ตอนที่ 126

เสน่ห์คมดาบ

“ใช่ พวกเจ้าต้องแข็งแกร่งขึ้น พวกเจ้าคืออนาคตของตระกูลหลี่นะ” แคลร์มองกลุ่มเด็กที่อยู่รอบๆ ด้วยรอยยิ้ม “แต่ว่าข้าเองก็ไม่แข็งแกร่งพอหรอก จุดมุ่งหมายของพวกเจ้าไม่ควรเป็นข้า แต่ควรเป็นผู้ที่แข็งแกร่งกว่าข้า มีผู้ที่แข็งแกร่งอยู่มากมายเลยในแผ่นดินนี้” 

 

 

“แต่ว่า… ข้าร่างกายอ่อนแอไม่สามารถฝึกวิชาลับที่สูงกว่านี้ได้เลย” เสียงที่อ่อนแอพูดอย่างแผ่วเบา 

 

 

แคลร์หันไปแล้วก็เห็นเด็กชายที่มีรูปร่างผอมบางใบหน้าเศร้าสร้อย 

 

 

“ถ้าไม่สามารถประสบความสำเร็จในการต่อสู้ได้ เช่นนั้นก็หาทางอื่นสิ เจ้าสามารถพัฒนาอะไรก็ได้ที่เจ้าถนัด อย่างเช่น การวาดภาพ การค้าขาย วรรณกรรม โรงหล่อ…” แคลร์เหลือบมองไปและพบว่ามีเด็กบางคนในกลุ่มนั้นที่มีคุณสมบัติที่ไม่ดีนัก “ทุกคนต้องหาจุดยืนของตัวเอง เข้าใจว่าตัวเองเหมาะกับอะไรแล้วพยายามทำมันอย่างเต็มที่ สุดท้ายจะประสบความสำเร็จในแบบของตัวเองแน่นอน” แคลร์เข้าใจ ช่วงหลายปีมานี้ สิ่งที่ตระกูลหลี่ให้ความสำคัญที่สุดคือการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของเด็กๆจน ละเลยความถนัดอื่นๆ ไป ดังนั้นในท้ายที่สุดตระกูลหลี่จึงไม่มีคนที่ทำราชการหรือ การค้าขาย สุดท้ายจึงตกต่ำลงเรื่อยๆ 

 

 

กลุ่มคนรอบๆ แคลร์จมอยู่ในความคิด พวกเขาต่างก็คิดถึงสิ่งที่แคลร์พูด เด็กหลายคนดูเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ แต่เด็กบางคนก็รับรู้ได้ในทันที 

 

 

หลี่เยว่เหวินและหลี่หมิงหยู่ยืนอยู่ไม่ไกลและได้ยินคำพูดของแคลร์ ทั้งสองมองหน้ากันและทั้งคู่ก็เห็นความประหลาดใจในดวงตาของกันและกัน 

 

 

“บางที อาจเป็นเรื่องผิดจริงๆ ที่เรามุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนศิลปะการต่อสู้เพียงอย่างเดียว เหมือนที่แคลร์พูด มีความถนัดทางด้านไหนก็ให้ทำในสิ่งนั้น ถ้าทำเช่นนี้ ก็คงจะเปลืองแรงน้อยแต่ได้ผลมากทีเดียว” หลี่หมิงหยู่พูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาเน้นเรื่องศิลปะการต่อสู้มาโดยตลอด พลังเวทย์และพลังยุทธ์เป็นสิ่งแรกที่เด็กๆ ต้องเรียนรู้แล้วค่อยตามมาด้วยวรรณกรรม แต่การวาดภาพ บทกวี การตัดเย็บ และอื่นๆ สำหรับพวกเขาแล้ว ดูเหมือนเป็นเรื่องที่เสียเวลา 

 

 

“เปลี่ยนแปลงตอนนี้ยังทันอยู่นะ” หลี่เยว่เหวินยิ้มและมองแคลร์ 

 

 

