บทที่ 119 หอยเป๋าฮื้อพร้อมวงแหวนปราณประจำตัว

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

พอปู้ฟางวางไม้กระดานปิดปากทางเข้าเสร็จ เขาก็เดินกลับเข้าครัวไป ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าจะฝึกทำอาหาร แต่เซียวเยวี่ยกลับนำโจทย์สุดหินมาให้เสียก่อนตอนที่กำลังจะปิดร้าน

แม้ปู้ฟางจะเคยทำอาหารโอสถทิพย์แค่ชนิดเดียวซึ่งก็คือน้ำแกงไก่สมุนไพรปักษาเพลิง แต่เขาก็คุ้นเคยกับกระบวนการทำเป็นอย่างดี กุญแจหลักของการทำอาหารประเภทนี้ คือการทดสอบความสามารถในการใช้พลังปราณทำอาหารของพ่อครัวแม่ครัว เนื่องจากต้องมีสมาธิกับการควบคุมปริมาณพลังปราณมากกว่าการทำอาหารปกติ

“ระบบ ข้าขอข้อมูลและคุณสมบัติของวัตถุดิบทั้งสองชนิดนี้หน่อยได้หรือไม่” ปู้ฟางถามระบบทันทีโดยไม่ได้รู้สึกเขินอายแต่อย่างใด สำหรับเขาระบบคือสารานุกรมที่มีข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุดิบทุกชนิดในโลกหล้า

ระบบเงียบไปสักพักก่อนตอบคำถามของปู้ฟาง

“กล้วยไม้หัวใจพลอยม่วง: สมุนไพรพลังปราณระดับหกที่งอกงามบนสายแร่พลอยสีม่วง มันใช้เวลาหนึ่งร้อยปีในการโตเต็มวัย สายแร่พลอยสีม่วงหนึ่งสายจะมีกล้วยไม้หัวใจพลอยม่วงเติบโตได้เพียงสามดอกเท่านั้น สมุนไพรชนิดนี้มีสีม่วงแดง พื้นผิวมีรอยคล้ายเส้นเลือดที่ดูเหมือนถูกเผาไหม้ ภายในเต็มไปด้วยพลังปราณจำนวนมากและพลังปราณเพลิงสีม่วง จัดเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นยา มีคุณสมบัติในการรักษาคนไข้ที่ได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง”

“หอยเป๋าฮื้อปราณนภาจากทะเลลึก: อสูรเวทสมุทรระดับห้าซึ่งพบเจอได้ที่ก้นทะเลลึก อสูรเวทชนิดนี้ได้รับการชำระมลทินให้บริสุทธิ์ผุดผ่องโดยพลังปราณจากใต้ทะเลลึก เปลือกของมันสร้างวงแหวนปราณได้เองตามธรรมชาติ ระหว่างการประกอบอาหาร วงแหวนปราณจะช่วยสร้างน้ำพลังปราณออกมาหล่อเลี้ยงให้อย่างไม่มีวันหมด คุณสมบัติทางการแพทย์ของมันคือการฟื้นฟูพลังชีวิต และการรักษาอาการถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง”

ระบบอธิบายข้อมูลวัตถุดิบทั้งสองชนิดให้ปู้ฟางฟัง ชายหนุ่มได้แต่สูดหายใจลึกหลังจากที่อ่านเสร็จ ดูจากข้อมูลที่ได้มาแล้ว เขาก็รู้ได้ทันทีว่าวัตถุดิบทั้งสองชนิดนี้เลอค่าเพียงใด ความล้ำค่าของมันสูงกว่าสมุนไพรสะระแหน่สวรรค์และไก่ปักษาเพลิงอย่างน้อยหนึ่งระดับเลยทีเดียว

ปู้ฟางรู้สึกกดดันขึ้นมา เนื่องจากยิ่งวัตถุดิบมีค่ามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำอาหารโอสถทิพย์โดยใช้วัตถุดิบดังกล่าวได้ยากขึ้นเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้นชายหนุ่มยังสังเกตว่าวัตถุดิบสองชนิดนี้มีคุณสมบัติเหมือนกัน คือช่วยรักษาผู้ที่ได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง เซียวเยวี่ยคงตั้งใจนำอาหารโอสถทิพย์ไปรักษาคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคนี้อย่างแน่นอน

