เล่มที่ 5 บทที่ 122 ตรวจสอบพื้นที่

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ทั่วทุกพื้นที่ในค่ายล้วนอยู่ในกำมือของหูเทียนเป่ย

    อย่าว่าแต่เรื่องที่ไท่จื่อส่งคนมาเชื่อมความสัมพันธ์กับหมิงเยว่เลย ขนาดยุงบินผ่านเขายังรับรู้ได้

    “เสด็จพ่อเองก็ร่วมมือกับไท่จื่อมิใช่หรือ? เหตุใดข้าจึงไม่อาจร่วมมือกับไท่จื่อได้เล่า?”

    ที่ซีฟาน สถานะของหญิงสาวค่อนข้างสูง

    แต่ในสายตาของเสด็จพ่อ นางที่เป็นองค์หญิงกลับเป็นเพียงเครื่องมือชิ้นหนึ่งในฐานะเชื้อพระวงศ์เท่านั้น

    ดังนั้น นางจำเป็นต้องหาสามีที่ดีให้ได้

    ตลอดหลายวันมานี้ นางเฟ้นหาบุรุษดีๆ หลายคน ทว่ามีเพียงหลงเทียนอวี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติมากพอจะเป็นพระสวามีของนาง

    แต่น่าเสียดาย เขามีชายาอวี้หลินเมิ้งหยาอยู่ข้างกายเสียแล้ว

    “หลงเทียนอวี้ไม่เหมือนกับพวกคุณชายแห่งซีฟาน หากเจ้าคิดจะล้อเล่นกับหัวใจของเขา สุดท้ายเขาจะทำให้เจ้าทรมานจนตาย”

    หูเทียนเป่ยส่งสายตาเย็นชาไปทางน้องสาว เกรงว่าต่อให้นางต้องทนกล้ำกลืน แต่ก็คงไม่เข้าใจว่าผู้ชายบางประเภทก็มิสมควรเข้าไปยุ่มย่าม

    หมิงเยว่กลับไม่สนใจฟังคำเตือนของเขา กลับกัน นางตั้งปณิธานแล้วว่าจะจับหลงเทียนอวี้ไว้ในกำมือให้ได้

    “องค์หญิงหมิงเยว่รู้จักกับท่านอ๋องหรือเพคะ?”

    อันที่จริง ไม่ว่าจะคิดกี่ตลบ หลินเมิ้งหยาก็รู้ได้ว่าทั้งสองมิได้รู้จักกันมาก่อน

    แต่เพราะท่าทางยั่วยวนของหมิงเยว่เมื่อครู่กลับทำให้หัวใจของนางบีบตัวเข้าหากัน

    แพ้ให้ท่านหญิงหลินหลางยังไม่เท่าไร ถ้าหากยังแพ้ให้กับองค์หญิงหมิงเยว่อีกละก็ นางคงต้องรีบไสหัวไปทันที

    “ไม่รู้จัก นางเป็นองค์หญิงแห่งซีฟาน ข้าเพิ่งได้เจอนางเป็นครั้งแรก”

    ในสายตาของหลงเทียนอวี้ สตรีก็คือสตรี ไม่มีอะไรแตกต่างกัน

    นอกจากหลินเมิ้งหยาแล้ว เขาไม่เคยรู้สึกว่าหญิงสาวนางใดน่ารักน่าชังอีกเลย

    หรืออาจจะพูดได้ว่าสำหรับเขาแล้ว สตรีแบ่งออกเป็นสองประเภท

    ประเภทแรกคือหลินเมิ้งหยา ส่วนอีกประเภทคือคนอื่น

    “อ้อ เช่นนั้นท่านอ๋องคิดว่าองค์หญิงหมิงเยว่หน้าตาเป็นเช่นไรหรือเพคะ?”

    น้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความหึงหวง แม้แต่หลินเมิ้งหยายังไม่อาจควบคุมมันได้

    นางมิอาจลบภาพสาวงามภายใต้แสงจันทร์เมื่อครู่ออกไปจากใจได้เลย

    ทว่า คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดเข้าหากัน

    “ข้าไม่ได้มองก็เลยไม่รู้”

    ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงปกติ ทั้งที่มิใช่คำพูดอ่อนหวาน แต่หลินเมิ้งหยากลับรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก

    อุตส่าห์แต่งหน้าแต่งตัวอย่างสวยงาม ทว่าหลงเทียนอวี้กลับไม่ชายตามองเลยแม้แต่น้อย

    “ฮ่องเต้หมิงเป็นพันธมิตรกับไท่จื่อจริงๆ เพคะ แต่ตอนนี้หม่อมฉันยังไม่รู้ว่าไท่จื่อเอาอะไรไปแลก”

