“ท่านเอาแต่ใจตัวเองได้อย่างไร!” แม่นมฉินเฝ้าดูจื่อหลัวถูหลังให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เบาๆ ไปพลาง ในขณะเดียวกันก็สั่งสอนอย่างไม่พอใจ ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเหี่ยวย่นแล้วพูดว่า “เพื่อไว้ทุกข์ให้ป้าโม่ร้อยวัน แม้แต่การร่วมห้องหอจะล่าช้าไป…ก็เป็นเพราะฮูหยินเอ็นดูท่าน และนายน้อยก็เป็นคนฉลาดและมีน้ำใจ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ไม่เพียงจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่แปลกวิปลาสเช่นนี้ ยังจะต้องถูกลงโทษด้วย (แต่งเรื่องขึ้นเองกับมือ) ท่านจะไม่ปรึกษากับข้าสักหน่อยหรือ?”
“ไหนเลยจะกล้าพูดกับเจ้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถูกนางสวดมาสองวันแล้ว มึนหัวเป็นการใหญ่ จื่อหลัวกับลู่หลัวต่างรู้เรื่องนี้ แต่กลับโดนนางสั่งปิดปาก ไม่เพียงไม่สามารถสื่อสารกับแม่นมฉินได้ ทั้งยังขายผ้าเอาหน้ารอดจากแม่นมฉินหลังจากคืนส่งตัวเข้าห้องหอ ทั้งสองคนก็ถูกแม่นมฉินดุว่าอย่างรุนแรงไปคราหนึ่ง ลู่หลัวยังโชคดี ซ่อนตัวอยู่ในเรือนไร้เดี่ยวโดยไม่กล้าโผล่หน้าออกมา จื่อหลัวก็ถูกสวดยับเป็นเวลาสองวันเช่นกัน
“ถ้ามิใช่เพราะถูกข้าล่วงรู้ ท่านจะปิดบังข้าไปชั่วชีวิตเลยหรือ!” แม่นมฉินเติมเครื่องหอมเล็กน้อยลงในถัง เพื่อให้น้ำมีกลิ่นหอมรัญจวนใจเข้มข้นยิ่งขึ้น ทั้งยังเจือกลิ่นอายที่แตกต่างกันอีกนิดหน่อย
“แม่นม ไม่ต้องใส่เพิ่มแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เกือบจะจมน้ำตายในอ่างน้ำเสียแล้ว…ตั้งแต่ที่นางแช่ตัว แม่นมฉินก็ได้เติมเครื่องหอมไปห้าหกครั้ง แต่ละครั้งไม่เหมือนกัน การใช้งานก็แตกต่างกันออกไป บางอย่างทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่ม บางอย่างก็กระตุ้นผิวหนัง ทำให้ผิวรู้สึกไวยิ่งขึ้น และบางอย่างก็กระตุ้นอารมณ์…มี่เอ๋อร์ที่รู้สรรพคุณของฤทธิ์โอสถจึงเข้าใจจุดประสงค์การใช้งานของเครื่องหอมทุกชนิด ทุกครั้งที่เห็นแม่นมฉินใส่ นางก็คร่ำครวญอยู่ในใจ มีบางอย่างจะพัง…
“หึ!” แม่นมฉินแค่นเสียงหึอย่างดุดัน ไม่สนใจนาง เพิ่มยาสมุนไพรตัวสุดท้ายเข้าไป จื่อหลัวแทบจะกัดริมฝีปากล่างขาดเพื่อไม่ให้หัวเราะออกมา ส่วนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็พูดไม่ออกอยู่แล้ว…นี่มีสรรพคุณเสริมการไหลเวียนของเลือดและขจัดภาวะเลือดหยุดนิ่ง!
“เอาล่ะ ลุกขึ้นได้แล้วเจ้าค่ะ!” ในที่สุดแม่นมฉินก็พอใจ มองดูจื่อหลัวเช็ดหยดน้ำบนสรรพางค์กายของเยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้วพูดว่า “แค่สวมอาภรณ์ที่ข้านำมาเจ้าค่ะ!”