อาการกระทบกระเทือนทางจิตใจนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำให้หายได้โดยง่าย การที่เซียวเยวี่ยไหว้วานให้ปู้ฟางทำอาหารโอสถทิพย์ให้ แปลว่าชายหนุ่มเป็นคนเดียวในนครหลวงที่ทำอาหารโอสถทิพย์มูลค่าสูงเช่นนี้ได้ และเป็นการแสดงความไว้เนื้อเชื่อใจที่เซียวเยวี่ยมีต่อเขาอีกด้วย

เซียวเยวี่ยเชื่อมั่นว่าปู้ฟางเป็นคนยึดมั่นในหลักการของตน ดูจากกฎร้อยแปดพันเก้าในร้านก็รู้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมั่นใจว่าระบบการรักษาความปลอดภัยของร้านนี้มั่นคงแน่นหนาอย่างแน่นอน

“ระบบ พอจะหาวัตถุดิบสองชนิดนี้มาให้ข้าซ้อมมือก่อนได้หรือไม่” ปู้ฟางถามเบาๆ

“ระบบหาให้ได้ หากนายท่านต้องการจะใช้วัตถุดิบสองชนิดนี้ นายท่านสามารถซื้อจากระบบได้” ระบบตอบเสียงขรึม “กล้วยไม้หัวใจพลอยม่วงราคาหนึ่งพันผลึก หอยเป๋าฮื้อปราณนภาราคาหนึ่งพันผลึก”

ใบหน้าของชายหนุ่มมืดมนลงทันที เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าระบบนั้นช่างเป็นทุนนิยมโดยแท้… มันถูกสร้างมาเพื่อช่วยให้เขาเป็นพ่อครัวเทพมิใช่หรือ เหตุใดจึงให้เปล่าไม่ได้เล่า

ปู้ฟางสูดลมเข้าปอดลึกแล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “ระบบ… ลดราคาให้หน่อยได้หรือไม่”

“ไม่ได้ แต่เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำอาหารโอสถทิพย์ให้สำเร็จ ระบบเสนอให้นายท่านซื้อวัตถุดิบชนิดอื่นที่มีคุณลักษณะใกล้เคียงกันเพื่อนำมาฝึกทำแทน วัตถุดิบเทียบเคียงได้แก่ สมุนไพรพลังปราณระดับสาม กล้วยไม้ปราณเพลิง และอสูรเวทสมุทรระดับสาม หอยเป๋าฮื้อปราณมืด ทั้งสองอย่างราคาร้อยผลึก”

ปู้ฟางอึ้งไปพักหนึ่ง เขาพูดอะไรไม่ออกกับตรรกะที่ไม่มีช่องโหว่ของระบบ

“ถ้าเช่นนั้นข้าขอสามชุดก็แล้วกัน” เพื่อให้มั่นใจว่าตนเองจะทำสำเร็จจริง ปู้ฟางจึงเลือกซื้อวัตถุดิบจากระบบ เงินที่ใช้ซื้อนั้นหักจากรายรับของร้าน

ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดหัวใจเป็นอันมาก เนื่องจากผลึกทุกชิ้นที่จ่ายไปมาจากระดับพลังปราณของเขา…

วัตถุดิบสำหรับสามจานปรากฏขึ้นในตู้เรียบร้อยแล้ว ปู้ฟางจึงจัดแจงเอาออกมาหนึ่งคู่

หอยเป๋าฮื้อปราณมืดนั้นแน่นอนว่าไม่ดีเท่าหอยเป๋าฮื้อปราณนภา และพลังปราณที่สะสมอยู่ภายในก็ไม่เยอะเท่าเช่นกัน แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก เนื่องจากมันเอาไว้ฝึกทำเท่านั้น

