บทที่ 118: วิญญาณมรดกสายเลือด

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 118: วิญญาณมรดกสายเลือด

โฮกกก!!! โฮกกก! กรรร!! ในที่สุดหลี่เฉิงก็เสียสติไปโดยสมบูรณ์ เขาเหวี่ยงกรงเล็บออกไปยังผู้เป็นแม่อย่างบ้าคลั่ง แต่น่าเสียดาย เขายังเด็กเกินไปเมื่อเทียบกับผู้เป็นแม่ของตน พลังของเขาจึงยังน้อยกว่าซงเจียฝางเป็นอย่างมาก และด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับอีกฝ่ายได้เลยสักนิด แต่ซงเจียฝางก็ไม่ได้ตอบโต้กลับเลยสักนิด กลับกันนางเพียงกอดหลี่เฉิงเอาไว้ ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายไปถึงตัวหลี่เจียนคังได้เท่านั้น

นี่เป็นการแสดงออกทางสัญชาตญาณอีกอย่างหนึ่ง

สัญชาตญาณของผู้เป็นแม่

เช่นเดียวกับตอนที่นางถูกแทงโดยลูกชายของตัวเอง ในตอนนั้นนางก็ทนทำร้ายลูกชายของตัวเองไม่ได้เช่นกัน

ดังนั้นตอนนี้นางจึงอยู่เฉย ๆ และไม่ส่งเสียงอะไร ขณะปล่อยให้ลูกชายของตนข่วนกรงเล็บใส่ตัวเองอย่างบ้าคลั่ง

“วิ่ง…” ซงเจียฝางหันดวงตาสีแดงก่ำของตัวเองไปที่หลี่เจียนคังและเอ่ยออกมา “วิ่ง…ทิ้งเราไว้…วิ่ง!!”

หลี่เจียนคังตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขาจ้องมองปีศาจเจียงซือทั้งสองด้วยสายตาที่ซับซ้อนอย่างไม่สามารถอธิบายได้ ริมฝีปากของเขาสั่นระริกพูดอะไรไม่ออก

มันเหมือนกับว่าเขาเพิ่งตระหนักได้ว่า ตัวเองได้สร้างสัตว์ประหลาดแบบใดขึ้นมา

“ปล่อยเขา…” เขาหลับตาลง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่ซับซ้อน “…ฝางฝาง…ปล่อยเขา….”

“ตอนที่เรายังมีชีวิต เราปล่อยเขาไปในตอนที่เราควรจะดูแลเขาอย่างใกล้ชิด…เพราะฉะนั้นตอนนี้…จะรั้งเขาไว้เพื่ออะไรอีกล่ะ?”

เจียงซืออดีตภรรยาที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ทำท่าทางราวกับไม่ต้องการฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูด นางยังคงล็อกคอของหลี่เฉิงเอาไว้ต่อไป

“ปล่อย…ปล่อย!!” แม้ว่าความแตกต่างของพละกำลังจะมีมาก แต่ความแข็งแกร่งที่หลี่เฉิงระเบิดออกมาจากความหิวโหยสุดขีดนั้นก็ไม่ใช่ธรรมดา ซงเจียฝางปฏิเสธที่จะลงมือทำร้ายลูกชายตัวเอง

ในขณะที่แรงของหลี่เฉิงมีแต่เพิ่มขึ้นตามความหิวโหยของเขา ในที่สุดปีศาจร้ายก็คำรามลั่นและใช้พลังเฮือกสุดท้ายหลุดจากการพันธนาการของซงเจียฝางได้ในที่สุด เขาพุ่งตรงเข้าหาหลี่เจียนคังอย่างบ้าคลั่ง

“พ่อ… พ่อ… พ่อ… พ่อที่รัก…”

“พ่อ… มาแล้ว…”

“ในเมื่อพ่อรักผมมากขนาดนี้…พ่อยอมให้ผมกัด…ใช่ไหม?”

