับเรื่องใหญ่แบบนี้ได้ยังไง ?” ถังหยินจิบชา

“ท่านต้องการที่จะรังแกตระกูลข้างั้นหรือ ?” ฟานหมินมีสีหน้าที่หมองหม่น

“ถ้าท่านไม่รังแกข้าก่อน ข้าจะไปทำแบบนั้นกับท่านทำไม ?”

“พวกเราไปทำเรื่องนั้นตอนไหนกัน ข้าขอคำอธิบายด้วย”

ถังหยินกล่าว “ตอนนี้ไง ! ตระกูลฟานของท่านเปิดโรงชาและมีลูกค้าตลอดเวลา แบบนี้ยังจะมาบอกว่าขาดทุนอีกเหรอ คิดว่าข้าโง่หรือไงกัน ? ข้าบอกตรง ๆ เลยว่าท่านสามารถเปิดร้านอะไรก็ได้มันก็เรื่องของท่าน แต่การที่ท่านพูดเช่นนั้นออกมา มันทำให้ข้าคิดว่า พวกเราคงอยู่ร่วมกันที่ปิงหยวนแห่งนี้ไม่ได้แล้ว !”

ฟานหมินตะลึงที่เขาพูดถึงเรื่องโรงน้ำชาที่นางไม่เคยพูดถึง เขารู้ได้ยังไงกัน ? ทำไมถึงรู้ได้ว่ามีลูกค้าเต็มร้านตลอดเวลา ?

ถังหยินยิ้มออกมาอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมทันทีที่ได้เห็นใบหน้าตะลึงของอีกฝ่าย “ข้ารู้มากกว่านั้นอีก ว่าโรงน้ำชาของท่านนั้นใช้วิธีการดึงดูดคนที่น่าสนใจไม่น้อย ทว่าข้าจะไม่ขอพูดถึงหรือจำกัดท่านหรอก เพราะมันเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจ แต่ข้าก็ขอบอกไว้ก่อนเลย ว่าข้านั้นไม่ใช่ไอ้โง่ที่ทำเป็นแค่การส่งทหารออกไปรบแต่อย่างใด”

ฟานหมินสูดหายใจเข้าลึก ๆ ในตอนแรกนั้น นางคิดว่านี่เป็นเพียงแค่การพูดคุยเล็กน้อยเท่านั้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนมันจะเลยเถิดไปกันใหญ่แล้ว “ท่านถังช่างหลักแหลมยิ่งนัก ถ้าเช่นนั้นท่านก็คงจะเข้าใจถึงสถานะของตัวเองที่มีต่อตระกูลฟานเสียใหม่ด้วย การหมิ่นพวกเรานั้นรับรองได้เลยว่าท่านไม่เจริญหรอก”

ถังหยินหัวเราะแล้วพูดอย่างหนักแน่น “ถ้าข้าสนใจเรื่องนั้นก็คงจะไม่พูดเมื่อครู่หรอก จริงไหม?”

ฟานหมินจ้องชายหนุ่มอย่างตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่นางเจอคนที่หน้าด้านทน และกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าคนของตระกูลฟาน

เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายที่เงียบหายไป ถังหยินก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง เขาพูดขึ้นช้า ๆ “ข้าจะบอกอะไรท่านฟัง ว่าแท้จริงแล้วนั้นข้ายินดีต้อนรับตระกูลฟานเข้าสู่เขตปิงหยวน อีกทั้งยังสามารถลดภาษีให้ท่านเป็นพิเศษได้ด้วย แต่มันคงไม่เท่าที่ท่านร้องขอหรอกนะ”

เมื่อได้ยินข้อเสนอแบบนั้น ฟานหมินก็โล่งอก ก่อนจะรีบถามกลับ “ท่านจะลดได้มากสุดที่เท่าไหร่ ?”

