บทที่ 119: ผู้ตรวจสอบอดีตกรรมคนแรก

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 119: ผู้ตรวจสอบอดีตกรรมคนแรก

อาร์ทิสหัวเราะเสียงเย็น “ได้ ฮาเร็มของเจ้าสามารถมีทั้งหญิงสาวที่มีรอยยิ้มน่ารัก ราชินีน้ำแข็ง และผู้หญิงที่เฉลียวฉลาด แต่…เหตุใดเจ้าถึงไม่คิดที่จะรวมข้าเข้าไปด้วย? เจ้าดูผีสาวพวกนี้สิ ไม่เห็นจะน่าดึงดูดเลยสักนิด แต่เข้ากลับคิดที่นำพวกนางไปอยู่ในฮาเร็มของตัวเอง แต่กับข้า…ทั้ง ๆ ที่เจ้ามีราชินีแห่งความงามอยู่เคียงข้างมาตลอดหลายเดือน เจ้ากลับเมินเฉยต่อการมีอยู่ของข้าเช่นนี้น่ะหรือ?!”

ฉินเย่พูดอะไรไม่ออก สุดท้าย เขาเพียงชูขึ้นในอากาศและเอ่ยว่า “โอเค…ถ้าเช่นนั้นองค์ราชินีแห่งความงดงามผู้สูงศักดิ์ รากษสผู้น่าเคารพ ท่านจะยินดีที่จะได้มีส่วนในฮาเร็มของเจ้านรกคนใหม่ผู้นี้หรือไม่? เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ท่านจะได้รับสาวใช้และที่ดินขนาดห้าตารางกิโลเมตรเป็นของหมั้นหมาย”

“ไสหัวไป” อาร์ทิสเอ่ยขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยจบ ซ้ำร้าย นกกระเรียนกระดาษยังใช้ปีกเล็ก ๆ ข้างหนึ่งของตัวเองชี้ไปที่ประตูอีกด้วย

ใช่แล้ว

ความรู้สึกนั้นแหละ

ทุกอย่างกลับสู่สภาวะอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว

สีหน้าของฉินเย่บิดเบี้ยวเล็กน้อย “เดี๋ยวนะ…ในเมื่อท่านไม่เต็มใจ เหตุใดท่านจึงขออะไรแบบนี้ตั้งแต่แรกกัน?!”

นกกระเรียนกระดาษกระพือปีกอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนที่จะงอยปากเล็ก ๆ เอ่ยว่า “เจ้าไม่เข้าใจ นี่มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีของผู้หญิง”

อ่าาาา… ผู้หญิง…

“ขออภัย” ทันใดนั้นเอง น้ำเสียงที่มีเสน่ห์และก้องกังวลก็ดังขึ้นเบา ๆ “ทะ ท่านคือ…ยมทูตใช่หรือไม่?”

ทั้งสองหันไปทางต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียงกันและก็เห็นวิญญาณตรงหน้าได้ลืมตาขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นางดูบอบบางราวกับดอกบัวทองที่แสนสวย หญิงสาวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของฉินเย่และแย้มยิ้มบางเบา “ข้าได้เสียชีวิตลงในสมัยของสาธารณรัฐจีน [1] ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่…ว่าตอนนี้คือยุคสมัยใด?”

“นั่นมัน…” ฉินเย่กำลังจะตอบออกไปทว่าทันใดนั้นเขาก็แน่นิ่งไป

เด็กหนุ่มก้มมองด้านล่างอย่างแข็งทื่อราวกับหุ่นยนต์ ก่อนจะพบว่ามีมือข้างหนึ่งกำลังเกาะอยู่บริเวณหว่างขาทั้งสองข้าง ณ จุดที่ไม่สามารถเอ่ยชื่อได้!