“แต่ว่า แคลร์ยังต้องหาวิธีจัดการกับองค์รัชทายาทนะ องค์รัชทายาทเชิญนางไปโรงละคร คราวนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีแล้วหากจะปฏิเสธอีก” หลี่หมิงหยู่พูด พวกเขามาที่สนามฝึกก็เพื่อมาหาแคลร์ 

 

 

“การแข่งขันใกล้จะถึงในเร็วๆ นี้แล้ว” หลี่เยว่เหวินกัดริมฝีปากและพูดด้วยความลังเล “คราวนี้ตระกูลฮว๋าจะส่งฮว๋าอี้หลินเข้าร่วม แคลร์จะชนะได้หรือไม่?” 

 

 

“ข้าไม่รู้” สีหน้าของหลี่หมิงหยู่นิ่งลง “ตระกูลฮว๋า กับพวกเรามีความขัดแย้งกันมาตลอด คราวนี้พวกเขาจะต้องถือโอกาสทำอะไรไม่ดีกับพวกเราอย่างแน่นอน” 

 

 

“เช่นนั่นแคลร์จะไม่อันตรายมากหรือ พี่ใหญ่ พี่ให้ข้าหรือพี่เข้าร่วมจะดีกว่านะ” หลี่เยว่เหวินกังวล 

 

 

“ไม่ต้องหรอก เป็นเพราะเหตุนี้แหละพี่จึงได้ให้แคลร์เข้าร่วม” หลี่หมิงหยู่ขมวดคิ้ว “ตัวตนของแคลร์ ไม่ช้าก็เร็วคงจะมีคนพบว่านางมาจากตระกูลฮิลล์ แต่พวกเขาไม่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของแคลร์ในร่างหลานหลิงได้ และยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่พวกเขาแน่ใจก็คือหลานหลิงกับแคลร์ต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันแน่นอน องค์รัชทายาทให้ความสนใจกับหลานหลิงถึงขนาดนี้ คนในตระกูลฮว๋าคงไม่ทำอะไรร้ายแรงกับแคลร์ถึงชีวิตหรอก” หลี่หมิงหยู่วิเคราะห์ 

 

 

“หึ เช่นนั้นก็ดี” หลี่เยว่เหวินโล่งใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น 

 

 

“พวกพี่กำลังกระซิบอะไรกันหรือ?” แคลร์เดินเข้ามาช้าๆ พลางขมวดคิ้วถามสองพี่น้อง 

 

 

“คิดว่าเจ้าเหมาะที่จะเป็นพี่เลี้ยงเด็กและครูจริงๆ เด็กๆ พวกนี้เชื่อฟังเจ้ามากนะ” หลี่เยว่เหวินพูดติดตลก 

 

 

“ในเมื่อพวกพี่ได้ยินแล้วก็รีบทำตามโดยเร็วที่สุดเลยนะ เด็กที่มีความสามารถก็อย่าไปกดความสามารถของพวกเขาเอาไว้” แคลร์พูด 

 

 

“เจ้าก็ได้ยินสิ่งที่เราพูดแล้วเช่นกัน เพื่อความปลอดภัยของเจ้า จะดีกว่าหากเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับองค์รัชทายาท ดังนั้นหลานหลิงผู้งดงาม โปรดเตรียมตัวโดยเร็ว องค์รัชทายาทจะมารับเจ้าในไม่ช้านี้แล้ว” หลี่เยว่เหวินยิ้ม มีคนจำนวนมากที่สืบเกี่ยวกับตัวตนของหลานหลิง แม้แต่คนของตระกูลหลี่ก็รู้สึกตื่นเต้นอยากจะรู้ว่าญาติผู้นี้มาจากไหน แต่ว่าหญิงงามที่ไม่มีใครเทียบได้นั้นไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย ความลึกลับและสวยงามนั้นยิ่งทำให้ผู้คนบ้าคลั่ง 

 

 

