ตอนที่ 120 ส่งเถ้ากระดูก

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

ความสุขคืออะไร? ความสุขของแต่ละคนนั้นล้วนไม่เหมือนกัน แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกว่าในยามนี้ตนเองช่างมีความสุขเสียจริง…ท้ายที่สุดหญิงสาวทั้งสองคนที่ขัดหูขัดตาก็เก็บกระเป๋าจากไปอย่างหมองเศร้า หลังจากนี้ก็ไม่อาจมีใครมารบกวนเวลาของสองสามีภรรยาได้แล้ว กลับมาใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและหวานชื่นดั่งเช่นเคย

เพราะเยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูแลเรื่องภายในครัวได้อย่างราบรื่น ทั้งนี้ก็เนื่องด้วยมีฝีมือ เรื่องทั้งหมดจึงดูง่ายดาย ดังนั้น หลังจากปรึกษาหารือกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ซั่งกวนฮ่าวก็มอบกุญแจคลังสินค้าให้กับนาง ให้นางได้ควบคุมดูแลเรื่องภายในตระกูลมากขึ้นไปอีกขั้น ซั่งกวนจิ่นส่งคนข้างกายที่มีฝีมือไปช่วยจัดการเช่นกัน แต่ทั้งหมดนี้ก็ครอบคลุมการใช้ชีวิตของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เพียงส่วนเดียวเท่านั้น

การใช้ชีวิตของนางเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีระบบระเบียบเป็นอย่างมาก ทุกวันต้องตื่นแต่เช้า ทานอาหารเช้าเพียงลำพังกับซั่งกวนเจวี๋ยด้วยความหวานชื่นและอบอุ่น หลังจากส่งซั่งกวนเจวี๋ยออกจากบ้านไปก็ตรวจสอบเรื่องทางครัวที่ต้องจัดการในวันนั้นสักเล็กน้อย ดูว่าได้หลงลืมตกหล่นไปตรงไหนหรือไม่ จากนั้นก็ไปที่คลังสินค้า ตรวจสอบสินค้าที่จดไว้ในบันทึก เมื่อทำความเข้าใจจนเสร็จสรรพแล้ว ก็เข้าสู่เวลาของอาหารกลางวันพอดี

ในตอนกลางวันสองพ่อลูกซั่งกวนฮ่าวปกติก็ล้วนแทบไม่เห็นเงา ซั่งกวนอิงก็ไม่ค่อยได้พบหน้าเช่นกัน เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงทานอาหารกลางวันด้วยกันกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ นอกจากนี้ยังมีอนุภรรยาหวังและซั่งกวนอวี่ฮ่าวอีกด้วย

หวงฝู่เยวี่ยเอ้อนับว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสองแม่ลูก อนุภรรยาหวังพูดน้อยเป็นอย่างมาก ปฏิบัติต่อผู้อื่นและจัดการเรื่องได้อย่างมีระเบียบแบบแผน ให้ความเคารพนับถือหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเป็นอย่างยิ่ง และหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ให้ความสนิทสนมกับซั่งกวนอวี่ฮ่าวดั่งเป็นแม่ลูกคู่หนึ่งด้วยเช่นกัน

ช่วงบ่าย เยี่ยนมี่เอ๋อร์ต้องกลับเรือนมีคู่ไปเย็บปักถักร้อยต่อ เสื้อคลุมที่จะมอบให้ซั่งกวนเจวี๋ยได้ทำเสร็จไปเสียส่วนใหญ่แล้ว เสื้อผ้าในส่วนของจินหรุ่ยที่เตรียมเพื่อซั่งกวนเจวี๋ยก็เกือบเสร็จสมบูรณ์ กำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายแล้ว

ซั่งกวนเจวี๋ยมักกลับมาในเวลาอาหารเย็น หลังจากทานอาหารเย็นแล้ว ทั้งสองคนก็จะประคองกันไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชอบเดินในทางเล็กๆ ริมน้ำมากที่สุด  ลมหนาวที่พัดขึ้นมาจากผิวน้ำนั้นช่วยขจัดความเหนื่อยล้าเมื่อตอนกลางวันจนมลายหายไป ได้พูดคุยเรื่อยเปื่อยกับซั่งกวนเจวี๋ย ก็รู้สึกสบายใจและคลายกังวล ความอบอุ่นที่ราบเรียบนั้น ทำให้ความรู้สึกระหว่างทั้งสองนับวันก็ยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้น

