บทที่ 121 นายท่านตัวเหม็นได้ใหม่แล้วลืมเก่ารึ

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

ปุยหิมะที่ตกลงมาบางเบาเหมือนขนนกสีขาวที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า ปกคลุมวังหลวงที่แสนโออ่ายิ่งใหญ่ด้วยชั้นหิมะสีเงินหนา ทำให้ท้องพระโรงดูลึกลับขึ้นเล็กน้อย

จีเฉิงเสวี่ยในชุดคลุมสีขาวค่อยๆ เดินเข้าไปในท้องพระโรง ผมของเขาถูกมัดไว้ด้วยเชือกเพียงหนึ่งเส้น ทั้งยังใส่เครื่องประดับน้อยชิ้น

เหล่าขันทีได้โกยหิมะที่สะสมอยู่ตรงทางเข้าท้องพระโรงออกไปเรียบร้อยแล้วเพื่อให้เดินง่ายขึ้น ทว่ายิ่งจีเฉิงเสวี่ยเดินเข้าไปใกล้เท่าไหร่ กลับยิ่งรู้สึกดดันมากขึ้นเท่านั้น

พอผ่านประตูมายาสวรรค์ เขาก็มาถึงท้องพระโรง จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดหินเพื่อมุ่งหน้าสู่ทางเข้าโถง ขันทีและนางในที่กำลังสาวะลนจัดงานรีบวิ่งมาคารวะชายหนุ่มทันที

จีเฉิงเสวี่ยพยักหน้าอย่างอ่อนโยน ส่งสัญญาณให้คนเหล่านั้นทำงานของตัวเองต่อไป องค์ชายสามเอามือไพล่หลังแล้วก้าวเข้าท้องพระโรงไปในที่สุด สถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่บิดาของเขาประจำอยู่เสมอในยามที่ยังมีลมหายใจ

ที่ท้องพระโรงในขณะนี้ ร่างที่กระฉับกระเฉงแข็งแรงเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นในกาลก่อนได้หายไปแล้ว เหลือเพียงห้องโถงว่างเปล่าและบรรยากาศวังเวงโหวงเหวงที่เติมอย่างไรก็ไม่เต็ม

เหลียนฟู่ค่อยๆ เดินออกมาจากด้านหลังของท้องพระโรง เขาดูเหนื่อยอ่อนอย่างประหลาด ใต้ตาดำคล้ำ ผมที่ขาวดูขาวโพลนเสียยิ่งกว่าเดิมอีก

 “ขันทีเหลียน” จีเฉิงเสวี่ยไม่กล้าปฏิบัติต่อหัวหน้าขันทีไม่ดี เนื่องจากชายผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการที่คอยรับใช้ข้างกายบิดาของเขาไม่ห่าง

 “องค์ชาย มาที่นี่มีธุระอะไรหรือพะย่ะค่ะ” เหลียนฟู่ถามพร้อมสะบัดแส้ไปมาเล็กน้อย เสียงแหลมของเขาดูเหนื่อยอ่อน ใบหน้าเศร้าหมองไม่คลาย

เหลียนฟู่และจักรพรรดิสนิทสนมกันมาก ทั้งสองโตมาด้วยกัน เมื่อจักรพรรดิจากไปแล้ว แน่นอนว่าคงไม่มีใครโศกเศร้าอาดูรไปมากกว่าหัวหน้าขันทีคนนี้อีกแล้ว

จีเฉิงเสวี่ยสูดหายใจเข้าลึกแล้วโค้งคำนับเหลียนฟู่ “ขันทีเหลียน ข้าอยากเฝ้าท่านพ่อ…”

เหลียนฟู่จีบนิ้วโป้งและนิ้วกลางเข้าด้วยกันอย่างหมดเรี่ยวแรง เขาเหลือบมองจีเฉิงเสวี่ยแล้วปฏิเสธทันที “ไม่ได้พะย่ะค่ะ ท่านจักรพรรดิมีราชโองการเอาไว้ว่าห้ามผู้ใดเข้าเฝ้าพระศพเด็ดขาดจนกว่าจะถึงวันพิธี”