หลังจากที่ทำความสะอาดหอยเป๋าฮื้อปราณมืดเสร็จ ปู้ฟางก็ค่อยๆ พิจารณาดูเปลือกของมัน และพบว่าลวดลายบนผิวก็เป็นวงแหวนปราณแสนประหลาดชนิดหนึ่งเช่นกัน วงแหวนปราณนี้ค่อยๆ หมุนวนเป็นวงกลม รวบรวมพลังปราณจำนวนมากเอาไว้บนเปลือกหอย

หากจะพูดอย่างตรงไปตรงมา หอยเป๋าฮื้อปราณมืดหน้าตาเหมือนหอยเป๋าฮื้อทั่วไป ไม่ได้มีขนาดใหญ่เหมือนหอยเป๋าฮื้อปราณนภา แต่ขนาดพอๆ กับหอยเป๋าฮื้อในโลกที่เขาจากมาเท่านั้น

วิธีการปรุงอาหารโอสถทิพย์ที่ดีที่สุดคือการตุ๋นให้เดือดเป็นเวลานาน หลังจากที่นำหอยเป๋าฮื้อมาทำน้ำแกงเรียบร้อย น้ำแกงนั้นก็พลันมีฤทธิ์เป็นยา โดยเฉพาะหลังจากที่ใส่สมุนไพรพลังปราณลงไป คุณค่าของน้ำแกงก็จะเพิ่มมากขึ้นอีก จนอาจเรียกได้ว่าเป็นจิตวิญญาณของอาหารโอสถทิพย์ก็ว่าได้

ปู้ฟางนำหม้อดินเผาออกมาแล้ววางหอยเป๋าฮื้อปราณมืดลงไปข้างใน จากนั้นก็เทน้ำจากบ่อน้ำพุที่ระบบมอบให้ลงไปในหม้อ น้ำสะอาดบริสุทธิ์รสชาติหวานเต็มไปด้วยพลังปราณหนาแน่น

หลังจากที่ปู้ฟางแลกเปลี่ยนสมุนไพรจากระบบเรียบร้อย เขาก็จัดการหั่นแล้วนำใส่หม้ออย่างระมัดระวัง ชายหนุ่มเรียงชนิดของสมุนไพรที่จะใช้เป็นอย่างดี หากจัดเรียงผิดลำดับ คุณสมบัติของอาหารโอสถทิพย์ก็จะเปลี่ยนไปด้วย

หลังจากที่เปลี่ยนการจัดเรียงของสมุนไพรอีกเล็กน้อย ปู้ฟางก็ปิดฝาหม้อแล้วเริ่มตั้งไฟอ่อนๆ นี่เป็นขั้นตอนที่เร่งรีบไม่ได้

เมื่อไอน้ำเริ่มลอยออกจากหม้อ ปู้ฟางก็เปิดฝาหม้อ ควันสีขาวพุ่งออกมาทันที ชายหนุ่มใช้มีดทำครัวกระดูกมังกรทองบากกล้วยไม้ปราณเพลิง ปล่อยให้น้ำสมุนไพรเข้มข้นหยดลงในหม้อ กลิ่นหอมเข้มเริ่มลอยออกมา

ในขั้นตอนนี้ ปู้ฟางต้องใส่พลังปราณของเขาเข้าไป เพื่อควบคุมน้ำสมุนไพรให้ซึมเข้าไปในเนื้อหอยเป๋าฮื้อ

เมื่อเปิดฝาเป็นรอบที่สอง ชายหนุ่มก็ใส่กล้วยไม้ปราณเพลิงเข้าไปในหม้อดินเผาแล้วปิดฝา ปล่อยให้เดือดปุดอีกครั้ง… เมื่อเวลาครบหนึ่งก้านธูป อาหารโอสถทิพย์จานนี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้น

ณ โรงเตี๊ยมหรูแห่งหนึ่งในนครหลวง

ร่างสวยสะพรั่งหุ่นอวบอัดกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ผมสีดำเข้มของหนี่หยันสยายยาวลงบนแผ่นหลังของนางเหมือนน้ำตก นางหลับตานิ่ง ใช้มือสองข้างตั้งผนึกมือ พลังปราณเที่ยงแท้กำลังไหลเวียนอยู่ภายนอกกาย