“แม่นม เปลี่ยนเสื้อได้ไหม?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อ้อนวอนขอร้องแม่นมฉินผู้มีเมตตาการุณย์ ปล่อยตนไปสักครามิต้องสวมเสื้อผ้าที่นางเตรียมไว้…เพราะมันทำจากผ้าบางกึ่งโปร่งแสง และเป็นสีชมพูหม่นซึ่งดูเกินจริงยิ่งกว่านั้น แม่นมฉินให้คนหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่มา ชัดเจนว่าจะให้นางสวมผ้าโปร่งที่ไม่เพียงปิดซ่อนไม่ได้เท่านั้น แต่ยังดูยั่วเสน่ห์ลึกลับมากยิ่งขึ้น จากนั้นใช้เสื้อคลุมตัวใหญ่ปิดทับ คิดๆ ดูก็รู้สึกว่ายั่วยวนอารมณ์ ไหนเลยเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะกล้าใส่มัน
“ไม่มีทางเลือกแล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมฉินกล่าวทิ้งท้าย ครั้งนี้นางรู้สึกรำคาญจริงๆ
เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองแม่นมฉินอยากจะร่ำไห้ทั้งๆ ที่ปราศจากน้ำตา เกลียดแผนการลับของซั่งกวนเจวี๋ย…นางไม่เชื่อ หากไม่ใช่เขาซั่งกวนเจวี๋ยที่ส่งสัญญาณ สาวใช้อย่างม่านเหอจะกล้าเปิดเผยเรื่องที่ทั้งสองคนยังไม่ได้ร่วมห้องกันให้แม่นมฉินฟัง เมื่อวานเพิ่งจะส่งอัฐิของป้าโม่ไปที่อารามสัตตบงกช วันนี้แม่นมฉินก็จงใจหาเรื่องตัวเองแบบนี้ ดูท่านางจะเปลี่ยนไป!
“สะใภ้ใหญ่!” จื่อหลัวกลั้นหัวเราะไว้อย่างสุดชีวิต หยิบผ้าโปร่งบางนั้นไว้ สวมใส่ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ หลังจากใส่ผ้าโปร่งแล้วทรวดทรงองค์เอวก็สวยงามชดช้อยเพิ่มความเย้ายวนและสิเน่หาจนยากจะพรรณนา เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำหน้าปูเลี่ยนๆ ม้วนห่อตัวอยู่ในผ้าคลุมผืนใหญ่อีกครั้ง และภายใต้การดูแลของแม่นมฉิน นางจึงไปถึงบันไดทีละขั้นอย่างเนิบช้า
“แม่นม เจ้าโปรดกลับไปเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เตรียมให้แม่นมฉินออกไป และจะรีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ขืนแต่งชุดดังกล่าวนางไม่มีหน้าไปปรากฏตัวต่อหน้าซั่งกวนเจวี๋ย
“บ่าวจะออกไปหลังจากส่งสะใภ้ใหญ่กลับห้องแล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมฉินฉีกยิ้มอันดูน่าเกลียดออกมา เต็มไปด้วยการคุกคามอย่างยิ่ง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ทำอะไรไม่ถูกในท้ายที่สุด แล้วถูกคุมตัวพากลับห้อง!