“แค่ครั้งนี้เท่านั้นนะ” แคลร์โบกมืออย่างรำคาญ “เมื่อโรงหล่อดาบเสร็จสิ้น ข้าจะไม่ปลอมตัวเป็นหลานหลิงอีก” 

 

 

เมื่อข่าวว่าหลานหลิงตอบรับคำเชิญขององค์รัชทายาทที่เชิญไปดูการแสดงที่โรงละครแพร่ออกไป ขุนนางหนุ่มก็รีบไปที่โรงละครกันจำนวนมาก ในวันนี้โรงละครของเมืองมีคน เข้าชมที่มากที่สุดเลยก็ว่าได้ 

 

 

องค์รัชทายาทอยู่ที่ประตูรอให้หลานหลิงปรากฏตัว ในที่สุดคนที่เขารอคอยก็ปรากฏตัว องค์รัชทายาทตกตะลึง ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความประหลาดใจ 

 

 

หลานหลิงสวมชุดเข้ารูปสีลาเวนเดอร์ แต่แขนเสื้อเป็นแบบยาวพลิ้วให้ความรู้สึกสง่างามและโดดเด่น ผมยาวนุ่มสลวยปล่อยไว้ข้างหลังอย่างธรรมชาติดูราวกับผ้าไหมที่สวยงาม เพียงแค่นางยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ ก็ราวกับว่าแสงทั้งหมดสาดส่องไปที่นาง 

 

 

“คำนับองค์รัชทายาทเพคะ” แคลร์โค้งตัวเล็กน้อย 

 

 

“คุณหนูหลาน การจะได้พบเจ้าไม่ง่ายเลยนะ” องค์รัชทายาทเดินมาข้างหน้าพร้อมกับรอยยิ้มและยื่นมือออกไป 

 

 

แคลร์ยิ้มอย่างนุ่มนวล ยื่นมือออกไปให้องค์รัชทายาทพยุงนางเข้าไปในรถม้า 

 

 

จินเหยียนยืนอยู่ที่ประตู เงียบๆ มองรถม้าที่จากไป แต่มีความหงุดหงิดเกิดขึ้นในใจของเขา ไป๋ตี้และเฮยหยู่หมอบอยู่บนไหล่ของจินเหยียนอย่างเงียบๆ มองรถม้าที่ห่างออกไปเรื่อยๆ 

 

 

เมื่อองค์รัชทายาทและแคลร์ไปถึงทางเข้าโรงละคร พวกเขาก็พบว่าทางเข้าเต็มไปด้วยขุนนางที่มาจากทั่วทั้งเมืองหลวง นี่เป็นครั้งแรกที่โรงละครคึกคักเช่นนี้ ขุนนางชั้นสูงเกือบทั้งหมดในเมืองมาที่นี่ ทางเข้าโรงละครมีผู้คนยืนกันอย่างแน่นหนา องค์รัชทายาทขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามองขุนนางที่รออยู่ที่ประตูและไม่ยอมเข้าไปข้างใน เขารู้เลยว่าจุดประสงค์ของคนเหล่านี้คืออะไร พวกเขาทั้งหมดต้องการพบหลานหลิงหญิงงามที่ไม่มีใครเทียบได้ องค์รัชทายาทหันกลับมาและยื่นมือออกไปช่วยแคลร์ ลงจากรถม้า เมื่อแคลร์ปรากฏตัวในสายตาของทุกคน ทันใดนั้นดวงตาทั้งหมดก็จดจ้องไปที่ร่างของแคลร์ นับตั้งแต่งานระดมทุนในวันนั้น หญิงงามที่ไม่มีใครเทียบได้ก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย วันนี้ในที่สุดก็ได้เห็นนางอีกครั้งแล้ว 

 

 

เหล่าขุนนางเข้ามาคำนับองค์รัชทายาท แต่สายตาของพวกเขาไม่สามารถห้ามไม่ให้มองแคลร์ได้ พวกเขาต่างก็อยากคุยกับแคลร์ แต่ก็หวาดกลัวสีหน้าที่เรียบนิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ขององค์รัชทายาท จึงไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมา 

