เล่มที่ 5 บทที่ 121 ความสัมพันธ์ในครอบครัว

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

แน่นอนว่านี่เป็นคำพูดที่ท่านพ่อเคยเอ่ย

    หวนนึกถึงตอนที่ฮ่องเต้หมิงเข่นฆ่าพี่น้องของตนเองเพื่อก้าวขึ้นเป็นฮ่องเต้ อีกทั้งยังพรากชายาของพวกเขาเหล่านั้นไป

    แม้แต่ท่านพ่อยังเอ่ยว่า หากหนึ่งร้อยปีก่อนฮ่องเต้หมิงถือกำเนิดขึ้น เกรงว่าความสัมพันธ์ระหว่างต้าจิ้นและซีฟานคงไม่เป็นเช่นนี้

    “พ่อของเจ้าเปรียบเสมือนวีรบุรุษบนพื้นดิน หากมิใช่เพราะพวกเราอยู่กันคนละผืนแผ่นดิน ข้าคิดว่าข้ากับพ่อของเจ้าจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอย่างแน่นอน”

    กำลังทางการทหารของซีฟานด้อยกว่าต้าจิ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    แม้หลายปีที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายจะห้ำหั่นกันไม่หยุดหย่อน ทว่าต้าจิ้นกลับได้รับชัยชนะมากกว่าความพ่ายแพ้

    ทว่าหลินมู่จือเกรงกลัวฮ่องเต้หมิงมาก แม้ทั้งสองประเทศจะเป็นพันธมิตรกัน ทว่าซีฟานกลับมิได้มีความซื่อสัตย์ดั่งปากว่า

    ทว่าใบหน้าของหลินเมิ้งหยากลับไม่เผยความรู้สึกใดๆ ออกมาให้เห็น

    รอยยิ้มอ่อนหวานปรากฏบนใบหน้า กอปรกับแก้มนวลงามทำให้นางยิ่งดูน่ารัก

    “ท่านพ่อของหม่อมฉันเองก็เคยเอ่ยเช่นนี้ ท่านพ่อรู้สึกเคารพนับถือพระองค์เป็นอย่างมาก”

    หลังจากสนทนาทักทายกันพอประมาณแล้ว ฮ่องเต้หมิงเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา สายตาจ้องมองแววตาเปล่งประกายของหลินเมิ้งหยา

    “เจ้าเด็กคนนี้คุยสนุกยิ่งนัก เช่นนั้นข้าที่มีศักดิ์เป็นอาขอถามเจ้าหน่อยว่าตกลงเจ้าเป็นคนฆ่าหูลู่หนานใช่หรือไม่?”

    กฎของซีฟาน เลือดต้องชดใช้ด้วยเลือดเท่านั้น

    หูลู่หนานลงมือก่อน หลินเมิ้งหยาโจมตีกลับ

    ในเมื่อกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว แสดงว่าฝีมือของเขายังไม่ดีพอ

    แต่การฆ่าคนตายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    หลินเมิ้งหยาลุกขึ้นจากที่นั่ง สบตาฮ่องเต้หมิง สีหน้าแววตาสงสัย

    “หม่อมฉันยอมรับ หูลู่หนานถูกหม่อมฉันทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ แต่หม่อมฉันหาใช่คนฆ่าเขาไม่ หากหม่อมฉันต้องการฆ่าใครสักคน หม่อมฉันไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน”

    ในสถานการณ์เช่นนี้ การพูดความจริงคือสิ่งที่ดีที่สุด

    ท่าทางของหลินเมิ้งหยาทำให้ฮ่องเต้หมิงนึกชื่นชม

    เขาครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย

    “หากเจ้ามิได้ฆ่า เช่นนั้นก็คุยกันง่ายขึ้น พูดมาสิ ตกลงเจ้ามาที่นี่ในวันนี้เพื่ออะไรกันแน่?”

    ทั้งสองพูดตอบโต้อย่างตรงไปตรงมา

    หลินเมิ้งหยาคลี่ยิ้ม แต่กลับมิได้เอ่ยวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของตนเอง

    “หม่อมฉันอยากรู้ว่าไท่จื่อนำอะไรมาแลก ท่านถึงยอมช่วยเหลือเขาขนาดนี้”

    คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้ฮ่องเต้หมิงผงะ

    แววตาเปล่งประกายเล็กน้อย ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นระมัดระวัง

    “ความหมายของเจ้าคือ…”

    “ฮ่องเต้เพคะ พวกเราอย่าได้พูดจาอ้อมค้อมกันเลย หูลู่หนานหาใช่ลูกในไส้ของพระองค์ไม่ ดังนั้นพระองค์จึงมิได้ใส่ใจกับความตายของเขาเลยแม้แต่น้อย…มิใช่หรือเพคะ?”