ปากที่อ้ากว้างของหลี่เฉิงและเขี้ยวแหลมคมพุ่งเข้าหาชายวัยกลางคนอย่างรวดเร็ว หลี่เจียนคังยกแขนขึ้นป้องกันตามสัญชาตญาณ แต่ในไม่กี่วินาทีต่อมา ราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาแน่นิ่งไปและหลับตาลง

กร๊อบบบบ…..

มันคือเสียงของกระดูกที่แตกละเอียด

อ๊ากกกกกกกก!! ซงเจียฝางร้องออกมาอย่างน่าสังเวช นางไม่สนใจฉินเย่และพุ่งเข้าหาร่างของหลี่เจียนคังทันที

หลี่เฉิงฝังคมเขี้ยวของตนลงไปที่คอของหลี่เจียนคังอย่างแรง และตอนนี้เขาก็กำลังดูดและดื่มเลือดสีแดงข้นของอีกฝ่ายอยู่

แต่ถึงกระนั้น สายตาของหลี่เจียนคังก็ยังคงจับจ้องไปที่ซงเจียฝาง แม้ว่าผมเผ้าของอีกฝ่ายจะไม่เป็นทรง ผิวจะถูกปกคลุมไปด้วยขนสีดำ และสีหน้าของอดีตภรรยาของเขาในตอนนี้จะดูน่าเกลียดและไร้ความเป็นมนุษย์ แต่ใบหน้าของชายวัยกลางคนกลับปรากฏรอยยิ้มแปลกประหลาดขึ้นบริเวณมุมปาก

ในที่สุดมันก็จบลง…

นี่คงเป็นความรู้สึกของการถูกปลดปล่อยใช่ไหมนะ…

บาปของเรา…ถูกชดใช้จนหมดแล้วหรือยังนะ….?

ไม่คุ้มเอาเสียเลย…มันไม่คุ้มที่จะต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง มันไม่คุ้มที่จะใช้ชีวิตอยู่กับความเศร้าโศกเสียใจ และแน่นอนว่ามันไม่คุ้มที่สุดกับบาปที่เขาได้ทำไปทั้งหมดเลย …เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความดีและความชั่วจะได้รับการตอบแทนอยู่เสมอ และราคาที่ต้องจ่ายนั้นก็สูงมากเหลือเกิน…

รูม่านตาของเขาขยายใหญ่ขึ้น ร่างกายเริ่มแห้งเหี่ยว เขายกมือขึ้นเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้มันตกลงข้างลำตัวอย่างอ่อนแรง

“อ๊ากกกกก!! ลูก…ไม่รักดี! ลูกไม่รักดี!! กรร..!!” ซงเจียฝางพุ่งไปด้านข้างของหลี่เฉิงอย่างรวดเร็ว น้ำตาไหลเป็นสายออกมาจากหางตาทั้งสองข้างของนาง ในวินาทีแห่งความคลุ้มคลั่ง นางคว้าเข้าที่คอของหลี่เฉิงและหักมันโดยไม่ลังเล

กร๊อบ…

เสียงของกระดูกหักดังขึ้นอีกครั้ง

ศีรษะของหลี่เฉิงถูกฉีกออกจากร่างอย่างสมบูรณ์ แต่ศีรษะของเขาไม่ได้ตกลงกับพื้นเนื่องจากกรามของเขายังคงกัดลงไปที่คอของผู้เป็นพ่อแน่น มันจึงยังค้างอยู่บริเวณนั้น

ดูเหมือนว่าในที่สุดสองพ่อลูกก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งหลังความตาย พวกเขาได้รับความเงียบสงบอย่างที่ตัวเองปรารถนามาตลอด

ฉินเย่ดึงกระบี่ของตนออกมาจากฝักช้า ๆ

บางทีการตายของหลี่เจียเฉิงอาจจะดูผิดธรรมชาติและไม่ยุติธรรมในสายตาของกฎหมายแดนมนุษย์

แต่ในสายตาของเขา ทุกอย่างนั้นยุติธรรมและยืนอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล

ชีวิตใช้ด้วยชีวิต มันถูกต้องและเหมาะสมแล้ว

ในที่สุดเหตุการณ์ของตระกูลหลี่ก็มาถึงจุดจบ มีเพียงซงเจียฝางที่เหลืออยู่ ทั้งยังเป็นผู้บริสุทธิ์ที่สุดในเหตุการณ์ทั้งหมด

“เจ้าเองก็ควรจะไปตามทางของตัวเองเช่นกัน” ฉินเย่ชี้กระบี่ของตนไปที่เจียงซือผู้หญิงและเอ่ยเสียงเรียบ

นางดูเหมือนจะไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด แต่หลังจากผ่านไปสามวินาที นางก็ส่งเสียงครวญครางออกมาเบา ๆ

และมันก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ จากการหอบหายใจที่แผ่วเบา ค่อย ๆ กลายเป็นเสียงหอบหายใจอย่างรุนแรง

วิญญาณก็โศกเศร้าเป็นเช่นกัน

หรือบางทีนางอาจจะไม่สามารถที่จะเสียใจได้อีกต่อไป และนี่ก็เป็นเพียงการแสดงออกตามสัญชาตญาณของนางเท่านั้น

นางเอนตัวเข้าหาร่างของหลี่เจียนคัง ศีรษะของทั้งสามอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้ชิดกัน ด้วยศีรษะที่ขาดของหลี่เฉิงอยู่ตรงกลางระหว่างศีรษะของผู้เป็นพ่อแม่ ราวกับภาพถ่ายครอบครัวของพวกเขาไม่มีผิด

ฉินเย่ถอนหายใจออกมาเบา ก่อนจะแกว่งกระบี่ของเขาไปที่บริเวณศีรษะของซงเจียฝางอย่างแรง

เจียงซือสามารถถูกทำลายได้โดยวิธีตัดหัวเท่านั้น แม้ว่าซงเจียฝางจะยังมีดูสติสัมปชัญญะอยู่เล็กน้อย แต่ใครจะรับรองได้ว่าอีกสองสามปีผ่านไปนางก็จะยังเป็นเช่นนี้อยู่?

ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฆ่าอีกฝ่าย

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะรักษาดวงวิญญาณของเจ้าและส่งเจ้าไปยังภพภูมิที่ดี เจ้า…เป็นแม่ที่ดีมากแล้ว”

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่กระบี่ของฉินเย่ฟันลงไปที่คอของซงเจียฝาง ห้องทั้งห้องก็สั่นไหวอย่างรุนแรงและกระบี่ปีศาจของเด็กหนุ่มก็ถูกสะท้อนกลับในทันที

ในเสี้ยววินาทีต่อมา เครื่องหมายสีแดงเข้มก็ปรากฏขึ้นบนร่างของเจียงซือทั้งสอง มันดูคล้ายกับตราประทับโบราณหรือยันต์ที่ขับเคลื่อนโดยสายเลือด

เครื่องหมายดังกล่าวยังคงปรากฏขึ้นมาเรื่อย ๆ และดูเหมือนว่ามีบางอย่างกำลังจะระเบิดออกมาจากร่างของเจียงซือทั้งสอง!

“มันเริ่มขึ้นแล้ว” อาร์ทิสบินมาอยู่ด้านหน้าของฉินเย่และเอ่ยต่อว่า “เหตุผลที่ว่าทำไมวิญญาณมรดกสายเลือดถึงหาได้ยาก ก็เพราะว่าเงื่อนไขในการปรากฏตัวของมันนั้นเกิดขึ้นได้ยากมาก!”

