ตอนที่ 206 พูดคุยเรื่องชีวิต

อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด

ตอนที่ 206 พูดคุยเรื่องชีวิต

เขารู้ว่าเธอเป็นแบบนี้ “หรือว่าคุณไม่เคยได้ยินประโยคนี้ที่เรียกว่า……”

ก่อนที่เขาจะพูดอะไรจบ เธอก็รีบตัดบทเขาทันที พร้อมกับมองเขาด้วยท่าทีที่จริงจังและเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำตอบกลับไปว่า “ไม่ค่ะ!”

ดวงตาสีเข้มที่เผยท่าทีเย็นชารีบหันไปจ้องมองทันที ก่อนจะกวักมือเรียกเธอให้เข้าไปหา “มา มานี่ เรามาคุยเรื่องชีวิตกันหน่อยสิ”

“ประธานจิ่งคะ นี่เป็นเวลาทำงาน ช่วยโปรดระวังด้วยค่ะ” เธอยืนนิ่งไม่ขยับ เธอไม่อยากเป็นแกะที่โดนเสือขย้ำในเวลาแบบนี้หรอกนะ เพราะมันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ

“งั้นคงต้องเป็นฉันสินะที่ต้องเดินไป” เขาลุกขึ้นยืน พลางใช้สายตามองปฏิกิริยาตอบกลับจากเธอ

“ประธานจิ่ง คุณนั่งลงแล้วพูดเถอะค่ะ ฉันจะฟังอยู่ตรงนี้แทน” ใบหน้าของเธอเผยรอยยิ้มขึ้น แต่ภายในใจกลับบอกตัวเองว่าไปไม่ได้ ไปไม่ได้เด็ดขาด

เขาขยับท่านั่งและพูดอย่างตรงไปตรงมา “สะใภ้ขี้เหร่ ไม่ช้าก็เร็ว ยังไงก็ต้องไปเจอพ่อตาอยู่ดี”

“ฉันไม่ได้ขี้เหร่นะ เพราะฉะนั้นไปเจอช้าหน่อยก็ได้” เธอโต้กลับโดยไม่รู้ตัว พร้อมยืนเถียงตัวตรง “ประธานจิ่งคุณก็เคยเห็นแล้วนี่!”

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังใบหน้าที่เธอปลอมตัวมา ความจริงแล้วก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไรเลยด้วยซ้ำ แต่มันกลับสวยราวกับเทพเซียนธิดาเลยต่างหาก

เขาใช้นิ้วชี้ข้างขวาเขี่ยไปบนโต๊ะพร้อมเอ่ย “เธอจะไม่ไปจริง ๆ เหรอ?”

“ประธานจิ่งคะ มันยังไม่ถึงเวลา” เธอรู้ว่าเขาจะต้องเข้าใจเธอ

นิ้วชี้ที่เขาเขี่ยอยู่หยุดชะงัก ก่อนจะมองไปที่เธอหลายวินาทีและพูดว่า “ได้ รอฉันกลับมาละกัน”

“ความจริงแล้วคุณไม่ต้องกลับมาก็ได้นะคะ” เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันทีที่พูด เพื่อหลบสายตาพิฆาตของเขา ก่อนจะพูดต่อ “โอเคค่ะ กลับมาก็ได้ค่ะ คืนนี้ฉันจะนอนเป็นเพื่อนหน่วนหน่วน คุณก็กลับมานอนที่เดิมนะคะ”

“อันโหรว!” เขาถอนหายใจด้วยความโมโหและไม่พอใจเป็นอย่างมาก “ฉันต้องเอาทะเบียนสมรสแปะไว้ที่หน้าเธอไหม จะได้เตือนความจำว่าหน้าที่ภรรยาคืออะไร?”

ดวงตาของเธอเป็นประกายเล็กน้อย พลางมองไปที่เขาอย่างไม่เกรงกลัว “ประธานจิ่งคะ ต้องให้ฉันเอาทะเบียนบ้านแปะที่หน้าเตือนคุณไหม ว่าฉันเป็นแม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนลูก หึงหวงแม้กระทั่งลูกตัวเอง ประธานจิ่งคุณเอาอะไรมาวัดกันคะ?”

“ป้อนอาหารสุนัขตัวน้อยเถอะ!”

“หึ……” เธออดที่จะหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยันไม่ได้ เธอมองไปที่ใบหน้าของเขา ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ประธานจิ่ง คุณต้องเตรียมใจไว้ด้วยนะคะ ผู้หญิงสิบสองนักษัตรคราวก่อนยังไม่ได้ไปไหนเลยนะ! ไม่แน่ว่าครั้งนี้ที่บ้านคุณอาจจะมีบรรดาสาว ๆ รอคุณอยู่ก็ได้”

สิบสองราศี สิบสองนักษัตร!