    คำพูดของหลินเมิ้งหยายิ่งทำให้สีหน้าของฮ่องเต้หมิงเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ

    น้อยคนนักจะรู้เรื่องนี้ เหตุใดเด็กคนนี้จึงรู้ได้?

    “ฮ่องเต้อย่าได้ประหลาดใจไปเลย คำพังเพยกล่าวไว้อย่างถูกต้อง มังกรคลอดลูกมังกร นกคลอดลูกนก ลูกชายของท่านจะเป็นคนต่ำช้าไร้ยางอายเช่นนั้นได้อย่างไร?”

    อันที่จริงหลินเมิ้งหยาวิเคราะห์จากลักษณะทางพันธุกรรม ไม่ว่าจะมองอย่างไร หูลู่หนานก็ไม่เหมือนฮ่องเต้หมิงเลยแม้แต่น้อย

    ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งฮ่องเต้หมิงหรือหูเทียนเป่ยล้วนมิได้ใส่ใจหูลู่หนาน

    จะมีพ่อแท้ๆ ที่ไหนทำเช่นนี้กันเล่า?

    อีกอย่าง หลินเมิ้งหยายังสังเกตเห็นอีกว่า นับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องจนกระทั่งตอนนี้ ไม่ว่าฮ่องเต้หมิงหรือหูลู่หนาน ไม่มีใครแสดงท่าทีเสียใจเลยแม้แต่น้อย

    “ฮ่าฮ่า เจ้านี่ช่างกล้าพูดกล้าเจรจาเสียจริง ถูกต้อง ลู่หนานไม่ใช่ลูกของข้า แต่เป็นลูกชายของพี่ใหญ่ที่ตายไปแล้วของข้า”

    ลูกชายของพี่ใหญ่ถูกเขาฆ่าตายอย่างลับๆ หมดแล้ว

    มีเพียงเด็กคนนี้ เหตุเพราะยังอยู่ในท้องของมารดา ดังนั้นจึงเล็ดลอดออกมาได้

    ทว่าตอนนี้เขากลายเป็นศพไปแล้ว น่าขำ แม้แต่ตอนตาย เขาก็ยังคิดว่าตนเองจะสามารถครอบครองซีฟานได้

    “อันที่จริง แม้หม่อมฉันจะไม่พูด แต่ฮ่องเต้หมิงเองก็คงจะรู้ดีว่าไท่จื่อหาใช่คนที่จะฝากความหวังเอาไว้ได้ เขาเป็นเพียงคนกลับกลอก หาความเชื่อถือมิได้แต่เพียงเท่านั้น”

    ไท่จื่อมีชื่อเสียงด้านลบเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนฮ่องเต้หมิงเองก็ใจดำอำมหิต เมื่อลองครุ่นคิดดูแล้ว ไท่จื่อมิใช่คนที่ควรจะร่วมมือทำการใหญ่ด้วยได้

    “คุณหนูสกุลหลินฉลาดเฉลียวยิ่งนัก”

    รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนหน้าของฮ่องเต้หมิง สายตามองทางนางอย่างชื่นชม

    เมื่อเทียบกับไท่จื่อแล้ว หญิงสาวตรงหน้าเหมาะที่จะร่วมมือด้วยกว่ามาก

    แต่ต้องดูว่านางจะยังมีข้อต่อรองที่มากกว่านี้อีกหรือไม่

    “ฮ่องเต้หมิงเอ่ยชมเกินไปแล้ว หม่อมฉันเพียงแค่ทำตามคำสั่งของท่านอ๋องอวี้ ต่อให้ข้อเสนอของไท่จื่อจะดีมากสักเพียงไหน แต่เขาไม่มีทางปล่อยเจียงซานไปอย่างแน่นอน ดังนั้นหากฮ่องเต้หมิงต้องการยื่นข้อเสนอ พวกเราเหมาะที่จะเป็นตัวเลือกของพระองค์มากกว่า”

    คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้หัวใจของฮ่องเต้หมิงกระตุกเล็กน้อย

    เปลี่ยนพันธมิตรมิใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา หากใครสามารถให้ผลประโยชน์แก่เขามากกว่า เขาก็พร้อมจะเลือกคนนั้น

    “สิ่งที่เจ้าพูดออกมานั่นก็ถูก แต่ข้าต้องการเวลาพิจารณาเรื่องนี้ก่อนสักเล็กน้อย”

    หลินเมิ้งหยาเดาเอาไว้แล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ ดังนั้นจึงทำเพียงยิ้ม นางไม่คิดบีบบังคับเขาให้ตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้