หลังกินอาหารอร่อยจากร้านของปู้ฟางเข้าไปปริมาณมาก พลังปราณเที่ยงแท้ที่เพิ่มขึ้นสูงภายในกายก็ทำให้หนี่หยันใกล้จะบรรลุไปอีกขั้น แม้ตอนนี้ปราณของนางจะอยู่ที่ระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการตอนต้น แต่นางอาจพัฒนาไปเป็นตอนปลายได้ในคราวนี้ ถึงจะไม่ได้บรรลุระดับแปดแต่ก็ยังจัดว่าเป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชมอยู่ดี

อย่างไรเสียเมื่อบรรลุปราณขั้นนักพรตยุทธการแล้ว พัฒนาการทั้งใหญ่และเล็กล้วนนำมาซึ่งพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างใหญ่หลวงทั้งสิ้น

ซู่

กระแสพลังกระจายออกมา สัญลักษณ์ลึกลับหมุนวนอยู่ในดวงตาของหนี่หยัน ผิวขาวใสเหมือนกระจกเรืองแสงสว่างเจิดจ้า หนี่หยันในตอนนี้งดงามจนแทบลืมหายใจ นางเปรียบเสมือนสาวบริสุทธิ์จากสรวงสวรรค์ผู้งามเลิศเป็นที่หนึ่งในปฐพี

ทันใดนั้นนางก็ตะโกนลากเสียงยาว รู้สึกราวกับตนเองเพิ่งผลักประตูที่ปิดแน่นให้เปิดออก แม้ประตูจะเปิดเพียงเล็กน้อย แต่กระแสพลังปราณที่ไหลบ่าเข้ามาก็มากเสียจนทำให้นางต้องร้องตะโกนก้อง

ในช่วงเวลาอันแสนสงบสุขของนครหลวงนั้น จู่ๆ ก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้น

เสียงกรีดร้องยาวนั้นตามมาด้วยลำแสงขนาดใหญ่ที่พุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า ดูโดดเด่นท่ามกลางท้องฟ้าสีหมึกของรัตติกาล

ในจวนตระกูลเซียว เซียวเหมิงลืมตาขึ้นมองไปยังทิศที่ลำแสงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยน รีบขยับตัวรุดออกจากห้อง ก้าวเดินไปในอากาศสู่จุดที่เกิดปรากฏการณ์เมื่อครู่

“ผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการปรากฏตัวขึ้นในนครหลวงในเวลานี้รึ ข้าอยากรู้นักว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู”

ณ จวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย

เจ้ามู่เฉิงในชุดกันหนาวมองไปที่ลำแสงนั้นด้วยสายตาไร้อารมณ์ เขาหรี่ตาลง ในส่วนที่ลึกที่สุดของดวงตาดูเหมือนจะมีแสงสีทองหมุนวนอยู่เล็กน้อย

“นี่มันกระแสพลังปราณของคนจากสำนักความลับแห่งสวรรค์… หรือว่าครั้งนี้สำนักนี้ตั้งใจจะร่วมวงด้วยกันนะ” เขาพึมพำกับตัวเองก่อนคลี่ยิ้มออกมา จากนั้นก็ก้าวช้าๆ ร่างเคลื่อนตัวไปในอากาศอย่างสง่างาม มุ่งหน้าไปยังจุดต้องสงสัยนั้นโดยไม่รีบร้อน

ไม่ได้มีแค่เสนาบดีฝ่ายซ้ายและเซียวเหมิงเท่านั้นที่จับความผิดปกติได้ แต่กลุ่มอำนาจน้อยใหญ่ภายในนครหลวงต่างพากันสะดุ้งตกใจ มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการเป็นอย่างต่ำเท่านั้น ที่สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์พลังปราณเที่ยงแท้พุ่งสู่ท้องฟ้าเบื้องบนได้… หากมีขั้นนักพรตยุทธการคนใหม่ปรากฏตัวขึ้นในนครหลวงในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ทุกคนย่อมตื่นตัวเป็นธรรมดา

หากองค์ชายรัชทายาทหรืออวี่อ๋อง สามารถโน้มน้าวให้ขั้นนักพรตยุทธการผู้นี้หนุนหลังตนเองได้ ก็จะสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้อย่างแน่นอน

……………………