ทันทีที่จิ่งเป่ยเฉินได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกเหมือนนักโทษ นึกถึงคำพูดของซูรั่วหยาในคืนนั้นว่าอย่าเป็นพ่อเลี้ยง

เขาอยากจะตะโกนออกไปดัง ๆ เลยว่าเขาเป็นพ่อแท้ ๆ

“เห็นฉันเป็นผู้ชายที่ถูกผู้หญิงเหล่านั้นยั่วยวนได้ง่าย ๆ งั้นเหรอ?” ภายในใจของเขามีแค่เธอคนเดียว เขารู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร

“คืนนี้ลองดูก็รู้ค่ะ หากประธานจิ่งถูกยั่วยวนจนทำให้สับสนละก็ ฉันจะพาหยางหยางกับหน่วนหน่วนหนีไปแต่งงานใหม่ ไม่ขัดความสุขของประธานจิ่งแน่นอน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ความจริงนั้นเพียงต้องการแกล้งเขาเท่านั้น

หากเขากล้าทำแบบนั้นจริง คงเป็นอย่างที่พูดกับเหลียวเว่ยไว้วันนี้แน่ กำจัดมือที่สามทิ้งซะ อย่างไรเขาก็มีคนของเขาอยู่แล้ว แทบไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะมีใครติดตามมาอีก

จิ่งเป่ยเฉินมองท่าทีที่โต้ตอบจากเธอ แม้จะไม่รู้ว่าเธอนั้นคิดอะไรอยู่ แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอน

“ชั่วชีวิตนี้เธอกล้าไปแต่งกับคนอื่นอีกอย่างนั้นเหรอ? ไม่ต้องห่วง ถ้าเธออยากเล่นแต่งงานและหย่าแบบสายฟ้าแลบละก็ ฉันจะเล่นเป็นเพื่อนเธอเอง เธออยากจดทะเบียนสมรสกี่รอบก็ตามใจ” แต่ชื่อคู่สมรสเธอจะต้องเป็นชื่อฉันคนเดียวเท่านั้น

“หึ ฉันต้องขายทะเบียนสมรสที่โกหกนั้นทิ้งกี่รอบ?” เธอเดินไปที่โต๊ะทำงานของเขา ก่อนจะยื่นเอกสารให้เขาเซ็น “ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว งั้นฉันขอตัวนะคะ”

จิ่งเป่ยเฉินมองแผ่นหลังของเธอที่เดินจากไป ก่อนจะกัดฟันและเอ่ยคำพูดขึ้นว่า “รอฉันก่อนนะ”

อันโหรวหันกลับไปมองใบหน้าอันหล่อเหลาและดูเย็นชา แววตาของเธอนั้นก็ฉายให้เห็นถึงความปวดใจ “คุณนายจิ่งก็เป็นคนในครอบครัวของนาย นายจะอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ทุกอย่างล้วนเป็นครอบครัวนาย”

แม้ว่าเธอจะไม่เอ่ยว่ารอเขา แต่เธอเองก็น่าจะรอเขาอยู่ดี!

ทันทีที่รถของจิ่งเป่ยเฉินมาถึงบ้านตระกูลจิ่ง พ่อบ้านก็ได้รีบเข้ามาต้อนรับทันที

“คุณชาย คุณกลับมาแล้ว!”

จิ่งเป่ยเฉินเหลือบมองไปยังรถสีแดงที่จอดอยู่ไม่ไกล ดวงตาของเขาเผยความเย็นฉาที่แฝงไปด้วยความดุร้าย ก่อนจะไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่ก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน

ทางด้านพ่อบ้านเองก็เดินตามหลังเขาอย่างนอบน้อม ก่อนจะมองสีหน้าที่เย็นชาของเขาและพูดขึ้นว่า “คุณหนูตระกูลถังอยู่ข้างในครับ”

ถังซือเถียนเดินออกมาจากข้างใน ใบหน้าที่ใสสะอาดของเธอเผยรอยยิ้มบาง ๆ หลังจากที่เห็นเขาเข้ามาใกล้ ๆ ใบหน้าของเธอก็ค่อย ๆ พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ “พี่เฉิน”

จิ่งเป่ยเฉินเดินผ่านเธอโดยไม่แม้แต่จะปรายตามอง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เธอมาทำอะไรที่นี่?”

“ฉันได้ยินว่าคุณลุงเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ เลยคิดจะมาเยี่ยมค่ะ” เธอหันหลังและเดินตามหลังเขาไป หัวใจน้อย ๆ ของเธอนั้นเต้นเร็วขึ้นมาทันที

แน่นอนว่าเป้าหมายหลักก็คือการได้เจอเขา แม้ว่าในโลกออนไลน์จะมีข่าวซุบซิบอยู่เต็มไปหมด แต่ทว่าตระกูลจิ่งเองก็เป็นตระกูลสูงส่งที่สุดในเมือง A เช่นกัน แล้วพวกเขาจะปล่อยให้ผู้หญิงที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเข้ามาในตระกูลจิ่งได้ยังไงกัน!

