บทที่ 120 พวกเจ้าไสหัวไปให้ไกล อย่ากล้าดีมากวนข้าเชียว

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

ภายนอกห้องพักในโรงเตี๊ยมหรูแห่งหนึ่งในนครหลวง

ถังอิ่นกำลังยื่นเฝ้าประตูด้วยสีหน้าจริงจัง เขากอดกระบี่ยาวเอาไว้ในอ้อมแขน สีหน้าเคร่งขรึมมากขณะมองไปในระยะไกล พลังปราณที่หมุนวนอยู่ภายนอกร่างกายดูไม่ต่างจากแสงสว่างระยิบระยับในคืนอันมืดมิด

เบื้องหลังเขา ลำแสงที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ากำลังปล่อยกระแสพลังปราณออกมา ชายหนุ่มรู้ดีว่าอาจารย์สุดตะกละของพวกเขากำลังบรรลุปราณอีกขั้น แต่เรื่องนี้ก็ทำให้ถังอิ่นรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาทันที เนื่องจากเขาเข้าใจสถานการณ์ในนครหลวงตอนนี้เป็นอย่างดี ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ มีเพียงอาจารย์ของเขาเท่านั้น ที่กล้าบรรลุขั้นปราณอย่างยิ่งใหญ่อลังการจนแทบเรียกให้คนทั้งเมืองมามุงดูเช่นนี้

นี่มันต่างจากการเดินเข้าถิ่นศัตรูไปประกาศศึกในบ้านเขาตรงไหนกัน

การปรากฏตัวของขั้นนักพรตยุทธการในนครหลวงขณะนี้จะหมายความว่าอย่างไรไปได้อีก องค์ชายรัชทายาทและอวี่อ๋องย่อมตาเขียวปั้ดด้วยความริษยาชิงดีชิงเด่น ผู้ฝึกตนทุกคนเปรียบเสมือนทรัพยากรล้ำค่าที่จะช่วยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก้าวขึ้นมาสืบราชบัลลังก์ได้

แล้วก็เป็นไปตามที่คิดไว้ไม่มีผิด ถังอิ่นมองเห็นร่างสูงน่าเกรงขามร่างหนึ่งกำลังเดินอยู่ในอากาศ เขาค่อยๆ หายใจออกแล้วจับจ้องไปที่ร่างนั้น

“ผู้พิทักษ์แห่งจักรวรรดิวายุแผ่ว ขั้นนักพรตยุทธการ… เซียวเหมิงเช่นนั้นรึ” ถังอิ่นพึมพำขณะมองร่างของเซียวเหมิงที่กำลังเข้ามาใกล้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอบุคคลในตำนานผู้นี้

ใกล้ๆ กันนั้น ศิษย์น้องหญิงลูเซียวเซียวก็ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่คาดคิดด้วยเช่นกัน เด็กหญิงยืนขลาดๆ อยู่เบื้องหลังถังอิ่น แต่การกระทำที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยของนางก็ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้น

“ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นใคร มาที่นครหลวงมีธุระอะไร”

เสียงน่าเกรงขามของเซียวเหมิงเดินทางมาถึงหูของพวกเขาก่อนที่ตัวจะมาเสียอีก เสียงนั้นส่งมาพร้อมพลังกดดันที่โถมลงมาบนตัวถังอิ่น ทำให้ร่างกายของชายหนุ่มสั่นเล็กน้อย

“พวกเราเป็นสมาชิกของสำนักความลับแห่งสวรรค์ ขอท่านโปรดวางใจว่าท่านอาจารย์และพวกข้าทั้งสองมาโดยไม่ได้คิดร้ายอะไร” ถังอิ่นผสานมือทำความเคารพเซียวเหมิง ชายหนุ่มไม่ได้ทำตัวยอมจำนนหรือจองหองแต่อย่างใด

เซียวเหมิงเอามือไพล่หลัง ค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้ทีละก้าว แขนเสื้อปลิวไสว เขามายืนอยู่ตรงหน้าถังอิ่นด้วยสีหน้าจริงจัง