“เงื่อนไขแรก การสืบทอดนั้นจะต้องมีผู้หนึ่งที่ตายและอีกผู้หนึ่งที่ยังมีชีวิต ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจของตัวเองหรือด้วยความบังเอิญก็ตาม”

“เงื่อนไขที่สอง ผู้เป็นแม่จะต้องตายในตอนที่ตัวเองยังตั้งท้องอยู่ เช่นเดียวกับงานวิจัยเกี่ยวกับ DNA ของมนุษย์ ผีเองก็สามารถปกปิด DNA ของตัวเองที่แฝงอยู่ในเซลล์ของมนุษย์ได้เช่นกัน”

“แล้วถ้าเงื่อนไขพวกนี้ครบถ้วน พวกมันก็จะปรากฏออกมา?” ฉินเย่ถาม

อาร์ทิสพยักหน้า “ถูกต้อง เงื่อนไขที่สามก็คือลูกหลานในรุ่นต่อ ๆ มาจะต้องเกิดมาพร้อมกับสายเลือดหยินโดยธรรมชาติ จากนั้นก็กลายเป็นผีทั้ง ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ นี่จะกระตุ้นให้เกิดปรากฏการณ์ของวิญญาณมรดกสายเลือดขึ้น”

ฉินเย่พยักหน้าเบา ๆ แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาหันไปมองศีรษะของหลี่เฉิงและอ้าปากกว้างอย่างตกตะลึง

“กลายเป็นผีในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่…นี่ท่านกำลังจะบอกว่า….”

“ถูกต้อง” อาร์ทิสพึมพำ “หลี่เฉิง…ยังไม่เสียชีวิตในตอนนั้นทันที”

“เป็นตัวของหลี่เจียนคังเองที่เข้าใจผิดว่าลูกของเขาตายไปแล้ว และเริ่มเลี้ยงดูลูกของตัวเองในฐานะของปีศาจเจียงซือ…เจ้าลองดูที่โลงศพของเขา ไม่มีทางที่จะสามารถปลดล็อกจากด้านในได้เลย นั่นหมายความว่าหลี่เฉิง…เสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจเพราะหลี่เจียนคังที่พยายามจะเลี้ยงเขาให้เป็นปีศาจเจียงซือ”

ฉินเย่ถอนหายใจ จากนั้นก็แค่นยิ้มออกมาอีกครั้ง

ไม่ใช่ว่านี่คือการลงโทษจากพระเจ้าหรอกหรือ?

จริง…มันอาจจะมาช้า แต่มันก็ยังมาถึงในท้ายที่สุด

อ๊ากกก!!!! ด้วยเสียงร้องที่ดังสนั่น อักขระสีแดงบนร่างของปีศาจเจียงซือเปล่งแสงออกมาและห่อหุ้มทั้งห้องด้วยประกายแสงสีแดงเข้ม มันดูคล้ายกับการเบ่งบานของดอกพลับพลึงสีแดง ทันใดนั้นปีศาจเจียงซือทั้งสองที่กอดกันแน่นก็เริ่มถูกแยกออกจากกันด้วยแสงสีแดงนั้น

ผิวสีดำเหล็กของเจียงซือเริ่มปรากฏรอยแตกขึ้นทุกที่ เผยให้เห็นการระเบิดของแสงจากภายในร่างราวกับอัญมณีสีแดงที่สุกใส และในวินาทีถัดมาร่างของปีศาจเจียงซือทั้งสองก็ระเบิดออก ส่งผลให้สายลมกระโชกแรงที่พัดไปทั่วทั้งห้อง

“เกิดอะไรขึ้น?” ฉินเย่มองกองไฟทั้งสองกองอย่างตะลึงงัน กองไฟตรงหน้ามีความสูงประมาณหนึ่งเมตร และแม้ว่ามันจะเป็นเพียงกองไฟ แต่มันกลับให้ความรู้สึกที่เย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง ที่สำคัญฉินเย่สัมผัสได้ถึงพลังหยินขั้นวิญญาณอาฆาตที่ก่อตัวขึ้นในใจกลางของกองไฟนั้น

มันก่อตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่า มันไม่ใช่พลังหยินของสมาชิกครอบครัวคนใดในตระกูลหลี่ แต่มันคล้ายกับว่า…ตอนนี้มีสิ่งมีชีวิตบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้น!