“สะใภ้ใหญ่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ!” ม่านเหอและสาวใช้คนอื่นๆ ทำความสะอาดเตียงและที่หลับที่นอน ซั่งกวนเจวี๋ยนั่งรออยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอยู่ก่อนแล้ว ด้วยท่าทางที่รอคอยมานาน ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ต้องการจะหาช่องมุดหน้าหนีเข้าไปซึ่งไม่ทราบว่าใครเป็นคนต้นคิด ในห้องจุดเทียนมังกรและหงส์คู่หนึ่งจริงๆ เช่นเดียวกับในยามส่งตัวคู่บ่าวสาว
“เอาล่ะ พวกเจ้าลงไปเถอะ!” แม่นมฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็หยิบเครื่องหอมออกมาจากอกเสื้อ แล้วส่งให้จื่อหลัว จื่อหลัวยื่นให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยสายตาเชิงขอโทษ วางเครื่องหอมแล้วจุดเทียนมงคล ตั้งวางเรียบร้อยแล้วช่วยพยุงแม่นมฉินออกไป
ซั่งกวนเจวี๋ยแทบจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นเครื่องหอม มันเป็นเครื่องหอมชนิดหนึ่งที่กระตุ้นอารมณ์ได้ เขาแค่ต้องการใช้ความน่าเกรงขามของแม่นมฉินเพื่อสยบการต่อต้านของมี่เอ๋อร์เท่านั้นเอง ไม่คิดว่าแม่นมฉินจะทำเหมือนแค้นฝังลึกเช่นนั้น
“เจ้า…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จ้องเขม็งซั่งกวนเจวี๋ยด้วยความเขินอายและโมโห ปฏิเสธไม่ยอมเข้าใกล้แม้แต่ก้าวเดียว
“ข้าทำไม?” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มแล้วดับเครื่องหอมนั้น พูดกลั้วหัวเราะว่า “คราวนี้น่าจะพอใจแล้วสินะ!”
“เจ้ารังแกข้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดรู้สึกน้อยใจไม่ได้ น้ำตารื้นเอ่อขึ้นมาในดวงตา นางไม่เข้าใจว่าเหตุใด จู่ๆ ตนถึงอ่อนแอ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมมันได้
“ร้องไห้ทำไม?” ซั่งกวนเจวี๋ยถึงกับผงะ เก็บอาการยิ้มบนใบหน้า เดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว ตระกองกอดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้ในอ้อมแขน สูดดมกลิ่นหอมที่แตกต่างจากครั้งก่อนบนเรือนกายของนาง ในขณะที่ตลบอบอวลอยู่นั้นก็มีกลิ่นหอมบางอย่างที่แตกต่างออกไป จึงรู้ว่าความคับแค้นใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาจากไหน…หลังจากที่นางได้ขัดสีฉวีวรรณอย่างดี รอประหนึ่งเป็นเครื่องเซ่นไหว้เข้าประเคน แม้นางจะเป็นเครื่องบรรณาการ แต่ซั่งกวนเจวี๋ยก็ยังคงรู้สึกรักทะนุถนอม
“เพราะข้าไม่ดี ข้าไม่ควรเปิดเผยเรื่องนี้กับแม่นมฉิน” ซั่งกวนเจวี๋ยจูบดวงตาของมี่เอ๋อร์เบาๆ หยดน้ำตาที่ไหลตกลงมาก็ถูกเขาพรมจูบจนหมดจด ออกเค็มระคนเย็นๆ ในขณะที่เขาหลงใหลเคลิบเคลิ้ม ก็เริ่มเผยออ้าปากเล็กน้อย
“มี่เอ๋อร์…” เมื่อซั่งกวนเจวี๋ยอิ่มเอมก็คลายออกไปในที่สุด เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกมึนงงด้วยรสจูบของเขาแล้ว อิงแอบกอดเขาอย่างระทดระทวยไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย ได้ยินเสียงครวญครางของเขา แล้วกดร่างของนางให้แนบแน่นยิ่งขึ้น