“สำนักความลับแห่งสวรรค์รึ ทันทีที่ท่านจักรพรรดิสวรรคต สำนักความลับแห่งสวรรค์ก็ส่งขั้นนักพรตยุทธการมาที่จักรวรรดิวายุแผ่ว แล้วเจ้ายังกล้ามาบอกว่าไม่มีเจตนาร้ายอีกรึ คิดว่าข้าโง่พอจะเชื่อหรืออย่างไร” เซียวเพมิงพูดเสียงอ่อน มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะขณะมองไปที่ถังอิ่น

ชายหนุ่มตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว พวกเขาไม่ได้มาร้ายจริงๆ ตั้งใจมาที่นครหลวงเพียงเพื่อนำสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงที่ปู้ฟางครอบครองอยู่กลับไปเท่านั้น… ในเมื่อสถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว ตัวเขาเองก็จนปัญญา

เป็นเพราะความตะกละแท้ๆ เชียว ชายหนุ่มไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี หากอาจารย์ผู้กินจุของพวกเขาไม่ได้สั่งอาหารทุกจานในร้านปู้ฟางมาลอง ทุกอย่างก็จะยังคงปกติสุขดี

ถังอิ่นทำได้เพียงยืนยันความจริงใจของพวกเขาเท่านั้น ขณะพยายามต่อต้านพลังกดดันจากเซียวเหมิง

ลำแสงในห้องค่อยๆ หดตัวลงเรื่อยๆ ในที่สุดผู้ฝึกตนในห้องก็บรรลุปราณสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วกลับมาปกปิดพลังของตนเองเอาไว้อีกครั้ง ไม่นานนักลำแสงก็หายไปจนหมด…

ตึก ตึก ตึก

เสียงฝีเท้าดังขึ้น พร้อมร่างของเจ้ามู่เฉิงที่ค่อยๆ เข้ามาใกล้ ดวงตาของเขาหยีเล็ก รอยยิ้มเปื้อนใบหน้า

“แม่ทัพเซียว อย่าใจร้ายนักเลย ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแขกบ้านแขกเมืองของพวกเรา การที่ผู้ฝึกตนจากสำนักความลับแห่งสวรรค์จะมาเยือนนครหลวงนั้นนับเป็นเรื่องยากมาก ในฐานะเจ้าบ้านพวกเราควรต้อนรับขับสู้เขาเป็นอย่างดี”

เสียงของเจ้ามู่เฉิงอ่อนโยนมาก เผยให้เห็นธาตุแท้ว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์เพียงใด ท่าทีที่เย็นเหมือนน้ำนี้ทำให้คนอื่นไม่กล้าโกรธเคืองเขา

เซียวเหมิงโกรธเกรี้ยวเป็นอันมากทันทีที่เห็นหน้าเจ้ามู่เฉิง “ไอ้จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่มันเป็นขั้นนักพรตยุทธการระดับเจ็ด พวกเราทุกคนโดนมันหลอกมาตลอด… ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดท่านจักรพรรดิจึงระวังพระองค์อยู่เสมอกับไอ้หมอนี่ตอนที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ นั่นเพราะพระองค์รู้ดีว่าไอ้จิ้งจอกแก่นี่มันไม่ใช่เล่นๆ” เขาคิด

ชายผู้นี้มีปราณระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ แต่กลับซ่อนพลังของตนเอาไว้หลายปี ความจริงแล้วหมอนี่เป็นใครกันแน่ และต้องการอะไร เซียวเหมิงไม่รู้เลยแม้แต่น้อย

ด้วยเหตุนี้เซียวเหมิงจึงไม่อยากเจอหน้าเจ้ามู่เฉิงที่สุดแล้ว

ถังอิ่นรู้สึกกดดันมากขึ้นไปอีก แม่ทัพและเสนาบดีฝ่ายซ้ายของจักรวรรดิเป็นบุคคลที่สำคัญยิ่ง พลังที่ทั้งสองปล่อยออกมาโดยไม่รู้ตัวทำให้เขาใจสั่น