มันคือมือที่ขาวซีดของวิญญาณตรงหน้า

ให้ตายเถอะ…นะ นี่…นี่เป็นการเปิดประโยค….ที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน…

วิญญาณสาวตรงหน้าดูเหมือนจะตกใจเล็กน้อย นางมองไปที่ฉินเย่ก่อนจะมองมือของตัวเองจับตรงนั้นอยู่ จากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างหวานหยดย้อย “จริงหรือนี่…แทบจะดูไม่ออกเลย…ท่านมีต้นทุนที่ดีไม่น้อย…”

ฉินเย่ดึงตัวเองให้หลุดมาจากมือของผีสาวได้ในที่สุด เขาไม่ได้อายเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะอย่างไรแล้ว การทำตัวเขินอายนั้นเป็นสิ่งที่ห่างไกลจากตัวเขาอย่างมาก

เย็น…

มันเย็นมากจริง ๆ…สิ่งที่ควรจุดประกายความรู้สึกร้อนรุ่มของเขากลับทำให้เขาต้องหดตัวกลับเพราะมือเย็น ๆ ของวิญญาณตรงหน้า

ทำไม…ทำไมนะทั้ง ๆ ที่ผู้ชายรอบตัวข้าถึงมีแต่คนหน้าตาดี ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มน้อยน่ารักอย่างเพื่อนร่วมห้องหวังเฉิงห่าว หรือสหายร่วมงานหลินฮั่น….แต่ทำไมผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ ข้าถึงไม่ปกติสักคน? ไม่ว่าจะเป็นอาร์ทิสและลิ้นที่ยาวลากพื้นของนาง หรือว่าหญิงสาวจากสาธารณะรัฐจีนที่ทำให้อวัยวะของเขาหดตัวได้ด้วยการสัมผัสเพียงเล็กน้อย…

หะ….หากทุกอย่างยังเป็นแบบนี้ต่อไป….ข้าจะมีชีวิตปกติ ๆ แบบคนอื่นเขาได้อย่างไร…

ทั่วทั้งห้องถูกปกคลุมด้วยความเงียบที่น่าอึดอัดทันที

ผีสาวมองไปที่มือโปร่งแสงของตัวเองอย่างซุกซน ราวกับยังคงเพลิดเพลินกับความอุ่นที่ยังติดค้าง คิ้วของนางโก้งโค้งดูยั่วยวนอย่างไม่น่าเชื่อ หญิงสาวมองฉินเย่ด้วยดวงตากลมโตของตน ส่งคลื่นไฟฟ้าผ่านอากาศ

เป็นเวลานานมากแล้วที่ฉินเย่ไม่ได้เห็นหญิงที่ไม่สงวนท่าทีแบบนี้ ชีวิตบนแดนมนุษย์นั้นหนักหนาสำหรับเขามาก และเขาก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะสามารถปกปิดการมีตัวตนและไม่เป็นที่สังเกตต่อทั้งโลกต่อไป หากพูดสั้น ๆ ก็คือนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับความร้อนรุ่มเช่นนี้

และในขณะเดียวกันก็ดูน่าอับอายไม่น้อย…

ในวินาทีนั้น เด็กหนุ่มและวิญญาณก็จ้องหน้ากันโดยที่ไม่เอ่ยอะไรออกมา

“เกี่ยวกับเรื่องนั้น…ข้าควรจะทำอย่างไรดี?” เขากระแอมออกมาแห้ง ๆ

“เจ้าถามเกี่ยวกับภูมิหลังนางสิ” อาร์ทิสเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย

ทว่าก่อนที่เขาจะได้ถามอะไรออกมา ผีสาวก็จ้องไปที่นกกระเรียนกระดาษอย่างตกตะลึงก่อนจะคุกเข่าลงขณะที่ร่างทั้งร่างสั่นเทาอย่างรุนแรง

“ท่านยมบาลผู้สูงศักดิ์ โปรดอภัยให้กับความโง่เขลาของข้าด้วยที่ไม่ทันสังเกตว่ามีผู้สูงศักดิ์เช่นท่านอยู่ที่นี่ โปรดอภัยให้กับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ด้วยเถิด”

ฉินเย่มองวิญญาณตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ หมายความว่าอะไร? ที่เจ้ากล้าพูดจาหยอกเอินกับข้าก่อนหน้านี้ เพราะข้าระดับต่ำไปหรือนี่?