ราวกับอ่านความคิดของเด็กหนุ่มได้ อาร์ทิสจึงอธิบาย “การถือกำเนิดของมนุษย์มีเพียงเทพเจ้าที่สามารถทำได้ หรืออาจเป็นท่านจ้าวนรกองค์เดียวเท่านั้นที่สามารถทำได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้…เป็นเพียงการเผยให้เห็นถึงสิ่งที่เคยถูกซ่อนไว้ก่อนหน้านี้ก็เท่านั้น”

“ยกตัวอย่างเช่น การระเบิดของพลังหยินที่ถูกซ่อนเอาไว้ก่อนหน้านี้ภายในร่างของพวกเขา หรือจะพูดให้ถูกก็คือ…มันคือบรรพบุรุษของพวกเขา”

ฉินเย่ไม่ได้ถามอะไรอีก

นี่เป็นเพราะว่าลูกไฟวิญญาณได้ก่อตัวเป็นรูปของดอกบัวสีแดงเข้มที่ค่อย ๆ ผลิดอกออก และก็มีใครบางคนยืนอยู่ในใจกลางของดอกบัว

เป็นร่างโปร่งแสงร่างหนึ่ง

ร่างโปร่งแสงของผู้หญิงคนหนึ่ง!

แม้ว่าจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่รูปลักษณ์ของนางยังคงชัดเจน อีกฝ่ายดูเหมือนจะอายุประมาณ 18 หรือ 19 ปี ผมสั้นประบ่าถูกจัดเป็นทรงอย่างเรียบร้อย ร่างสมส่วนที่สามารถบรรยายได้เพียงคำว่างดงาม สัดส่วนโค้งเว้าอย่างพอดิบพอดี ความงามที่ราวกับมาจากสรวงสวรรค์

หญิงสาวอยู่ในชุดกี่เพ้า และมีความสูง 1.68 เมตร ต้นขาขาวราวหิมะปรากฏให้เห็นจากรอยแยกของกระโปรง ใบหน้างามประกอบด้วยคิ้วคม จมูกเล็ก ๆ ริมฝีปากสีเชอร์รี่ ดวงตากลมโตดูโดดเด่น และมีไฝเม็ดเล็กอยู่บริเวณใต้ตาขวายิ่งขับเน้นความสวยของนางให้มากขึ้นไปอีก

ฉินเย่ตกตะลึง

“นี่มันอะไรกัน?” เขาถามอาร์ทิสโดยที่ไม่ได้ละสายตาไปจากหญิงสาวที่ยังไม่ลืมตาขึ้นมา

แต่อาร์ทิสกลับหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “อะไรน่ะหรือ? นางก็เป็นแค่นางกำนัลคนหนึ่งน่ะสิ”

“ต่อให้หลับตาข้าก็จำกลิ่นเหม็นที่โชยออกมาจากร่างของนางได้! เอาเถอะ ข้ายังอธิบายไม่จบ ทันทีที่กลไกของ วิญญาณมรดกสายเลือดถูกกระตุ้น ร่างสิงสู่จะตายและวิญญาณแฝงของบรรพบุรุษก็จะเข้าควบคุมกายเนื้อของร่างสิงสู่ทันที แต่ในเมื่อร่างสิงสู่ได้กลายเป็นเจียงซือไปแล้ว วิญญาณบรรพบุรุษก็จะปรากฏในรูปแบบนี้แทน”

ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ อย่างสงสัย ก่อนจะถามอาร์ทิสด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความชั่วร้ายเบา ๆ “เหตุใดข้าถึงรู้สึกถึงความเป็นปรปักษ์ที่แผ่ออกมาจากท่านกันนะ?”