    ฮ่องเต้หมิงมิใช่คนที่จะยอมร่วมมือด้วยง่ายๆ เมื่อครู่เขาไม่ได้รีบตอบตกลงในทันที แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ นั่นเท่ากับว่าเขากำลังพิจารณาว่าจะได้ผลประโยชน์จากฝ่ายใดมากกว่ากัน

    ดังนั้นเมื่อพูดถึงจุดนี้แสดงว่าพวกเขากำลังถูกกระตุ้น

    หากฮ่องเต้หมิงเรียกร้องข้อเสนอที่สูงจนเกินไป การเจรจาในครั้งนี้ถือว่าล้มเหลว

    “สิ่งที่ไท่จื่อพอจะให้ได้ ข้าคิดว่าคงไม่ใช่ของที่มีมูลค่ามากมายนัก”

    หลงเทียนอวี้ครุ่นคิด กระซิบเสียงเบา

    ไท่จื่อมิใช่คนใจกว้าง ดังนั้นสิ่งที่เขาพอจะให้ได้คงเป็นของที่อยู่ในการครอบครอง

    “ไม่ว่ามันคืออะไร พวกเราควรสืบออกมาให้รู้แจ้ง ท่านอ๋องมีวิธีหรือไม่?”

    แววตาเปี่ยมไปด้วยความหวังของหลินเมิ้งหยากำลังจ้องมองมาที่ตนเอง หลงเทียนอวี้พยักหน้าลงโดยไม่รู้ตัว

    “ได้ ข้าจะลองแอบสืบให้เจ้า”

    ทั้งสองที่เพิ่งจะกลับเข้ามาในบริเวณค่ายได้เห็นแสงไฟจากคบเพลิงสว่างวาบไปทั่วทั้งพื้นที่แสนมืดมิด

    ทหารจำนวนไม่น้อยแบ่งออกเป็นกลุ่มและเดินไปเดินมาไม่หยุด

    ได้ยินเสียงดังขึ้น เสมือนกำลังเข้าจับกุมใครบางคน

    หลงเทียนอวี้และหลินเมิ้งหยารีบแอบหลบ

    “อีกเดี๋ยวหากเข้าไปแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอันใดอย่าได้ออกมาเป็นอันขาด”

    หลงเทียนอวี้กระซิบออกคำสั่ง หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง ก่อนเขาจะพานางไปส่งที่กระโจม และหมุนตัววิ่งเข้าไปแฝงตัวในกลุ่มทหาร

    ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

    ภายในกระโจม ทุกคนยังคงไม่หลับ

    มองดูหลินเมิ้งหยาซึ่งอยู่ในผ้าคลุมสีดำสนิทกลับมา ป๋ายจีรีบเดินขึ้นมาข้างหน้าเพื่อถอดผ้าคลุมให้กับนาง

    ด้านนอกค่ายเกิดความวุ่นวาย ทว่าเหตุการณ์ภายในกระโจมกลับสงบเงียบ

    พี่เยว่ถิงซึ่งนอนอยู่บนเตียงฟื้นแล้ว ทว่าใบหน้ากลับขาวซีด

    “พี่เยว่ถิง ท่านฟื้นแล้ว”

    หลินเมิ้งหยาวิ่งเข้าไปหาเยว่ถิงด้วยความดีใจ ทว่าใบหน้าไร้สีเลือดของเยว่ถิงกลับสงบนิ่ง

    แต่หลังจากได้เห็นหน้าหลินเมิ้งหยาแล้ว สุดท้ายนางจึงฝืนยิ้มออกมา

    “หย๋าเอ๋อร์ เจ้าช่วยชีวิตพี่เอาไว้อีกแล้ว”

    เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดออกมาต่อหน้า ขอบตาของเยว่ถิงก็เปียกชื้น

    มือเล็กสีขาวดั่งหิมะกำผ้าห่มแน่น

    “แต่ข้าที่เป็นแบบนี้สู้ตายไปยังจะดีเสียกว่า”

    แม้ร่างกายจะบาดเจ็บ แต่นางสามารถอดทนได้ ทว่าความทรงจำอันแสนเลวร้ายที่ปรากฏขึ้นในใจกลับมิอาจลบล้างออกไปได้

    ทันทีที่นางตื่น เยว่ฉีเล่าเรื่องความตายของหูลู่หนานให้นางฟังแล้ว

    แล้วอย่างไรเล่า? นางจะทำเหมือนว่าเรื่องพวกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นได้อย่างไร?