ทันทีที่ถังอิ่นรู้สึกถึงแรงกดดันซึ่งถาโถมเข้ามามากขึ้น ประตูเบื้องหลังเขาก็เปิดผาง ลมพลังปราณพัดผ่าน ไล่แรงกดดันบนตัวถังอิ่นให้สลายหายไปเหมือนหิมะละลาย

ร่างในชุดคลุมยาวเดินออกมาจากห้อง

“ท่านอาจารย์” ถังอิ่นและลู่เซียวเซียวรีบตะโกนออกมาทันที

เซียวเหมิงและเจ้ามู่เฉิงเองก็มองไปทางประตูเช่นกัน แล้วก็เห็นสตรีในผ้าคลุมหน้ายืนอยู่ตรงนั้น

รูม่านตาของเจ้ามู่เฉิงพลันหดแคบ เพียงมองปราดเดียวเขาก็รู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นผู้ใด และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย… ผู้อาวุโสลำดับสามของสำนักความลับแห่งสวรรค์เป็นตำแหน่งที่สำคัญมาก นางมาที่นครหลวงเพื่อสิ่งใดกัน

เซียวเหมิงหรี่ตามองสตรีตรงหน้า กระแสพลังปราณที่กระจายออกมานั้นยังสลายไปไม่หมด ทำให้ตัวเขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายความอันตราย แม่นางคนนี้… ไม่ธรรมดา

“เจ้ามู่เฉิง ไม่ได้เจอกันเสียนาน… ตาลุงวัยกลางคนในวันนั้นกลายมาเป็นตาแก่ในวันนี้แล้วรึ” หนี่หยันพูดพร้อมรอยยิ้มบาง

มุมปากของเจ้ามู่เฉิงยกขึ้นเช่นกัน เขาถอนหายใจพร้อมความรู้สึกมากมาย “เจ้าเด็กนั่นโตมาเป็นคนสำคัญหรือนี่ สำนักความลับแห่งสวรรค์นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ”

“ท่านมาที่นครหลวงด้วยเหตุผลใด” เซียวเหมิงพูดพร้อมมุ่นคิ้ว ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้จักมักจี่กับเจ้ามู่เฉิงดี หรือว่าเจ้ามู่เฉิงเองก็มาจากสำนักความลับแห่งสวรรค์เช่นกัน

ใบหน้าสวยหยาดเยิ้มของหนี่หยันหันไปหาเซียวเหมิง รอยยิ้มบนใบหน้าหายไป นางชี้นิ้วไปที่เจ้ามู่เฉิงทันทีแล้วเอ่ย “หมอนี่มาทำอะไรที่นี่ เราก็… มาทำเช่นเดียวกันนั่นละ”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เจ้ามู่เฉิงก็แทบกระอักเลือด เวลาผ่านมาก็หลายปีแล้วแต่เจ้าเด็กนี่ยังร้ายกาจเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน พูดออกมาแค่ประโยคเดียวก็ลากเขาไปตายด้วยเสียแล้ว

ถังอิ่นและลู่เซียวเซียวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ นั้นมีสีหน้างุนงง อาจารย์ของพวกเขาพูดอะไรกัน พวกเราไม่ได้มาที่นครหลวงเพื่อนำสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงกลับไปรึ มีเหตุผลอื่นด้วยหรือนี่

“เจ้าพูดอะไรไร้สาระสิ้นดี ชายแก่คนนี้อยู่นครหลวงมาก็หลายปีดีดัก ใช้เวลาไต่เต้าขึ้นมาจนกลายเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้ก็เพื่อรับใช้จักรวรรดิให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป” เจ้ามู่เฉิงพูดพร้อมหัวเราะในลำคอ ยืนกรานว่าจุดประสงค์ในการอยู่ที่นครหลวงของเขานั้นบริสุทธิ์ผุดผ่อง

เซียวเหมิงเองก็หัวเราะในลำคอเช่นกัน ใครมันจะไปเชื่อคำพูดไร้สาระโกหกหน้าด้านๆ ของหมอนี่กัน