    “เรื่องนี้คงต้องใช้เวลาคิดอีกสักพัก แต่หม่อมฉันยังมีอีกเรื่องต้องการจะถามฮ่องเต้หมิง”

    หลินเมิ้งหยาสวมใส่เสื้อคลุมสีดำ เตรียมตัวกลับ

    “เรื่องของลู่หนาน ขอเพียงพวกเจ้าหาคำอธิบายให้ข้าได้ ข้าจะไม่ตามเอาเรื่องอีกต่อไป”

    อันที่จริง ไท่จื่อต่างหากที่ออกคำสั่งเพราะต้องการนำคนผิดมาลงโทษและหาคำอธิบายให้กับฮ่องเต้หมิง

    “เพคะ หม่อมฉันเข้าใจแล้ว”

    ตอนนี้เรื่องทุกอย่างกระจ่างแล้ว หูลู่หนานเป็นเพียงตัวต่อรองเท่านั้น ฮ่องเต้หมิงต้องการใช้ความตายของเขาเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์มา

    ออกจากกระโจมของฮ่องเต้หมิง หลินเมิ้งหยามิรู้สึกประหลาดใจเลยแม้แต่น้อยที่ได้เห็นหลงเทียนอวี้

    ร่างสูงโปร่ง สวมใส่ชุดสีดำ สายลมพัดชายเสื้อของเขาให้พลิ้วไหว

    ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเผยให้เห็นความเย็นชา

    เกรงว่าบนโลกใบนี้คงไม่มีหญิงสาวคนใดสามารถต้านทานเสน่ห์ของเขาได้

    หลินเมิ้งหยาสวมหมวก เดินเข้าไปหาหลงเทียนอวี้

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีร่างหนึ่งชิงตัดหน้านาง

    เกรงว่านี่จะเป็นฉากอันน่าเศร้าในสายตาของคนนอก

    องค์หญิงหมิงเยว่สวมใส่ชุดสีขาวบริสุทธิ์ เส้นผมสีดำถูกเกล้าเป็นมวยอย่างเรียบง่าย อีกทั้งยังมีเพียงดอกไม้สีขาวประดับไว้เท่านั้น

    สายตาอ่อนโยนดั่งสายน้ำ ใบหน้านวลลอองดงามจนคนมองใจละลาย

    อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็หยุดเดิน แล้วยืนอยู่ทางด้านหลังทั้งสอง

    “ดึกขนาดนี้แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าท่านอ๋องจะยังไม่นอน”

    เสียงหวานใสดึงดูดความสนใจในยามวิกาล

    หลงเทียนอวี้ชักสายตากลับมา แต่มิได้มองทางร่างบางตรงหน้า

    “อือ”

    หลงเทียนอวี้ไร้ซึ่งความลังเล สาวเท้ายาวๆ เข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าหลินเมิ้งหยา

    “คุยเสร็จหรือยัง?”

    น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนไม่เหมือนเขาในเวลาปกติ ก่อนยื่นมือเข้าไปจับผ้าคลุมของหลินเมิ้งหยาให้กระชับมากขึ้น

    “คุยเสร็จแล้วเพคะ พวกเรากลับกันเถิด”

    สีหน้าขององค์หญิงหมิงเยว่เปลี่ยนไปในทันที แต่สุดท้ายกลับฝืนยิ้มออกมา

    “ที่แท้พระชายาอวี้ก็อยู่ที่นี่ หมิงเยว่เสียมารยาทแล้ว”

    อันที่จริง หมิงเยว่รู้ถึงการมาของทั้งสองตั้งแต่ต้น

    แต่ที่ออกมาปรากฏตัวในตอนนี้ก็เพราะหลงเทียนอวี้อยู่ในกระโจมของหูเทียนเป่ย

    นานกว่าจะแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จ ขณะที่คิดจะแสดงความงามให้หลงเทียนอวี้ได้ชื่นชม แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสายตาของเขาจะตกลงบนร่างของหลินเมิ้งหยา

    “ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันหาใช่คนขี้น้อยใจไม่ เพียงแค่…หากสิ่งไหนมิใช่ของตัวเองแล้วคิดจะแย่งไป ก็คงมิใช่เรื่องดีสักเท่าไร”

    ประโยคนี้เอ่ยออกมาให้หมิงเยว่ได้ฟัง

    ต่อให้หลงเทียนอวี้จะน่าหลงใหล แต่ก็ใช่ว่าใครจะมาอยู่แนบชิดเขาได้

    ใบหน้าเรียวเล็กของหมิงเยว่เริ่มไม่น่ามอง ขอบตาเปียกรื้นจ้องมองดวงตาของหลงเทียนอวี้

    แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลงเทียนอวี้ไม่เพียงไม่โกรธ แต่เขายังเมินสายตานางแล้วเดินจากไป

    ท่านพี่เคยบอกว่าแม้ชายาอวี้จะงดงาม แต่กลับแข็งกระด้างมิใช่หรือ

    ขอเพียงนางแสร้งแสดงท่าทางอ่อนโยน นางจะสามารถครอบครองหัวใจของหลงเทียนอวี้ได้มิใช่หรือไร?