จะดูถูกยมทูตขั้นนักล่าวิญญาณเกินไปแล้วนะเฟ้ย!!

“อืม” อาร์ทิสตอบอย่างไม่ได้สนใจนักขณะที่กระพือปีกให้ฉินเย่ สายตาสื่อออกมาว่า ‘เจ้าก็จัดการต่อสิเจ้าทึ่ม!! คิดจะให้ข้าทำทุกอย่างเลยหรือ? เจ้าเป็นจ้าวนรกนะ! ช่วยทำตัวให้เหมาะสมสักนิดไม่เป็นเหรอ?’

ทนไว้…ฉินเย่สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะก้าวไปด้านหน้าสองก้าว จากนั้นก็กระแอมเบา ๆและคารวะด้วยการใช้กำปั้นประสานกับฝ่ามือแบบง่าย ๆ “คุณผู้หญิง…”

“ให้ตายเถอะ!!!” อาร์ทิสบินและตบหน้าเด็กหนุ่มด้วยปีกของตนขณะตะคอกอย่างโมโห “เฮอะ…พวกบุรุษเพศ ถอยไป!!”

ฉินเย่รีบหลบไปด้านข้างอย่างเชื่อฟังทันที

นี่ไม่ใช่ความผิดของเขาเสียหน่อย ก็ข้าถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีนี่ นี่…นี่มันเป็นปฏิกิริยาของราชันย์ปีศาจที่ได้เห็นสาวงามเชียวนะ…

ผีสาวก้มหน้าด้วยความหวาดกลัวเมื่อร่างเล็ก ๆ ของอาร์ทิสบินมาอยู่ตรงหน้า หลังจากนั้นไม่นาน อาร์ทิสจึงถามว่า “เจ้าคงเคยเห็นยมบาลมาก่อน ดี เราจะได้เข้าเรื่องกันเลย แนะนำตัวของเจ้าเสีย”

“…ชื่อของข้าคือซูตงเซวี่ย และข้าเกิดในเดือนพฤศจิกายน คริสต์ศักราชที่ 1930 ก่อนข้าจะเสียชีวิต…” นางกัดริมฝีปากของตัวเอง ใบหน้างามเผยให้เห็นสีหน้าที่เจ็บปวด “ข้าเป็นนักร้องอยู่ที่ซ่องแห่งหนึ่ง…”

“พูดให้ชัดเจนกว่านี้” อาร์ทิสเอ่ยแทรกขึ้นอย่างเหลืออด “ซ่องอะไร? หอคณิกา โรงน้ำชา หรือสถานเปลื้องผ้า? หรือตลาดล่าง? หรือ….”

นางแย้มยิ้มหยันและเหลือบไปมองที่ฉินเย่ “นางบำเรอกาม?”

ซูตงเซวี่ยก้มหน้าลงมากกว่าเดิม หลังจากลังเลอยู่หลายนาที นางก็ตอบออกมาในที่สุด “สถานบันเทิงเปลื้องผ้า”

อาร์ทิสหันไปมองฉินเย่อย่างสื่อความหมาย ราวกับนางต้องการจะบอกว่า ทีนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง? ข้ายังคงเป็นผู้ที่สูงส่งที่สุดในตอนนี้

“…มันแตกต่างกันอย่างไร?” ฉินเย่ถามอย่างผิดหวังเล็กน้อย

อาร์ทิสจึงอธิบายว่า “หอคณิกานั้นจะไม่เหมือนกับซ่องโสเภณีทั่วไป เหล่าหญิงสาวที่นั่นจะขายศิลป์ไม่ขายเรือนร่าง หอคณิกาส่วนใหญ่มักจะตั้งอยู่ในบ้านหรือสวนที่สวยงามหรือบ้านรูปแบบตะวันตกที่มีการจำกัดจำนวนผู้เข้า และเจ้าของสถานที่พวกนี้ก็ร่ำรวยและมีอิทธิพลพอ ๆ กับพวกขุนนางในสมัยนั้น”