ต่อให้เขาเห็นด้วย แต่ตระกูลจิ่งก็ยังมีผู้อาวุโสคนอื่น ๆ อยู่ เธอไม่เชื่อหรอกนะว่าพวกเขาจะยอมให้ผู้หญิงที่มีลูกอยู่แล้วสองคน อีกทั้งผู้หญิงคนนี้ก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเข้ามาในตระกูล

“เธอรู้ข่าวไวดีนี่ รู้เร็วกว่าฉันเสียอีก” จิ่งเป่ยเฉินเอ่ยคำพูดอย่างเย็นชา

ภายในห้องรับแขก ซูรั่วหยากำลังมองทั้งสองคนที่เดินเข้ามา และเมื่อเห็นลูกชายของเธอกลับมาแล้ว เธอก็ลุกขึ้นและเผยรอยยิ้มให้

“เฉินเอ๋อร์!” ซูรั่วหยาเดินเข้าไปต้อนรับ ก่อนจะแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใย “หิวข้าวไหม! ไปกินข้าวเถอะ”

 

“พ่ออยู่ไหน?” เขาถามออกมาอย่างโต้ง ๆ

ภายในห้องนั่งเล่นกลับไม่มีใครสักคน ทันใดนั้นเองความคิดของเขาก็ผุดอะไรบางอย่างขึ้นมา ที่แท้พวกเขาก็หลอกให้เขากลับมานี่เอง

และก็เป็นอย่างที่คิด เมื่อซูรั่วหยาได้ยินคำพูดของเขาก็แอบสะดุ้งตกใจ ก่อนจะรีบตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “ลูกเฉิน พ่อเขากลับมาแล้ว และก็ออกไปแล้ว”

เขายิ้มอย่างเย็นชา ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาและเงยหน้าขึ้นมองแม่ของตน “จริงเหรอ? กลับไปไวจัง”

ถังซือเถียนเห็นดังนั้นก็รีบเดินเข้ามาใกล้ ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงหวาน ๆ ทันที “พี่เฉิน คุณลุงเขา…….”

“เรื่องบ้านของเรา ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คนนอกอย่างเธอจะเข้ามายุ่งได้?” เขาไม่ได้ถือโทษซูรั่วหยาหรอก เพราะอย่างไรเสียเธอก็เป็นแม่ของเขา แต่ถังซือเถียนนั้นไม่มีข้อยกเว้น

อีกอย่างบางทีความคิดพวกนี้ไม่น่าจะใช่ซูรั่วหยาเป็นคนคิด อาจจะเป็นถังซือเถียนด้วยซ้ำไป

ถังซือเถียนที่ได้ยินคำพูดของเขา เปลือกตาของเธอก็ค่อย ๆ หลับลง ลูกสะใภ้ตัวน้อยที่ดูน่าสงสาร

“เฉินเอ๋อร์ เรื่องพ่อค่อยว่ากันทีหลังเถอะ ลูกกลับมาแบบนี้ แม่ให้ป้าจางทำอาหารที่ลูกชอบที่สุดไว้แล้ว พวกเราไปกินข้าวกันก่อนนะ” ซูรั่วหยาเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว

เธอรู้ว่าวิธีแบบนี้ไม่ได้ผลหรอก ถ้าหากจิ่งเป่ยเฉินฟังคำพูดของเธอละก็ ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้เขาคงแต่งงานไปแล้ว

แต่การที่จะให้เขาเป็นพ่อคนอื่น เป็นพ่อเลี้ยงแบบนี้ เรื่องนี้ที่อยู่ในใจเธอมันทำให้เธอรู้สึกหดหู่ไม่ใช่น้อย

 

มันยากที่จะเข้าใจว่าลูกชายของเขานั้นไม่ได้มีปัญหา กลับกลายเป็นว่าเขานั้นมีปัญหาใหญ่โตเสียจนทำให้เธอต้องประหลาดใจมาก

ในระหว่างที่รับประทานมื้อค่ำนั้น จิ่งเป่ยเฉินก็ไม่ได้พูดอะไร และก็ทิ้งให้ซูรั่วหยาและถังซือเถียนทั้งสองคนไว้เพียงคำพูดไม่กี่คำเท่านั้น

เขาวางตะเกียบลงอย่างรวดเร็ว พลางหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาเช็ดปาก ซูรั่วหยารู้ว่าเขากำลังจะกลับจึงรีบวางตะเกียบลง “เฉินเอ๋อร์ ลูกขึ้นไปข้างบนหน่อย แม่มีอะไรจะให้”

เมื่อพูดจบเธอก็ให้ถังซือเถียนกินต่อโดยไม่ต้องเร่งรีบ และออกไปก่อน

เรื่องให้ของคือเรื่องโกหก แต่เรียกหาเขานั้นคือเรื่องจริง