    แต่เพราะเหตุใด แม้แต่สายตาของเขายังไม่หันมาเหลียวแลตนเอง?

    มองดูร่างของทั้งคู่หายเข้าไปในความมืด หมิงเยว่ยืนอยู่กับที่ หัวใจไม่อาจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้

    “อย่าฝันไปเลย เขาหาใช่คนที่เจ้าจะสามารถเข้าไปยุ่งวุ่นวายด้วยได้”

    เสียงสบายๆ ดังขึ้น หูเทียนเป่ยเดินออกมาจากกระโจมของตนเอง

    มองดูน้องสาวของตนเองที่แสดงท่าทีไม่พึงพอใจ อยู่ๆ ก็นึกเสียดาย

    ใบหน้าของหมิงเยว่งดงามราวนางฟ้า ไม่มีผู้ใดในซีฟานเหมาะสมที่จะเคียงคู่นาง

    แต่น่าเสียดาย ข้างกายของหลงเทียนอวี้มีหลินเมิ้งหยาที่สามารถสะกดความงามของหมิงเยว่เอาไว้ได้แล้ว

    “ท่านพี่ ข้าไม่ยอมหรอก! ข้าไม่ยอม!”

    เมื่ออยู่ต่อหน้าหูเทียนเป่ย หมิงเยว่เป็นเพียงเด็กสาวเอาแต่ใจเท่านั้น

    กระทืบเท้าเร่าๆ กระชากแขนเสื้อของหูเทียนเป่ยจนสั่นไหวไม่หยุด นางเหมือนเด็กที่กำลังร้องขอพุทราจากเขาอย่างไรอย่างนั้น

    “เจ้าไม่ยอม เช่นนั้นก็ไปแย่งเอาเองเถิด แต่ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อน อย่าได้เข้าไปวุ่นวายกับหลินเมิ้งหยา มิเช่นนั้นชีวิตน้อยๆ ของเจ้าคงจบสิ้น”

    เชื้อพระวงศ์ของซีฟานแตกต่างจากต้าจิ้นมาก แต่ถึงกระนั้นฉากหน้าก็ยังมีความอบอุ่นมอบให้อยู่

    ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนโหดร้าย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน เด็กที่เกิดในราชวงศ์จะต้องถูกวางไว้ด้านนอกเป็นเวลาหนึ่งคืนหลังจากเกิด

    หากยังสามารถมีชีวิตต่อไปได้ นั่นเท่ากับว่าพวกเขามีคุณสมบัติมากพอที่จะมีชีวิตอยู่

    แต่ถ้าหากโชคไม่ดีตายไปหรือถูกหมาจิ้งจอกกิน เช่นนั้นก็คงต้องแล้วแต่เวรแต่กรรม

    “ชีวิตน้อยๆ? ท่านคิดว่าข้าเหมือนเจ้าคนไร้ประโยชน์หูลู่หนานคนนั้นหรือ?”

    นางเยาะเย้ยหูลู่หนาน เจ้าเศษสวะนั่นชอบมาวอแวกับนางตั้งแต่สามปีก่อน

    หากมิใช่เพราะคราวซวยของเขามาถึงจึงถูกคนฆ่าตาย เช่นนั้นนางอาจจะเป็นผู้ลงมือเองก็เป็นได้

    “ลู่หนานอาจตายเพราะโชคไม่ดี แต่ถึงอย่างไรคนผิดก็ต้องได้รับโทษ”

    ดวงตาเปล่งประกายของหูเทียนเป่ยจ้องมองฮ่องเต้หมิง แววตาเคร่งขรึมทำให้หมิงเยว่รู้สึกผิดเล็กน้อย

    “ท่านกำลังพูดเรื่องอะไร ข้าดูเหมือนคนไม่มีสมองอย่างนั้นหรือ?”

    หมิงเยว่หมุนตัวเดินจากไปด้วยจิตใจที่ยากแท้หยั่งถึง

    หูเทียนเป่ยถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ย

    “อย่าคิดว่าไท่จื่อจะเป็นที่พึ่งของเจ้าได้”