 “ในฐานะลูกชาย ข้าขอเจอหน้าบิดาของตนมิได้หรือ” จีเฉิงเสวี่ยพูดพร้อมมุ่นคิ้ว

 “องค์ชายโปรดกลับไปเถิด พระองค์น่าจะรู้ดีว่าข้ารับใช้ผู้นี้จะไม่มีวันทำผิดราชโองการเด็ดขาด ถึงท่านจักรพรรดิจะสวรรคตไปแล้วก็ตามที”

เมื่อจีเฉิงเสวี่ยเห็นสีหน้าจริงจังของเหลียนฟู่ เขาก็ทำได้เพียงถอนใจอยู่ในอกและไม่ซักไซ้อีกฝ่ายอีกต่อไป ชายหนุ่มหันหลังเดินออกจากท้องพระโรงไปในที่สุด

ดวงตาของเหลียนฟู่ที่มองตามแผ่นหลังของจีเฉิงเสวี่ยไปนั้นดูเต็มไปด้วยความรู้สึกแสนล้ำลึก

ปัง ปัง ปัง!

เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะการฝึกทักษะแกะสลักกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ของปู้ฟาง ชายหนุ่มหันหน้าไปมองอย่างเฉยเมย เห็นไม้กระดานที่ปิดทางเข้าสั่นเล็กน้อยตามแรงเคาะ

ใครกันมาเคาะประตูแต่ไก่โห่ขนาดนี้

ปู้ฟางล้างมือขาวเรียวยาวของตน เช็ดหยดน้ำบนมือให้แห้ง ก่อนเดินไปยกไม้กระดานออกจากทางเข้า

ภาพสาวงามหยาดเยิ้มเหมือนนางสวรรค์ภายใต้ผ้าคลุมหน้าสะท้อนอยู่ในดวงตาชายหนุ่ม ดวงตาของสตรีผู้นั้นดูตื่นเต้นขณะจ้องมาที่เขา

 “เถ้าแก่ปู้ ในที่สุดเจ้าก็เปิดประตูเสียที! เอาล่ะ รีบให้ข้าเข้าไปเร็ว” หนี่หยันพูดอย่างใจร้อน

แต่ปู้ฟางไม่ได้ขยับตัวแต่อย่างใด เขาใช้ตัวเองบังทางเข้าเอาไว้ สีหน้าไร้ความรู้สึกขณะจ้องมองอีกฝ่าย “ยังไม่ถึงเวลาเปิดร้าน เจ้ามาทำอะไรแต่เช้าขนาดนี้”

หนี่หยันชะงักไปชั่วครู่ นางยกวัตถุดิบในมือขึ้นมาให้ปู้ฟางดูแล้วเอ่ย “ข้าได้ประโยชน์เป็นอันมากจากการกินอาหารของเจ้าเมื่อวาน เลยอยากทำอาหารด้วยความสามารถของข้าให้เจ้าได้ลองชิมดูบ้าง”

หนี่หยันมั่นใจในความสามารถด้านการทำอาหารของตนเองเป็นอันมาก ทุกคนในสำนักความลับแห่งสวรรค์ต่างยอมสยบกับอาหารแสนอร่อยที่นางทำด้วยกันทั้งสิ้น

ปู้ฟางเม้มปากขณะคิด “แม่นางคนนี้ต้องมีอะไรผิดปกติแน่… โผล่มาแต่เช้าขนาดนี้ แถมยังบอกว่าจะทำอาหารให้ข้ากิน จะมายืมครัวข้ารึ”

 “ข้าไม่อยากชิม แล้วครัวข้าก็ไม่ได้เอาไว้ให้ยืมด้วย” ชายหนุ่มพูดหน้าตาย

หนี่หยันจนด้วยคำพูด นางตั้งใจจะมายืมครัวของอีกฝ่ายใช้จริงๆ หากไม่มีครัวนางจะทำอาหารได้อย่างไรกัน