“อะไรนะ ตาแก่ ข้าพูดผิดรึ เช่นนั้นเราสองคนมาดวลกันสักตั้งไหมเล่า ใครชนะคือคนที่พูดความจริง ว่าอย่างไร จะเอาหรือไม่เอา” หนี่หยันระเบิดหัวเราะดังลั่น ดวงตากลมโตจ้องไปที่เจ้ามู่เฉิง

ผู้ถูกท้าเม้มปากแล้วส่ายศีรษะทันที จากนั้นเขาก็หันหลังกลับแล้วจากไป ไม่อยากอยู่ที่นี่นานนัก

“กระดูกกระเดี้ยวข้าไม่ค่อยดีแล้ว คงทนทรมานเช่นนั้นไม่ไหวหรอก”

เซียวเหมิงเหลือบมองหนี่หยันด้วยสายตามีความหมาย แต่หนี่หยันไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด แม้เซียวเหมิงจะเป็นผู้พิทักษ์จักรวรรดิวายุแผ่ว แต่นางก็ปราศจากซึ่งความหวาดเกรง นั่นเพราะหนี่หยันเพิ่งจะบรรลุขั้นปราณไปหมาดๆ ความมั่นใจของนางในตอนนี้ยังสูงมาก

เซียวเหมิงเองก็จากไปเช่นกัน เขาไม่ได้กวนใจหนี่หยันมากนัก

หลังจากที่เซียวเหมิงจากไป ความยโสก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในดวงตากลมโตของหนี่หยัน นางตรวจตราดูรอบตัว จากนั้นก็ส่งเสียงหวานออกไปรอบๆ โรงเตี๊ยม

“ไอ้พวกตาสีตาสาที่อยู่แถวนี้น่ะ ไสหัวไปให้หมด! อย่าบังอาจมากวนข้าเชียว ข้าไม่อยากเจอหน้าพวกเจ้า!”

อวี่อ๋องและองค์ชายรัชทายาทที่กำลังเดินทางมาหันหลังกลับไปทันที… ผู้ฝึกตนหญิงขั้นนักพรตยุทธการผู้นี้ดูอารมณ์ร้ายไม่เบา

ปู้ฟางผู้ซึ่งคลานขึ้นเตียงเรียบร้อยและกำลังจะหลับ พลันสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของหญิงสาว เขาขยี้ตาอย่างง่วงงุน รู้สึกว่าเสียงนั้นคุ้นอย่างประหลาด แต่หลังจากคิดอยู่สักพักก็คิดไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร เขาจึงหลับต่อไป ชายหนุ่มเหนื่อยอ่อนเป็นอันมากจากการทำอาหารโอสถทิพย์

ความพยายามในการทำอาหารโอสถทิพย์ครั้งแรกของเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่ได้ล้มเหลวเพราะกินไม่ได้ แต่เป็นเพราะคุณภาพไม่ถึงความคาดหมายที่ปู้ฟางวางเอาไว้ อาหารจานนั้นไม่สามารถนำคุณสมบัติในการเยียวยาของอาหารโอสถทิพย์ออกมาได้ทั้งหมด นอกจากนี้เขายังทำผิดตอนส่งพลังปราณเที่ยงแท้เข้าไปด้วย

เซียวเยวี่ยนำวัตถุดิบมาพอทำได้จานเดียวเท่านั้น ปู้ฟางจึงทำผิดพลาดไม่ได้โดยเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้เขาจึงมานั่งวิเคราะห์ว่าตนเองพลาดไปในจุดใด เพื่อที่จะทำให้สำเร็จในวันรุ่งขึ้น

ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าอีกครั้ง นครหลวงหลับมาวุ่นวายตามวิถีปกติ

ในพระราชวังหลวง เหล่าขันทีและนางในมากมายกำลังสาละวนอยู่กับการเตรียมท้องพระโรง อีกสองวันจะถึงงานพระศพของจักรพรรดิ ยังมีอะไรอีกมากให้ตระเตรียม บรรยากาศภายในวังตอนนี้ดูเศร้าสร้อยวังเวง

ภายนอกประตูมายาสวรรค์ จีเฉิงเสวี่ยในชุดขาวกำลังค่อยๆ เดินไปทางท้องพระโรง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย

……………………….