“ปรปักษ์” อาร์ทิสแค่นหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าผู้หญิงอย่างนางจะควรค่าพอที่จะได้รับความเป็นปรปักษ์จากข้าอย่างนั้นหรือ? ประการแรก สถานะของนางเทียบกับข้าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ประการที่สอง ลิ้นของนางไม่ห้อยออกมาและไม่สัมผัสกับพื้นด้วย รูปลักษณ์ที่น่าเวทนา! ประการที่สาม ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม นางก็ไม่ควรค่าพอที่จะมาหายใจในอากาศเดียวกันกับข้าด้วยซ้ำ!”

เขาเข้าใจได้ในทันที

การต่อสู้ระหว่างสาวงาม…ฉินเย่พยักหน้าอย่างเข้าใจ พูดถึงเรื่องนี้ ท่านรู้หรือเปล่าว่ารูปลักษณ์ในฐานะรากษสของตัวเองนั้นเป็นเช่นไรน่ะ?

“ด้วยความเคารพเถอะ…แต่ในฐานะของผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ข้ารู้สึกว่านางค่อนข้าง…เอ่อ…ท่านช่วยอย่ามองข้าด้วยสายตามุ่งร้ายแบบนั้นได้หรือไม่? ท่านอาจจะทำให้เข้าใจผิดและคิดว่าท่านต้องการความงดงามของผู้อื่น….โอเค โอเค ท่านงดงามที่สุด และนางก็เทียบกับท่านไม่ได้เลยสักนิด!”

“และหากให้ข้าพูดตามตรง เจ้ารู้หรือไม่ว่าสถานที่ซึ่งดีที่สุดสำหรับวิญญาณมรดกสายเลือดคือที่ใด?” อาร์ทิสเอ่ยตอบเสียงเรียบ

ฉินเย่กระแอมแห้ง ๆ ใบหน้าของเขาแดงก่ำ เขาปิดปากและเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ฮาเร็มของจ้าวนรก?”

อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นจึงตะคอกกลับอย่างเดือดดาล “เจ้าจะบอกว่าข้าไม่มีค่าพอที่จะอยู่ในฮาเร็มของเจ้าอย่างนั้นหรือ?! เจ้ารู้หรือไม่ว่าในอดีตมีตุลาการนรกกี่ตนที่คอยไล่ตามข้า และข้าไม่แม้แต่จะปรายตามองพวกเขาด้วยซ้ำ! เจ้าคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์เลือกด้วยหรืออย่างไร?!”

ฉินเย่รู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง เมื่อนึกถึงร่างรากษสของนาง ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน…ไม่ ออกนอกเรื่องไปกันใหญ่แล้ว ประเด็นก็คือข้าไม่เคยคิดเรื่องนั้นกับท่านมาก่อน!!

ให้ตายก็ไม่เคยคิด!!!

“ไม่…ท่านมีความคิดพวกนี้ได้อย่างไร? ตื่นได้แล้ว! เลิกฝันสักที! ช่องว่างระหว่างวัยระหว่างเรามันมากราวกับช่องแคบมะละกา เรื่องของเราไม่มีทางเป็นไปได้!!”

อาร์ทิสตะโกนหลับด้วยเสียงที่เดือดดาลมากกว่าเดิม “แล้วเจ้าล่ะ?! คำว่า ‘อ่อน’ มันเขียนอยู่บนใบหน้าเต็มไปหมด และสถานะยมบาลของเจ้าก็แตกต่างจากข้าราวกับกำแพงเมืองจีนเช่นกัน!! เจ้ากล้าจินตนาการภาพของตัวเองอยู่เหนือร่างของข้าได้อย่างนั้นรึ?! เจ้าไปได้ความมั่นใจปลอม ๆ พวกนี้มาจากที่ใดกัน?!”

“ให้ตายเถอะ…นี่ท่านไปรู้จักคำว่า ‘อ่อน’ ได้อย่างไร?…แล้วท่านก็ช่วยอย่าพูดจาน่าขนลุกเช่นนั้นอีกได้หรือไม่? ผู้ใดอยากอยู่เหนือร่างของท่านกัน?! ไม่ใช่ว่าท่านกำลังคิดไม่ดีกับข้าอยู่ใช่หรือไม่?!”