“มากสุดที่ 4 ใน 10 ส่วน” ชายหนุ่มตอบไป “ข้าลดได้มากสุดแค่นั้น แต่ในเมื่อข้ายินยอมที่จะช่วยท่าน ท่านเองก็ต้องช่วยข้าเช่นกัน”

ฟานหมินที่ได้ยินดังนั้น ก็แอบเหยียดหยามในใจว่าชายคนนี้สุดท้ายก็แค่ต้องการผลประโยชน์นี่เอง

นางกล่าวต่อ “ท่านต้องการเท่าไหร่กัน ? ตราบเท่าที่ข้าช่วยได้ข้าจะช่วย”

ถังหยินรู้ดีว่าฟานหมินเข้าใจผิด แต่เขาก็ไม่อธิบาย หากแต่เลือกที่จะลุกขึ้นแล้วเดินออกไป “แม่หญิงฟานได้โปรดตามข้ามา”

เมื่อเห็นเขาลุกขึ้น หญิงสาวก็ลุกขึ้นตาม “ท่านจะพาข้าไปที่ไหน ?”

“ท่านจะรู้เมื่อเราไปถึงเอง” ชายหนุ่มตอบกลับโดยไม่หันมามอง

ถังหยินพาฟานหมินมาถึงหน้าคลังเก็บเงินของเขา ที่มีวัตถุโบราณมากมายที่ได้จากบ้านของหวังเหมิงวางอยู่เรียงรายเต็มไปหมด ที่แท้เขากะจะใช้โอกาสนี้ในการขายพวกมันทั้งหมดให้กับนางนั่นเอง

ฟานหมินรู้สึกสงสัยยิ่งนัก นี่เขาต้องการจะเล่นลูกไม้อะไรกัน ?

เมื่อเข้าไปข้างใน ถังหยินก็พลันเปิดกล่องขึ้นมาแล้วกล่าว “ของพวกนี้มันไร้ค่ามากเมื่ออยู่ในมือข้า แต่ครั้นข้าจะขายออกก็หาคนรับซื้อไม่ได้เลย ดังนั้นข้าจึงหวังว่าตระกูลฟานจะมีกำลังซื้อที่มากพอนะ”

หญิงสาวมองของเหล่านั้นด้วยสายตาสงสัย “หรือว่านี่คือสิ่งที่ท่านบอกว่าอยากให้ข้าช่วยงั้นหรือ ?”

ถังหยินหัวเราะ “แล้วจะมีอื่นใดได้อีก ?”

ฟานหมินเข้าใจผิดอย่างแรง คราแรกนั้นนางเข้าใจว่าชายหนุ่มต้องการที่จะขอส่วนแบ่งผลกำไร หากแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขานั้นต้องการที่จะขายของเท่านั้น เมื่อรู้เช่นนั้น นางก็พลันรู้สึกเขินอายขึ้นมาทันใด

หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ก่อนทำการประมวลราคาสินค้าทั้งหมดแล้วจึงหันมาบอกกับเขา

“มีแค่นี้หรือ ?”

ถังหยินส่ายหัว “มีของแบบนี้อยู่อีกประมาณ 22 กล่อง”

ด้วยจำนวนร้านค้าที่ตระกูลฟานมีอยู่ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะขายของเหล่านี้ หากแต่เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับเวลาที่จะจำหน่ายของพวกนี้ออกไปด้วย “แน่นอนว่าข้าสามารถซื้อของเหล่านี้ และขายให้กับคนที่อยากได้มันจริง ๆ ได้”

“เยี่ยมมาก ถ้างั้นร้านค้าของท่านจะได้รับการลดหย่อนภาษี 4 ใน 10 ส่วนทุกร้านทันที !” ถังหยินดีใจมากที่ได้ยินแบบนี้

จริง ๆ แล้วชายหนุ่มเองก็กังวลเหมือนกัน และการลดภาษี 4 ใน 10 ส่วนนี่ก็นับได้ว่าสุดกำลังที่เขาจะเอื้อมได้แล้ว

ฟานหมินรู้สึกสับสนไปหมด ด้วยไม่เข้าใจถึงเจตนาของชายตรงหน้า ดังนั้นแล้วหลังจากทำข้อตกลงเรียบร้อย นางจึงรีบกลับออกไปในทันที