“ซ่องโสเภณีระดับสองจะมีความหรูหราและสวยงามรองลงมาเล็กน้อย แต่มันก็ยังเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างพิเศษ ที่นี่จะถูกเรียกว่าโรงน้ำชา เหล่าผู้หญิงส่วนใหญ่ของที่นี่ก็ไม่ได้ขายร่างกายของพวกนางเช่นกัน ซ่องโสเภณีระดับสามจะถูกเรียกว่าซ่อง มันจะเรียบง่ายกว่าโรงน้ำชา เล็กน้อย เมื่อพูดถึงสถานที่แห่งนี้…” นางลากเสียงยาวอย่างสื่อความหมาย “เจ้าสามารถพูดได้เลยว่าเหล่าสตรีที่อยู่ที่นี่แห่งนี้จะไม่ใช่เจ้าของร่างกายของตัวเองอีกต่อไป…เจ้าเป็นอะไร?”

ฉินเย่กุมหัวใจของตนขณะที่เผยสีหน้าที่เจ็บปวดออกมา “ไม่มีอะไร…เชิญท่านพูดต่อเถอะ…”

ซูตงเซวี่ยนั้นงดงามมากเสียจนสามารถเป็นเทพธิดาแห่งวงการบันเทิงได้อย่างง่ายดาย ทุกอย่างบนร่างของนางนั้นก็ไม่เคยผ่านการศัลยกรรมมาก่อนเลยด้วย แต่ภาพลักษณ์อันบริสุทธิ์ของเทพธิดาของเขาก็พังทลายลงโดยความจริงที่ว่านางเคยร่วมเตียงกับผู้ชายนับพันที่ได้รู้จักเรือนร่างของนางทุกซอกทุกมุม…

ฉินเย่รู้สึกขมขื่นเป็นอย่างมาก!

หึหึ…คิดจะสู้กับข้าอย่างนั้นหรือ? อาร์ทิสเหลือบตามองฉินเย่อย่างผู้ชนะ ข้ารู้ดีว่าบุรุษเพศอย่างพวกเจ้านั้นเป็นอย่างไร รวมไปถึงวิธีที่จะรับมือกับพวกเจ้าด้วย เมื่อเวลาผ่านไป ภายในยมโลกจะมีความงามอีกมากมายที่เหนือจากแดนมนุษย์ และในฐานะของว่าที่เจ้านรกคนต่อไป สิ่งแรกที่เจ้าจะต้องเรียนรู้ก็คือการควบคุมสิ่งที่อยู่ใต้เข็มขัดของตัวเอง….

–ในมโนของอาร์ทิส–

ฉินเย่นั่งอยู่บนบัลลังก์ของเจ้านรกอย่างสง่าผ่าเผย ในขณะที่กลุ่มนางสนมที่อยู่ด้านล่างโค้งคำนับเขาอย่างสุภาพและเคารพ “ท่านจ้าวนรกจงเจริญ”

หญิงสาวในชุดกระโปรงสวยงามถอดชุดเกาะที่หุ้มด้วยทองคำออกจากร่างของฉินเย่ “น้องสาว แม้ว่าเราจะเป็นพี่น้องกัน แต่นี่ก็ไม่ได้เปลี่ยนข้อเท็จจริงที่ว่าเรายังต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้กำเนิดรัชทายาท และเพื่อความแข็งแกร่งของนครวิญญาณ ดังนั้นให้น้องของข้าเป็นผู้ที่ได้เข้าไปรับข้าท่านในคืนนี้เถอะ”

ข้าควรจะจัดตั้งฮาเร็มในนครวิญญาณดีไหมนะ?