เมื่อเห็นว่าปู้ฟางกำลังจะยกไม้กระดานขึ้นมาปิดทางเข้า หนี่หยันก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาทันที พลังปราณเที่ยงแท้หลั่งไหลออกมาจากร่าง ขณะเอามือคว้าไม้กระดานเอาไว้เพื่อหยุดชายหนุ่ม

 “อย่าเพิ่ง!” หนี่หยันตะโกน

 “เจ้าจะก่อเรื่องรึ” ปู้ฟางถามเสียงเรียบเมื่อรู้สึกได้ถึงกระแสพลังปราณจากร่างของหนี่หยัน จากนั้นลำแสงสีแดงก็ปรากฏขึ้นข้างกายเขาทันที พร้อมด้วยร่างท้วมของเจ้าขาว

 “พวกที่เข้ามาก่อความไม่สงบจะต้องโดนจับแก้ผ้าประจานต่อหน้าประชาชี” เจ้าขาวพูดด้วยเสียงจักรกล ดวงตาเป็นประกายวาบ

 “ฮึก… เจ้านี่ใจจืดใจดำเสียจริง ข้าตั้งใจจะทำอาหารให้เจ้ากิน แต่เจ้ากลับพยายามไล่ข้าไปให้พ้น! ทำเช่นนี้กับสาวงามได้อย่างไรกัน!” ดวงตาโตของหนี่หยันมีน้ำตาคลอราวกับนางกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

หนี่หยันรู้สึกได้ถึงอันตรายจากตัวเจ้าขาว “สมแล้วที่เป็นผู้ที่ได้สมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงไปครอบครอง” นางคิด

 “เจ้าต้องการอะไรกันแน่ อย่าพูดให้มันมากความ” ปู้ฟางขมวดคิ้วขณะเหลือบตามองหนี่หยัน

ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น น้ำตาในดวงตาของหญิงสาวก็เหือดหายไปในพริบตา นางกลับมาเป็นคนที่ภูมิใจในตนเองดังเดิม

 “ข้าอยากเรียนรู้วิธีการเก็บรักษาพลังปราณในเนื้ออสูรเวทจากเจ้า” หนี่หยันพูดอย่างตรงไปตรงมา

ปู้ฟางมองนางด้วยสายตาสงบ ส่วนหนี่หยันก็จ้องกลับเนื่องจากไม่อยากแพ้ ทั้งสองประสานสายตากันกลางอากาศโดยไม่มีใครยอมใคร

 “ปัง!!”

สุดท้ายแล้วปู้ฟางก็แพ้ สายตาของนางแหลมคมน่ากลัวเกินไป จนเขาต้องกระแทกไม้กระดานปิดตามเดิม

 “ข้าไม่สอน”

หลังจากที่ปิดไม้กระดานกลับไปเรียบร้อยแล้ว เสียงไร้อารมณ์ของปู้ฟางก็ลอดออกมาเข้าหูหนี่หยัน ทำให้นางถึงกับยืนเหม่ออยู่ตรงปากทางเข้า

หลังจากผ่านไปนานปู้ฟางก็ฝึกช่วงเช้าเสร็จ ชายหนุ่มเดินถือซี่โครงเปรี้ยวหวานที่เพิ่งทำเสร็จออกมา พร้อมยกไม้กระดานที่ปิดทางเข้าออก

หนี่หยันนั่งยองๆ อยู่ที่ทางเข้าในชุดคลุมยาว เมื่อนางเห็นปู้ฟางก็รีบลุกขึ้นยืนทันที

ปู้ฟางพลันปวดศีษะตุบขึ้นมาน้อยๆ เขาคิด “ทำไมแม่นี่ยังอยู่อีก…”

 “เจ้าดำ ได้เวลากินข้าวแล้ว” ปู้ฟางพูดเสียงอ่อนโยนโดยไม่สนใจหญิงสาว เขาวางจานซี่โครงเปรี้ยวหวานลงตรงหน้าเจ้าดำ พร้อมเอามือลูบขนนุ่มอุ่นของมันก่อนเดินกลับเข้าครัวไป

ได้เวลาเปิดร้านแล้ว

 “นายท่านตัวเหม็น ข้ากลับมาแล้ว!”