หลังจากหญิงสาวออกไป พี่น้องฉางกวงก็พูดขึ้นพร้อมกัน “นานท่าน แม่นางผู้นี้ช่างปากกล้าเกินยิ่งนัก ข้าว่าท่านไม่ควรขายของให้นางเลย”

ชายหนุ่มยักไหล่ “ถ้าข้าอยู่ตัวคนเดียวก็คงทำแบบนั้น แต่ตอนนี้ข้าว่าเราต้องผู้สัมพันธ์กับพวกเขาเอาไว้ก่อนเพื่อให้ได้ผลประโยชน์มากที่สุด ไม่ใช่เพียงแค่ฟื้นฟูเขตของเราในตอนนี้เท่านั้น หากแต่ในอนาคตเราจะมีที่สำหรับระบายของจากต่างแดนได้ด้วย”

สองพี่น้องเข้าใจความหมายทันที

ฟานหมินไม่ฉีกสัญญาอยู่แล้ว ในวันต่อมานางก็ส่งคนมารับกล่องทั้ง 22 ใบนั่นไป

เป็นไปดั่งที่หยวนจี้คาดการณ์ไว้ ของทั้งหมดในนั้นขายได้มูลค่ามากถึง 1 แสนเหรียญเงิน ในเวลานี้ตระกูลฟานได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางการเงินที่มั่นคงของพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด เงินจำนวนนั้นถูกส่งมาให้กับเขาพร้อมกับสินค้าที่ถูกจำหน่ายไป

ในเมื่อฟานหมินทำแบบนี้แล้ว ถังหยินก็ไม่รีรออีกต่อไป เขาทำการลดภาษีให้กับร้านภายใต้ตระกูลฟานทั้งหมดลงตามที่ขอไว้ในทันที ซึ่งผลที่ได้มันก็กระทบเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว

ไม่กี่วันต่อมา เขตปิงหยวนที่สงบสุขก็พลันปรากฏเหล่าขุนนางที่ร้อนรนขึ้นมาจำนวนมาก

กลุ่มศรทมิฬกลายเป็นดั่งหมาล่าเนื้อ พวกเขาออกไล่ล่าพวกที่คดโกงทั้งหมดในเมืองเฮิงอย่างดุดัน

การเคลื่อนไหวของพวกเขาทำให้ขุนนางทั้งหลายรู้สึกไม่ปลอดภัย จนไม่กล้าทำอะไรที่เป็นการผิดกฎเลย และกลายเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้คนจำนวนมากพากันหลั่งไหลเข้ามาในเมือง ด้วยเพราะได้ข่าวว่าเมืองนี้ไม่มีขุนนางที่โกงกินแผ่นดิน

และช่วงเวลานี้ก็คือช่วงที่ถังหยินว่างมากที่สุด

ทว่าเขาเองก็มักจะแวะเวียนไปดูละครที่โรงน้ำชาตระกูลฟานอยู่บ่อย ๆ

ละครที่นี่สามารถสะท้อนให้เห็นทุกอย่างเกี่ยวกับเมืองนี้ได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงทำการเก็บข้อมูลจากที่นี่ เพื่อดูว่าผู้คนต้องการอะไรบ้าง ก่อนจะนำมันไปปรึกษากับหยวนจี้เพื่อนำไปใช้งานจริง

ฟานหมินเองก็อยู่ที่นั่นด้วย นางไม่ได้รู้สึกติดขัดอะไรแค่แปลกใจที่เห็นเขามาที่นี่บ่อยมากกว่าเดิม จนทำให้นางคิดไปเองว่าชายหนุ่มหลงใหลในตัวนางเข้าแล้ว หากแต่หลังจากนั้นไม่นานความคิดดังกล่าวก็ถูกปัดทิ้งไป เพราะว่าถังหยินนั้นไม่เคยแวะเวียนเข้ามาเพื่อพูดคุยกับนางอีกเลย หลังจากวันนั้น…