    “ท่านอย่าได้เอ่ยเช่นนี้ พี่เยว่ถิงรู้หรือไม่ หากยังมีชีวิต ก็จะยังมีความหวัง คิดเสียว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเพียงฝันร้ายเถิด ตอนนี้ฟื้นแล้ว จากนี้ไปจะไม่มีใครทำร้ายท่านได้อีก”

    หลินเมิ้งหยาโอบกอดร่างบอบบางของเยว่ถิง หูลู่หนานสมควรได้รับโทษเช่นนั้นแล้ว

    แต่พี่เยว่ถิงถูกทำร้ายจนไม่เหลือชิ้นดี อีกทั้งยังมิใช่สาวงามจิตใจดีเหมือนอย่างตอนแรกอีก

    “จริงสิ เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดจึงวุ่นวายถึงเพียงนี้?”

    หลินจงอวี้ที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้างตลอดเวลาจึงเอ่ยตอบ

    “ตั้งแต่ตอนที่ท่านออกไป ทางฝั่งไท่จื่อเกิดวุ่นวายขึ้นมา เขาเอ่ยว่ามีมือสังหารลอบเข้ามา ดังนั้นไท่จื่อจึงพาคนออกตรวจสอบกระโจมแต่ละหลัง”

    หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด มีบางอย่างผิดปกติ

    ทหารองครักษ์คุ้มกันอย่างแน่นหนา จะมีมือสังหารลอบเข้ามาได้อย่างไร อีกทั้งยังคิดจะทำร้ายไท่จื่ออีก

    “หลังจากตอนที่ข้าไปแล้ว มีใครเข้ามาในนี้หรือไม่?”

    สาวใช้ทั้งสี่ครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้า

    “พวกเจ้าลองคิดดูให้ดี ตกลงมีใครเข้ามาหรือไม่?”

    ทุกคนในกระโจมต่างพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก

    สุดท้ายเยว่ฉีจึงเอ่ยออกมาอย่างลังเล

    “หลังจากพี่หลินไป สาวใช้ประจำตัวของพี่สาวข้านามว่าปี้เหลียนมาที่นี่ อีกทั้งบอกว่าท่านพ่อสั่งให้นำยาถ้วยหนึ่งมาให้พี่สาว”

    สาวใช้ประจำตัวของพี่เยว่ถิง? อีกทั้งยังนำยามาให้?

    “หลายวันมานี้ปี้เหลียนเป็นคนนำซุปมาให้ คงไม่มีอะไรหรอก”

    แม้เยว่ฉีจะอ้ำอึ้ง แต่ถึงกระนั้นปี้เหลียนก็เป็นคนสนิทของพี่สาวจริง ๆ

    “นางนำของสิ่งใดส่งมาให้?”

    หลินเมิ้งหยาได้กลิ่นผิดปกติบางอย่าง ดังนั้นจึงรีบเอ่ยถาม

    เยว่ฉีหยิบกล่องอาหารสีแดงออกมาจากมุมหนึ่ง

    รูปลักษณ์ของมันไม่ได้พิเศษอันใด

    หลินเมิ้งหยาหยิบกล่องมาพลิกดู เหตุเพราะเวลากระชั้นชิด ดังนั้นนางจึงโยนมันลงพื้น

    “ปัง” เสียงดังขึ้น กล่องอาหารแตกละเอียด คิดไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่อยู่ภายในจะเป็นชุดสีดำ

    “เป็นไปได้อย่างไร? ทั้งที่…”

    มุมปากของหลินเมิ้งหยากระตุกขึ้นอย่างเย็นชา

    ดูเหมือนไท่จื่อจะใจร้อน จึงคิดส่งของชิ้นนี้มาทำลายนางอย่างนั้นสินะ

    ไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบชุดสีดำขึ้นมา ก่อนจะเดินผลุบหายเข้าไปในฉากกั้น

    หลังจากนั้นไม่นาน ชุดสีดำถูกสวมใส่ลงบนร่างของหลินเมิ้งหยา

    “พวกเจ้าลองดูหน่อยสิว่ายังมีตรงไหนโผล่ออกมาให้เห็นอีก?”

    หลังจากสวมเสร็จแล้ว หลินเมิ้งหยาจึงเดินออกมา

    เนื้อผ้าของชุดสีดำค่อนข้างบาง เมื่อสวมผ้าคลุมสีดำทับเข้าไป ดังนั้นจึงมองไม่เห็นสิ่งใด

    “เอาไปทิ้งก็ได้นี่เจ้าค่ะ เหตุใดนายหญิงต้องใส่มันด้วย?”