“ให้ข้าดูเจ้าเสียดีๆ” นิ้วมือที่คล่องแคล่วงของซั่งกวนเจวี๋ยปลดเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่ขวางตาออกไป แล้วปล่อยให้มันตกลงไปที่พื้นเช่นนั้น เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นที่งดงามไร้ที่ติของมี่เอ๋อร์ก็พุ่งเข้ามาในดวงตาของเขาเช่นกัน
“มี่เอ๋อร์ เจ้าสวยยิ่งนัก” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้มาตลอดว่าภรรยาตัวน้อยของเขามีรูปร่างที่น่าภาคภูมิใจ กระนั้นก็ยังตกตะลึงกับความงามที่อยู่ตรงหน้า เนินอกอวบอิ่มสูงสล้าง เอวเพรียวบางสัมผัสแล้วเนียนนุ่มละมุน สะโพกผายงามผุดผาด ทั้งหมดดึงดูดความสนใจของเขา…
“ท่านพี่…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดครางเบาๆ ไม่ได้ นางรู้สึกว่านัยน์ตาของสามีประหนึ่งเปลวเพลิงก็มิปาน ทำให้นางรู้สึกร้อนผะผ่าวไปทั้งร่าง แต่นางก็ภูมิใจมาก นางรู้ว่าตัวเองมีเรือนร่างงามสมบูรณ์แบบ และรู้สึกตื่นเต้นที่ได้แสดงความภาคภูมิใจให้ กับบุรุษในดวงใจที่นางชมชอบ
“เรียกชื่อข้าสิ มี่เอ๋อร์” ซั่งกวนเจวี๋ยอุ้มภรรยาตัวน้อยที่สุดแสนจะน่ารัก เดินไปที่เตียง วางนางลงบนผ้านวมที่ปักลวดลายเป็ดยวนยางลงเล่นน้ำ ภายใต้แสงเทียนสว่างไสว เขามองเห็นมี่เอ๋อร์ทั้งตัวที่เปล่งประกายผุดผ่องด้วยสีชมพูอันทรงเสน่ห์
“เจวี๋ย…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เอื้อนเอ่ยอย่างอ่อนโยน บนใบหน้าเจือความใสซื่อ แม้ยังอดขวยเขินไม่ได้ก็ตาม หนำซ้ำดึงดันจะซ่อนตัวเองในผ้าห่ม และไม่คิดจะออกมาเลย แต่นางยังคงรวบรวมความกล้า มองซั่งกวนเจวี๋ยโดยไม่หลบเลี่ยง แล้วร้องขานชื่อแฝงไว้ด้วยความรักอันหวานชื่น
ซั่งกวนเจวี๋ยมองมี่เอ๋อร์ที่เอียงอายแต่กล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง ยื่นมือออกไปปลดผ้าคาดเอวของตน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลุกขึ้นนั่งอย่างแผ่วเบา หยุดมือของซั่งกวนเจวี๋ยไว้ พยายามยิ้มแย้มบนใบหน้าแล้วพูดว่า “ข้าจะรอให้ท่านพี่เปลี่ยนเสื้อผ้า…”
ด้วยความเคอะเขินอย่างมากระคนความขี้อายน้อยๆ และความอยากรู้อยากเห็นที่โผล่ออกมาจากใจในทันใดนั้น มือเรียวเล็กของมี่เอ๋อร์สั่นระริกเล็กน้อย แต่ปลดอาภรณ์ของซั่งกวนเจวี๋ยอย่างแน่วแน่ เผยให้เห็นร่างกายที่กำยำแข็งแกร่ง
“ข้าเอง…” ซั่งกวนเจวี๋ยถอดผ้าผ่อนออกหมดอย่างเรียบร้อย รูปร่างที่บึกบึนล่ำสันและทรงพลังก็ปรากฏต่อหน้ามี่เอ๋อร์โดยไม่มีอะไรปกปิด ครั้นขึ้นเตียง โอบกอดมี่เอ๋อร์ที่ร้อนระอุเข้ามาในอ้อมแขน ด้วยพลังวิเศษจากริมฝีปากร้อนผ่าวหอมจูบช้าๆ โลมไล้จากหน้าผาก ผ่านติ่งหูที่รู้สึกไว ประกบริมฝีปากบอบบางงามหยดย้อย ซบคอยาวระหงและไหล่เรียวงาม ไม่ได้หยุดยั้งเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ใช้ฟันกัดกระดุมที่เสื้อผ้าออก แล้วระดมจุมพิตลงไปจนสุด…
เยี่ยนมี่เอ๋อร์แนบชิดอยู่ในอ้อมอกของเขา ท่วงท่านุ่มนวลละมุนละไมอย่างมีชั้นเชิง ด้วยความเหนียมอายระคนประหม่า จึงตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็นยิ่งขึ้น ตอบสนองคำขอของเขา ตอบรับกับความต้องการของเขา จนกระทั่งทั้งคู่ตกอยู่ในห้วงภวังค์ความรักของท้องทะเลแห่งความปรารถนา…
———————-