เสียงฝีเท้าดังมาจากปากทางเข้าตรอก พร้อมด้วยเสียงของโอวหยางเสี่ยวอี้ที่ลอยมาเข้าหูปู้ฟางแต่ไกล

ปู้ฟางเพิ่งวางจานอาหารลงตรงหน้าเจ้าอ้วนจิน ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความประหลาดใจ และเห็นโอวหยางเสี่ยวอี้ที่หายตัวไปหลายวันกำลังเดินกระโดดกระเด้งเข้าร้านมา

สีหน้าดีใจที่ได้รับอิสรภาพทำให้นางดูเหมือนเพิ่งถูกปล่อยตัวออกมา… ซึ่งนางก็เพิ่งถูกปล่อยตัวออกมาจริงๆ เสียด้วย

ทันทีที่เด็กหญิงก้าวเข้ามาในร้าน นางก็เห็นหญิงสาวใต้ผ้าคลุมหน้าในชุดคลุมหลวมกำลังเดินตามนายท่านตัวเหม็นทุกฝีก้าว ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้นพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เจ้าเป็นใครกัน!”

 “นายท่านตัวเหม็นมีบริกรใหม่แล้วรึ หรือเขาจะเบื่อข้าแล้ว” โอวหยางเสี่ยวอี้คิด

 “ไอ้เด็กนี่ใครกัน” หนี่หยันพ่นลมเยาะพร้อมปรายตามองโอวหยางเสี่ยวอี้ จากนั้นก็เดินตามปู้ฟางทุกฝีก้าวต่อไป

ปู้ฟางเดินเข้าครัวไป หนี่หยันก็อยากตามเข้าไปด้วยเช่นกัน แต่เจ้าขาวกันนางเอาไว้อย่างไร้เมตตา

หากหนี่หยันไม่ได้รู้สึกว่าพลังกดดันที่ก้อนเหล็กนี่กดลงมาบนตัวนางรุนแรงเกินไป นางคงพยายามฉีกมันเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว…

โอวหยางเสี่ยวอี้เม้มปาก นางเจ็บหัวใจมากเสียจนหายใจไม่ออก นายท่านตัวเหม็นที่ได้ใหม่แล้วลืมเก่าไปหาบริกรใหม่มาทำงานเรียบร้อยแล้ว นางรู้สึกเหมือนกำลังถูกโลกทั้งใบทอดทิ้ง

 “เสี่ยวอี้ วานเอาอาหารไปให้ลูกค้าที”

ในตอนที่นางกำลังจะระเบิดร้องไห้จ้าเหมือนเขื่อนแตกนั่นเอง เสียงเรียบของปู้ฟางก็ดังออกมาจากครัว

เสี่ยวอี้ชะงักไปชั่วครู่ นางสูดน้ำมูก ใบหน้าสว่างขึ้นมาทันที จากนั้นก็รีบรุดไปที่หน้าต่างครัว นายท่านตัวเหม็นไม่ได้เปลี่ยนบริกรเสียหน่อย!

หลังจากที่ส่งจานอาหารให้โอวหยางเสี่ยวอี้ที่จู่ๆ ก็ร่าเริงขึ้นมาชนิดไม่มีปี่มีขลุ่ย ปู้ฟางก็มองหนี่หยันแล้วถามพร้อมขมวดคิ้ว “จะเลิกตามข้าได้หรือยัง”

 “หากเจ้าสอนวิธีควบคุมพลังปราณในเนื้ออสูรเวทให้ข้า ข้าจะไม่มายุ่งกับเจ้าอีกเลย” หนี่หยันพูดอย่างจองหองพร้อมพ่นลมออกมา

ชายหนุ่มคิดอยู่สักพักก่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เช่นนั้นก็ไปทำอาหารจานที่เจ้ามั่นใจในรสชาติที่สุดมา หากข้าพอใจ ข้าจะสอนเจ้า หากไม่ก็เชิญไปเล่นที่อื่นเสียที”

……………………..