ไม่…ข้าต้องหยุดคิดมันเดี๋ยวนี้ จะให้เรื่องใต้เข็มขัดมาทำลายอุดมการณ์ไม่ได้…อาร์ทิสกระแอมออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ระดับสี่นั้นยิ่งเลวร้ายกว่ามาก และโดยทั่วไปแล้วจะพุ่งเป้าไปที่พวกข้าราชการ สถานที่เหล่านี้จะเรียกว่าตลาดล่าง ส่วนของนางบำเรอ…”

นางยิ้มบาง ๆ “โดยพื้นฐานแล้วคนพวกนี้เป็นโสเภณีที่ผิดกฎหมาย”

ตอนนี้คราบเทพธิดาของนางได้หลุดออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาร์ทิสกลับเข้าเรื่องในที่สุด “เจ้าตายได้อย่างไร? แล้วเหตุใดเงื่อนไขของวิญญาณมรดกสายเลือดถึงเกิดขึ้นมาได้?”

ฉินเย่มองไปยังซูตงเซวี่ยอย่างคาดหวัง ว่าจะได้ยินเรื่องราวความรักที่น่าเศร้าจากอีกฝ่าย และอะไรเป็นเหตุที่ทำให้หญิงสาวหน้าตาสะสวยทั้งยังมีความสามารถต้องจบชีวิตลง….และจบลงด้วยการกลายเป็นผีแบบนี้

นี่ไม่ใช่เพราะเขาใช้สมองส่วนล่างที่อยู่ระหว่างขาในการคิด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นวิญญาณธรรมดานอกเหนือจากตัวเองและอาร์ทิส และบังเอิญที่วิญญาณตรงหน้าเป็นผู้หญิง ทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ที่อาจได้มาอยู่ในฮาเร็ม แค่ก ๆ …ถึงอย่างไรการทำความเข้าใจผู้หญิงของนครวิญญาณของเขาในอนาคต ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งที่ต้องทำเหมือนกันไม่ใช่หรือ?

อีกอย่างมีใครจะปฏิเสธไหมเล่าว่าไม่คิดอะไรกับสาวงาม หรือหนุ่มหล่อสักคนในเชิงนั้นน่ะ?

“นายหญิงของข้ากำชับข้าเอาไว้ว่าห้ามรับแขก แต่ข้าก็ยังขัดคำสั่ง และตั้งท้องโดยไม่ได้ตั้งใจ ข้าจึงถูกทำร้ายจนเสียชีวิตภายในซ่อง” น่าเสียดายที่คำตอบของนางนั้นเป็นเหมือนกับสายฟ้าที่ผ่าลงมากลางใจของฉินเย่

โลกนี้มันโหดร้ายกว่าที่เขาคิดไว้มาก ฉินเย่ริมฝีปากกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ขณะที่เอ่ยถามออกไปว่า “เจ้ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า? อย่างเช่น…เจ้ามีคนรัก และเจ้าต้องการที่จะหนีตามชายผู้นั้นไป แต่นายหญิงของเจ้ากลับรู้เรื่องนี้และห้ามเจ้ารับแขก…หรืออะไรพวกนั้น?”

ซูตงเซวี่ยมองฉินเย่อย่างประหลาดใจ สายตาเหมือนกำลังพูดว่า นี้ท่านจินตนาการไปถึงไหนแล้วเนี่ย?

“ไม่มีหรอกค่ะ…ทุกอย่างเป็นจริงตามที่ข้าได้เล่าไป” ซูตงเซวี่ยไม่แสร้งที่จะสงวนท่าทีอีกต่อไป นางโค้งคำนับคนตรงหน้า “ร่างกายของข้านั้นยังปกติดี 4-5 ครั้งต่อคืนหาใช่ปัญหาอะไรสำหรับข้า น่าเสียดาย เพราะว่าข้าแย่งงานของพี่น้องคนอื่น ๆ มันจึงทำให้นายหญิงไม่พอใจ”

ฉินเย่เงยหน้ามองเพดาน ทำไมชีวิตของเขามันน่าเศร้าแบบนี้…

อาร์ทิสจึงหันไปถามทันควัน “เจ้าทำเช่นนั้นทำไมเล่า? ไม่ใช่ว่าเงินที่ได้ในแต่ละวันก็ได้เท่ากันไม่ใช่หรอกหรือ??”