 

 

“เอาล่ะ เข้าไปกันเถอะ วันนี้ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากหรอก ทุกคนก็มาดูการแสดงเหมือนกันทั้งนั้น” ในที่สุดองค์รัชทายาทก็เอ่ยปากอย่างไม่พอใจนักแล้ว เขาโบกมือให้ขุนนางที่ยืนอยู่ที่ประตูเข้าไปข้างในให้หมด ทุกคนจึงละสายตาออกจากแคลร์อย่างไม่เต็มใจและค่อยๆ เตรียมตัวเข้าไป 

 

 

ทันใดนั้น มีรถม้าคันหนึ่งแล่นมาหยุดอยู่หน้าโรงละครแล้วเสียงฝีเท้าเร็วๆ ก็ดังขึ้น 

 

 

“เดี๋ยวก่อนเพคะฝ่าบาท!” เสียงฝีเท้าเร็วๆ เข้าใกล้มาเรื่อยๆ 

 

 

องค์รัชทายาทหยุดและหันไป เขาเห็นฮว๋าซิ่วหนิงที่รวบกระโปรงรีบวิ่งมา 

 

 

ฝีเท้าขององค์รัชทายาทหยุดลง แคลร์และทุกคนก็หยุดลงเช่นกัน 

 

 

ฮว๋าซิ่วหนิงมองรอบๆ ขุนนางทั้งหมดในเมืองต่างก็อยู่ที่นี่ แม้กระทั่งลูกชายของท่านอัครมหาเสนาบดีก็อยู่ที่นี่ ช่างดีจริงๆเลย! แววตาแห่งความสุขฉายผ่านดวงตาของฮว๋าซิ่วหนิง ทุกคนมองไปที่ฮว๋าซิ่วหนิงแล้วถอนหายใจ ความงามหนึ่งในสามของเมืองนี้ถูกบดบังไปหมด เมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงงามที่ไม่มีใครเทียบได้อย่างหลานหลิง 

 

 

“คุณหนูฮว๋า มีอะไรหรือ?” องค์รัชทายาทถามเบาๆ 

 

 

“ฝ่าบาท หม่อมฉันรู้ว่าวันนี้ไม่ควรมารบกวนความสำราญของฝ่าบาท” ฮว๋าซิ่วหนิงขอโทษ แต่ไม่ได้มีร่องรอยของการขอโทษในน้ำเสียงเลย จากนั้น นางก็มองไปที่หลานหลิงอย่างมีชัย นาง เชิดคางขึ้นพูดอย่างภาคภูมิใจ “แต่ว่าฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันมีเรื่องต้องบอกฝ่าบาท หม่อมฉัน ไม่อาจทนให้ฝ่าบาทถูกหลอกได้อีกต่อไปแล้วเพคะ” 

 

 

พอคำพูดของฮว๋าซิ่วหนิงจบ รอบๆ ก็มีความวุ่นวายเกิดขึ้น ฮว๋าซิ่วหนิงพูดคำเหล่านี้ในสถานการณ์เช่นนี้ มันหมายความว่าอย่างไรกัน? 

 

 

องค์รัชทายาทขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามองฮว๋าซิ่วหนิงโดยไม่พูดอะไร เหตุผลที่เขาไม่อยากจะใกล้ชิดกับหญิงผู้นี้ มาตลอดก็เพราะความปรารถนาและความทะเยอทะยานในดวงตาของนางนั้นรุน แรงเกินไป 

 

 