หลังจากกลับมาที่เรือนมีคู่ จื่ออวิ๋นก็จะชงชาผู่เอ๋อร์มาหนึ่งกา สองสามีภรรยาบางทีก็จะต่อหมากกันอย่างง่ายๆ บางทีต่างฝ่ายก็จะอ่านหนังสือเล่นกันไป บางทีหากอารมณ์ดี ก็จะได้ยินเสียงซั่งกวนเจวี๋ยเป่าขลุ่ย เยี่ยนมี่เอ๋อร์บรรเลงพิณ หรือบางทีทั้งสองต่างก็ทำเรื่องของตัวเองไป แต่ทุกครั้งที่หันสายตามาประสานกัน ก็จะยิ้มให้กันและกันอย่างนี้เสมอ…

“เจวี๋ยเอ๋อร์ ข้าเห็นความสัมพันธ์ของพวกเจ้าทั้งสองนับวันก็ยิ่งดีมากขึ้น ได้คิดไว้บ้างหรือไม่ว่าจะพาเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปกราบไหว้บรรพบุรุษเมื่อไร?” หลังจากซั่งกวนฮ่าวทานอาหารเย็นเสร็จก็เรียกซั่งกวนเจวี๋ยให้ไปหาที่ห้องหนังสือ นี่นับเป็นครั้งแรกหลังจากการแต่งงานของทั้งสองที่เขายกเรื่องกราบไหว้บรรพบุรุษมาพูด ทั้งสองคนแต่งงานกันได้เกือบสี่สิบกว่าวันแล้ว นี่ก็แทบจะครบวันที่ห้าสิบอยู่รอมร่อ

ซั่งกวนเจวี๋ยเผยยิ้มเล็กน้อย “ข้าได้คิดไว้แล้ว รอหลังจากพวกเราร่วมเตียงเคียงหมอนแล้วจะค่อยพานางไปกราบไหว้!” เรื่องนี้ซั่งกวนเจวี๋ยก็ได้ตัดสินใจหลังจากไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งแล้วเช่นกัน

ซั่งกวนฮ่าวเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ย่อมต้องเลือกไปไหว้บรรพบุรุษที่ศาลบรรพชนในวันที่หกสิบห้า ดูท่าแล้วความรู้สึกของสองสามีภรรยาจะพัฒนาอย่างรวดเร็วจนคาดไม่ถึง

“เจ้าคิดดีแล้วสินะ!” ซั่งกวนฮ่าวเตือนอย่างเรียบนิ่ง เรื่องนี้เขายังคงค่อนข้างเคารพการตัดสินใจของซั่งกวนเจวี๋ย อย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตของเขา

“คิดดีแล้ว วางแผนไว้แล้วเช่นกัน!” ซั่งกวนเจวี๋ยผงกศีรษะ “แม่บุญธรรมของมี่เอ๋อร์ล่วงลับไปวันที่สิบแปดเดือนหนึ่ง วันที่ยี่สิบเก้าเดือนสี่ก็จะครบร้อยวันพอดี ในวันนั้นข้าจะหาเวลาพาเยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกไปกราบไหว้บรรพบุรษ และวันที่สองเดือนห้าก็ครบหกสิบห้าวันที่พวกเราแต่งงานกันพอดี ทันเวลาอย่างแน่นอน!”

“เจ้าวางแผนมาแล้วก็ดี หากบอกกล่าวกับน้องจิ่นล่วงหน้า เขาย่อมเป็นธุระจัดการเรื่องต่างๆ ให้” ซั่งกวนฮ่าวพยักหน้า มองเรื่องนี้ในแง่ดี

“เข้าใจแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยผงกศีรษะ ทุกวันล้วนต้องตระเตรียมไม่เหมือนกัน บางทีซั่งกวนจิ่นอาจจะเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว

“เรื่องนี้ทางด้านฮูหยินใหญ่อาจจะไม่พอใจอยู่บ้าง นางอาจจะฉวยโอกาสก่อเรื่อง เจ้าให้มี่เอ๋อร์ระมัดระวังหน่อยก็แล้วกัน!” ซั่งกวนฮ่าวกล่าวเตือน ในเวลานั้นตนเองก็เพราะเรื่องนี้ทำให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยบ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้งอยู่ครึ่งปีกว่า ทั้งนางก็ไม่ค่อยชื่นชอบมี่เอ๋อร์อีกด้วย หากไม่มีแผนอันใดหรือวางเล่ห์กลอะไรไว้สิจึงจะเป็นเรื่องแปลก

“ข้าเข้าใจแล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้า ก่อนจู่ๆ ก็ยิ้มขึ้น “แต่ข้าเชื่อว่าถึงแม้ไม่เตือนมี่เอ๋อร์ แต่นางก็ย่อมรับมือได้อยู่แล้ว นางฉลาดเฉลียวกว่าท่านแม่มาก ทั้งยังรู้จักยืมแรงฝ่ายตรงข้ามมาลงมือ”

“อะไรกัน? ลืมนางในฝันผู้นั้นไปแล้วหรืออย่างไร?” ซั่งกวนฮ่าวเผยยิ้มอย่างราบเรียบ หยอกล้อลูกชาย

“ลืมไม่ลงหรอก!” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวอย่างจริงจัง “แต่ข้าจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ก็เหมือนที่ท่านพูด เก็บคนที่รักอย่างสุดหัวใจซ่อนไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ ส่วนชีวิตก็ยังคงต้องก้าวเดินต่อไป!”