    ป๋ายจื่อคิดไม่ออกจึงเอ่ยถาม

    “ในเมื่ออีกฝ่ายให้มาแล้ว พวกเขาจะต้องมีวิธีเอาผิดพวกเราอย่างแน่นอน ดังนั้นหากข้าสวมไว้กับตัวก็จะไม่มีใครหาเจอ”

    แม้กระโจมจะกว้างมาก แต่ถึงจะซ่อนเอาไว้ ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องถูกหาพบ

    มีเพียงร่างกายของชายาอวี้เท่านั้นที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง

    ทันทีที่สิ้นเสียงลง เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านนอก

    “ทูลพระชายา ไท่จื่อถูกโจมตี ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องตรวจค้นทุกกระโจม ขอพระชายาได้โปรดเปิดทางด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

    แม้จะเป็นการตรวจค้น แต่นี่เป็นกระโจมของหญิงสาว ดังนั้นจึงมิอาจเข้ามาได้ง่ายๆ

    หลินเมิ้งหยาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จึงส่งป๋ายซ่าวออกไป

    ป๋ายซ่าวแหวกผ้าม่านออก มองดูทหารสิบกว่าคนด้านนอก

    คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ก่อนจะเอ่ย

    “พระชายาของพวกเราหาใช่ฮูหยินธรรมดาไม่ หากพวกเจ้าเข้าไปตรวจค้นให้ระวังสิ่งของด้วย ถ้าเกิดบุบสลายขึ้นมา พวกเจ้าคงกลับออกไปง่ายๆ ไม่ได้”

    ทหารเหล่านั้นเป็นคนของไท่จื่อ ดังนั้นป๋ายซ่าวไม่จำเป็นต้องไว้หน้าพวกเขา

    ทหารเหล่านั้นเผยสีหน้าลำบากใจ

    คนอื่นให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี มีเพียงชายาอวี้ที่ทำให้พวกเขาต้องสะอึก

    ชายาอวี้ช่างแตกต่างจากผู้อื่นจริงๆ

    “แม่นางโปรดวางใจ พวกเราจะระมัดระวังเป็นอย่างดี พระชายาไม่เหมือนคนอื่น พวกเราจะระวัง”

    ป๋ายซ่าวพาคนสองสามคนเข้าไปในกระโจม เพียงเดินผ่านประตู กลิ่นยาพลันพวยพุ่งเข้ามาเตะจมูก คิ้วของทหารเหล่านั้นขมวดเข้าหากัน

    ชายหญิงแตกต่างกัน นอกจากฉากกั้นที่เตียง บริเวณอื่น ๆ มิมีอะไรผิดปกติ

    “ถวายคำนับพระชายา พระชายาได้โปรดลงโทษด้วย พวกกระหม่อมมารบกวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

    แม้ไท่จื่อกับอ๋องอวี้จะไม่ถูกกัน แต่เรื่องนี้พวกเขาไม่กล้ายุ่ง

    สำหรับพระชายาอวี้ พวกเขาไม่กล้าทำให้นางขุ่นเคือง

    “อือ พวกเจ้าเองก็ปฏิบัติตามคำสั่ง ป๋ายจี ป๋ายซ่าว พวกเจ้าพาพวกเขาไปตรวจสอบ”

    หลังฉากกั้น หลินเมิ้งหยานั่งอยู่บนเก้าอี้ เยว่ฉีประคองร่างของเยว่ถิงและนั่งรอผลการค้นหาด้วยกันที่ด้านหลัง

    แม้จะถูกหลินเมิ้งหยาข่มขวัญ แต่พวกเขาก็มิได้แสดงท่าทีตื่นกลัว

    “ได้โปรดเปิดตู้หลังนี้ออก พวกเราต้องการตรวจสอบ”

    ใบหน้าของป๋ายจีแสดงความไม่พึงพอใจ เหตุเพราะนี่คือตู้เก็บเสื้อผ้าของพระชายา

    หยิบเสื้อผ้าออกมาวางบนโต๊ะทีละชุด

    “พวกเราตรวจสอบแล้ว ไม่พบสิ่งใด”

    ไม่พบแน่นอนอยู่แล้ว หลินเมิ้งหยาแอบส่งเสียงในใจ แต่ถึงกระนั้นท่าทางที่แสดงออกมายังคงสงบนิ่ง