แคลร์เองก็ หันไปมองฮว๋าซิ่วหนิง หลังจากที่ฮว๋าซิ่วหนิงชำเลืองมองแคลร์อย่างยั่วเย้าแล้ว นางก็หันไปหาองค์รัชทายาทแล้วพูด “ฝ่าบาท หญิงผู้นี้ไม่ได้มาจากตระกูลหลี่แต่อย่างใดและไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องของหลี่เยว่เหวินด้วยเพคะ มีลูกพี่ลูกน้องของหลี่เยว่เหวินมาที่บ้านตระกูลหลี่จริงๆ แต่สกุลของนางไม่ใช่หลาน แต่เป็นสกุลฮิลล์ นางเป็นคนของตระกูลฮิลล์แห่งอันพาแกรนด์ เป็นลูกสาวของหลี่รุ่ยหวนที่ทรยศครอบครัวผู้นั้น หญิงผู้นั้นมีลูกสาวเพียงสองคน คนแรกคือแคลร์ ฮิลล์ อีกคนคือราเซีย ฮิลล์ ทั้งคู่อายุเพียงสิบสี่และสิบสามปี ไม่มีผู้ที่ชื่อว่าหลานหลิง แม่ของหลานหลิงไม่ใช่คนของตระกูลหลี่เลยเพคะ” 

 

 

เสียงของฮว๋าซิ่วหนิงดังมากจนทุกคนรอบข้างได้ยินอย่างชัดเจน ท่าทางของนางราวกับว่านางกำลังคำนึง ถึงองค์รัชทายาทและ ทำเพื่อเขาจริงๆ รอบข้างเกิดความโกลาหลขึ้น ทุกคนต่างมองไปที่หลานหลิง ฮว๋าซิ่วหนิงรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย หญิงไม่รู้ที่มาผู้นี้ หึ! นางกล้าหลอกลวงทุกคน นางกล้าหลอกลวงองค์รัชทายาทอ้างว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของหลี่เยว่เหวิน! ตอนนี้นางจะต้องรับผลของมัน 

 

 

สายตาของแคลร์เย็นชา หญิงโง่ผู้นี้ ทำให้แม่ของนางต้องอับอายต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งที่สองแล้ว แค้นนี้จะต้องชำระ! 

 

 

“แล้วอย่างไรล่ะ?” องค์รัชทายาทดูไม่แปลกใจเลยสักนิด เขาเพียงแค่ถามไปอย่างไม่แยแส 

 

 

“ละ แล้วอย่างไร…” ฮว๋าซิ่วหนิงอึ้งไปเล็กน้อย นางไม่คิดเลยว่าองค์รัชทายาทจะมีท่าทีเช่นนี้ ฮว๋าซิ่วหนิงควบคุมใจให้สงบลงและพูดเสียงทุ้ม “ที่มาของนางไม่ชัดเจน นางหลอกลวงฝ่าบาทและทุกคนนะเพคะ” 

 

 

“ข้าเคยบอกว่าแม่ของข้าเป็นคนตระกูลหลี่งั้นหรือ?” แคลร์ยิ้มอย่างนุ่มนวลและพูดเบา ๆ “ข้าไม่เคยบอกว่าแม่ของข้าเป็นคนตระกูลหลี่นี่?” 

 

 

พอแคลร์พูดจบ รอบๆ ก็มีเสียงฮือฮาเกิดขึ้นอีกครั้ง ทุกคนมองไปที่แคลร์อย่างกังวล นางหมายความว่าอย่างไร? คนส่วนมากรู้สึกกังวลใจกับหญิงงามที่ไม่มีใครเทียบได้นี้ หากนางหลอกลวงองค์รัชทายาทจริงๆ พระองค์จะลงโทษนางหรือไม่? คงจะไม่หรอก หญิงงามที่ไม่มีใครเทียบได้เช่นนี้ ใครจะใจร้ายให้นางได้รับความเจ็บปวดและความเศร้าโศกได้ลงล่ะ? หากจะเกิดสิ่งที่เลวร้ายที่สุดจริงๆ เช่นนั้น พวกเขาก็จะ ช่วยกันขอร้องให้กับหญิงงามที่ไม่มีใครเทียบได้ผู้นี้แน่นอน ความคิดเช่นนี้ดังขึ้นในใจของขุนนางหลายๆ คนทันที 

 

 

…………………………………………………………………………….