ซูตงเซวี่ยโค้งคำนับอย่างสุภาพขณะที่ริมฝีปากบางกระตุกเล็กน้อย “…เวลาที่ข้า…มีความสุขมาก ๆ ข้ามักจะลืมคิดถึงเรื่องนี้….”

นี่เจ้าต้อง ‘มีความสุข’ มากแค่ไหนกันถึงลืมเก็บเงิน…ช่วยมีความภาคภูมิใจในงานของตัวเองให้มากกว่านี้สักนิดไม่ได้หรืออย่างไร?!

ฉินเย่ยกมืออย่างอดไม่ไหว “หยุด พอ…ข้าเข้าใจแล้ว อาร์ตี้ ท่านไม่จำเป็นต้องถามคำถามพวกนี้ต่ออีกแล้ว ท่านบอกข้ามาตามตรงเลยว่าท่านจะเอานางไปไว้ที่ใด เราพานางไปด้วยทั้ง ๆ แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ”

แค่ตุ๊กตายางตามเขาไปทุกที่ก็มากเกินพอแล้ว เขาไม่ต้องการที่จะถูกผูกติดกับวัตถุแปลก ๆ ไปมากกว่านี้อีกแล้ว

“เจ้าจะพกนางติดตัวไปด้วยทำไม?” อาร์ทิสถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าคิดว่าบรรพบุรุษของวิญญาณมรดกสายเลือดจะมีความสามารถเพียงแค่นี้อย่างนั้นหรือ? พวกนางยังมีความสามารถที่น่าเหลือเชื่ออีกหนึ่งอย่าง ซึ่งก็คือการลอกเลียนแบบ”

“ลอกเลียนแบบ?” ฉินเย่ขมวดคิ้วเข้าหากัน

รอยยิ้มบนใบหน้าของอาร์ทิสจางหายไปขณะที่นางอธิบายอย่างจริงจังว่า “ถูกต้อง ตั้งแต่แรกแล้ว วิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่ไร้รูปร่าง แต่ทันทีที่กลไกของมรดกทางสายเลือดถูกกระตุ้น ร่างของร่างสิงสู่ก็จะเกิดการสับสนจากการผสมผสานกันระหว่างพลังหยินและหยาง ในเมื่อวิญญาณนั้นไร้รูปร่าง มันจึงสามารถเปลี่ยนร่างเป็นสิ่งของหรือผู้คนได้ เจ้าคงจะได้ยินคำกล่าวที่ว่าน้ำนั้นไร้รูปร่างและไม่สามารถจับต้องได้ผ่านหูมาบ้าง”

ฉินเย่พยักหน้าทันที

“วิญญาณพวกนี้จะสามารถเปลี่ยนร่างเป็นสิ่งใดก็ได้ที่ตัวเองเคยเห็น แม้กระทั่งยมบาลก็ตาม และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับความสามารถในการลอกเลียนของพวกนางก็คือนางไม่เพียงแต่ลอกเลียนรูปลักษณ์ภายนอกของเจ้าเท่านั้น แต่พวกนางยังสามารถลอกเลียนความพิเศษของพลังและความสามารถของระดับขั้นที่เจ้าเป็นอยู่ได้อีกด้วย โดยธรรมชาติแล้วร่างเลียนแบบจะสามารถปลดปล่อยความแข็งแกร่งได้เพียงแค่ครึ่งหนึ่งของร่างต้นเท่านั้น แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น มันก็มากเพียงพอแล้วสำหรับเป้าประสงค์ของเรา”

ฉินเย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็ถามขึ้นว่า “แสดงว่าที่หลี่เฉิงสามารถป้องกันการโจมตีของข้าก่อนหน้านี้ได้ มันก็เพราะความสามารถในการลอกเลียนนี้อย่างนั้นหรือ?”

“ถูกต้อง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าคิดว่าสถานที่แห่งไหนเหมาะกับนางที่สุด? สถานที่แห่งใดที่ต้องการยมเทพมากที่สุดในตอนนี้กันล่ะ?”

[1] ปีค.ศ.1912 – ค.ศ.1949