“คิดได้เช่นนั้นก็ดีแล้ว!” ซั่งกวนฮ่าวตบไหล่เขา กล่าวยิ้มๆ “กลับไปอยู่เป็นเพื่อนมี่เอ๋อร์เร็วหน่อยเถิด! เจวี๋ยเอ๋อร์ ข้าอยากจะรู้เรื่องหนึ่ง ยามนี้เจ้าโกรธแม่เจ้าหรือไม่ ที่รับปากให้มี่เอ๋อร์ไว้ทุกข์หนึ่งร้อยวัน?”

ซั่งกวนเจวี๋ยชะงักไป เอาเถิด เขากล่าวตำหนิเรื่องนี้ไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่เขาที่เป็นพ่อนั้นก็ไม่ควรจะหยอกล้อลูกชายอย่างนี้หรือเปล่า!

“ท่านพ่อ ข้าก็นึกถึงอีกเรื่องหนึ่ง ท่านแม่รู้หรือไม่ว่าท่านเคยมีนางในฝันที่เอาแต่คะนึงหาเช่นกัน?” ซั่งกวนเจวี๋ยย้อนถามอย่างไม่ยอมที่จะเสียเปรียบสักนิด

———————————-

“นี่คือเถ้ากระดูกของป้าโม่ผู้นั้นหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์อุ้มกล่องไม้จันทน์ออกมา จู่ๆ ก็ไม่เข้าใจกับความกล้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ คาดไม่ถึงว่านางจะเอาเถ้ากระดูกมาไว้ในห้อง นี่นางไม่กลัวรึ?

“ใช่แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยกกล่องเถ้ากระดูกนั้นออกมาอย่างระมัดระวัง “ท่านป้าเป็นคนโยวโจว ในยามที่นางล้มป่วยหนัก นางเคยสะลึมสะลือเอาแต่พูดถึงชื่อภูเขาเฮ่อของโยวโจวออกมา นางกล่าวว่าที่นั่นเป็นบ้านเกิดของนาง และก็เป็นที่ฝังกระดูกของครอบครัวและญาติสนิท ข้าหวังว่าจะมีสักวันที่สามารถนำเถ้ากระดูกนางไปยังภูเขาเฮ่อได้ ไม่ว่าจะบุกป่าฝ่าเขา หรือต้องฝังให้ลึกลงไปในดินก็ดี การฝังกระดูกไว้ที่บ้านเกิดนั้นเป็นความปรารถนาครั้งสุดท้ายของนาง ข้าย่อมต้องช่วยทำความปรารถนาของป้าโม่ให้เป็นจริงให้ได้”

“เดือนสิบทุกปีของโยวโจว มีงานชมดอกฝูหลงซึ่งจัดโดยตระกูลมู่หรง ปีนี้ข้าพาเจ้าไปชมดอกฝูหลงที่โยวโจว เจ้าว่าเป็นอย่างไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวทั้งเผยยิ้ม “ทิวทัศน์ของภูเขาเฮ่อนั้นดีไม่น้อย ถึงเวลานั้นพวกเราก็หาเวลาเข้าไป!”

“อื้ม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า ประคองกล่องเถ้ากระดูกลงบันไดอย่างระมัดระวัง รวมถึงเซียงหลิงที่แทบไม่เคยก้าวเท้าเดินออกจากประตู คนทั้งหมดที่มาจากอู๋โจวล้วนยืนอยู่ที่สวนดอกไม้ ยิ่งไปกว่านั้นแม่นมฉินยังจัดวางของเซ่นไหว้ด้วยตัวเอง

เมื่อวางกล่องเถ้ากระดูกลงบนโต๊ะ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รับธูปที่จุดไว้มา ก่อนจะคุกเข่ากราบลงไปอย่างนอบน้อม หลังจากปักธูปแล้ว นอกจากแม่นมฉิน คนอื่นๆ ก็ล้วนทยอยก้าวขึ้นมาคุกเข่ากราบลงไปเช่นกัน

“อีกเดี๋ยวก็เอาเถ้ากระดูกของป้าโม่ส่งไปจัดเก็บไว้ที่อารามสัตตบงกช รอจนถึงเวลาที่พวกเราจะเดินทางไปโยวโจวค่อยมารับ เจ้าว่าแบบนี้ดีหรือไม่?” แม้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะไม่กลัว แต่เมื่อนึกไปถึงในห้องที่มีเถ้ากระดูกของคนที่ตนไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน ก็คงจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี

“แบบนี้ดีที่สุด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า นางก็วางแผนอย่างนี้เช่นกัน “เช่นนั้นก็ขอลุงจิ่นจัดเตรียมรถม้า ให้จื่อหลัวลู่หลัวพาพวกเซียงเสวี่ยทั้งสี่คนไปจัดการเรื่อง พวกนางหกคนล้วนเป็นคนที่ท่านป้าเลือกมารับใช้ข้างกายข้า ควรจะให้พวกนางเดินทางไปส่ง”

“ได้” ซั่งกวนเจวี๋ยถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขายังกังวลใจว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะไม่ยอมส่งเถ้ากระดูกไปยังอารามสัตตบงกชเสียอีก หากเป็นเช่นนั้นไม่ว่าจะจัดวางเถ้ากระดูกที่ใดก็ล้วนไม่เหมาะสมแล้ว ม่านเหอรีบจัดสาวใช้ไปรายงานผู้ดูแลทันที

“ข้าจะออกไปส่งที่ประตูจวนด้วยเช่นกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใช้ผ้าไหมแพรสีขาวห่อกล่องเถ้ากระดูก ก็ถือไว้ในอ้อมอก ทำใจห่างไม่ได้อยู่บ้าง แม้ว่านี่จะเป็นเพียงกล่องเถ้ากระดูก แต่เมื่อมีอยู่ข้างกาย ก็คล้ายกับท่านป้าไม่ได้จากไปไหนไกล ยังคงรั้งกายอยู่กับตนเช่นนั้น

“ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า!” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ว่าจิตใจของนางนั้นหนักอึ้ง ไม่ได้ปลอบอะไรนาง แต่ค่อยๆ เดินออกมาจากเรือนมีคู่เป็นเพื่อนนาง ไปส่งจนถึงประตูใหญ่ ตลอดทางไม่มีคนเอ่ยปากพูดแม้แต่คนเดียว ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูอย่างรวดเร็ว

“จื่อหลัว พวกเจ้ามานี่สิ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่งมอบให้จื่อหลัว “ขอให้ท่านอาจารย์ที่อารามสัตตบงกชจุดโคมเทียนหนึ่งดวงให้ครบหนึ่งร้อยวัน จำไว้ให้ดี ต้องเป็นโคมเทียนดอกบัวเท่านั้น ให้เซียงเสวี่ยเป็นคนจุดแทนข้า หลังจากครบร้อยวันแล้ว ข้าจะไปดับด้วยตนเอง!”

“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” จื่อหลัวผงกศีรษะรับคำสั่ง รับกล่องไปอย่างระมัดระวัง ลู่หลัวยังคงกลัวอยู่บ้าง หลบไปด้านข้างเล็กน้อย ไม่กล้าเข้าไปใกล้

“อีกเดี๋ยวไม่ต้องให้ลู่หลัวนั่งรถไปกับเจ้า นางขี้ขลาดตาขาว จะขวัญหนีดีฝ่อเอา!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้จักนิสัยของลู่หลัวดี จึงกำชับเป็นพิเศษ

“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่ พวกเราไปกันเถิด!” จื่อหลัวพยักหน้า เรียกเซียงเสวี่ยและจื่ออวิ๋นมานั่งรถม้าคันเดียวกับนาง ส่วนลู่หลัวก็ไปนั่งกับสองคนในรถอีกคัน

“อย่าได้เศร้าใจไป!” เห็นน้ำตาของมี่เอ๋อร์ไหลลงอย่างเงียบเชียบ ซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่สนใจสายตาของพวกคนใช้ ยื่นมือไปโอบไหล่ของนาง กล่าวปลอบเสียงเบา “ข้าว่าป้าโม่คงไม่อยากเห็นเจ้าร้องไห้เสียใจอย่างเช่นนี้!”

“อื้ม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบรับ “นิสัยของท่านป้าและท่านแม่ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย ท่านป้า นางแข็งกร้าวกว่ามาก นางเกลียดการร้องไห้เสียใจเป็นที่สุด ที่รับไม่ได้ที่สุดก็คือการจมปลักกับความทุกข์ พูดว่านั่นก็เป็นเพียงการตีตนไปก่อนไข้ เพราะว่าเรื่องนี้ก็ไม่รู้ว่าทะเลาะกับท่านแม่มากี่ครั้งแล้ว จุดนี้ข้าเหมือนกับท่านป้า ข้าย่อมไม่อาจทำให้ท่านป้าผิดหวังได้!”

———————-