“จื่อเซวียน ไม่ต้องตามแล้ว เจ้าตามไม่ทันหรอก! ”
เซียวจื่อเซวียนตามไปถึงประตูใหญ่ เงาราตรีมืดมิด เขากำลังจะไล่ตามไปอีก เซี่ยยวี่หลัวขวางเขาไว้
“พี่สะใภ้ใหญ่ เจ้าสารเลวสองคนนี้! ”
เซียวจื่อเซวียนเหวี่ยงกระบองในมือลงพื้นด้วยอารมณ์โมโห รู้แต่แรกเขาคงไม่ใช้กระบอง คงหยิบมีดหั่นผักในห้องครัวมาเลย เจ้าอันธพาลที่สมควรตายสองคนนี้ น่าสับมีดลงไปให้พวกเขาตายเสีย
เซียวจื่อเมิ่งกลัวจนกอดเซี่ยยวี่หลัวไว้แน่น สะอื้นไห้ “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้ากลัว…”
เซี่ยยวี่หลัวโอบกอดเซียวจื่อเมิ่งไว้แน่น พร้อมปลอบโยน “ไม่ต้องกลัว จื่อเมิ่ง พี่สะใภ้ใหญ่อยู่ตรงนี้ ไม่ต้องกลัว! ”
เซียวจื่อเซวียนกลัวว่าต่อไปอาจเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าจะไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน ให้หัวหน้าหมู่บ้านช่วยให้ความเป็นธรรมกับพวกเรา! ”
เซี่ยยวี่หลัวส่ายหน้า “อย่าเพิ่งไป! ”
เซียวเฉิงซานนักเลงหัวไม้ในหมู่บ้าน ยังมีหลัวไห่ตี้น้องชายของหลัวไห่ฮวา คนที่ครั้งก่อนตนเองสะอิดสะเอียนจนแทบอยากควักลูกตาเขาออกมานั่น
“ในจำนวนนั้นคนหนึ่งคือเซียวเฉิงซาน อีกคนคือหลัวไห่ตี้น้องชายของหลัวไห่ฮวา พวกเราจับคนไม่ได้ ตอนนี้ไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน อันธพาลสองคนอย่างเซียวเฉิงซานและหลัวไห่ตี้ พวกเขาไม่มีทางยอมรับแน่”
เมื่อกุมจุดอ่อนอะไรไม่ได้ เจ้าคนเลวสองคนนั่น จะยอมรับได้อย่างไร!
ถึงเวลาหากยืนกรานว่าพวกนางใส่ร้ายพวกเขา ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีก!
เซียวจื่อเซวียนร้อนใจ “หรือว่าจะปล่อยไปอย่างนี้ขอรับ? เซียวเฉิงซานและหลัวไห่ตี้ต่างไม่ใช่คนดีอะไร วันนี้พวกเขาไม่สำเร็จ หากมาอีกจะทำอย่างไรขอรับ? ”
วันนี้เพราะเขาได้ยินเสียง แต่หากครั้งหน้าสองคนนั้นมาหลังจากพวกเขาหลับไปแล้วเล่า?
พอคิดถึงเรื่องที่วันนี้เกือบติดกับสองคนนั้น เซียวจื่อเซวียนก็ทั้งโมโหทั้งหวาดกลัว สั่นเทิ้มไปทั้งตัว
คิ้วงามของเซี่ยยวี่หลัวขมวดเป็นปม ฉายประกายหลักแหลมปราดเปรื่อง ในชั่วพริบตานั้น รังสีบนกายเหมือนจะมีความหยิ่งทะนงและน่าเกรงขาม ทำให้คนอื่นไม่กล้าหมิ่นหยาม
“คืนนี้พวกเขาคงไม่มาอีก พวกเราลงกลอนประตูหน้าต่างให้ดี พักผ่อนก่อน” เซี่ยยวี่หลัวยกบันไดไปไว้ข้างๆ แล้วจึงพาเด็กสองคนกลับห้องไปนอน
คราวนี้ทั้งประตูและหน้าต่างถูกลงกลอนอย่างแน่นหนา แม้แต่ประตูห้องที่แต่ก่อนเพียงลงกลอนก็พอแล้ว ครั้งนี้เซี่ยยวี่หลัวใส่กุญแจไว้ด้วย ทั้งยังนำโต๊ะมาค้ำไว้ มั่นใจแล้วว่าขอเพียงเกิดเสียงตัวเองก็จะสะดุ้งตื่น เซี่ยยวี่หลัวจึงไปนอน
เมื่อเอนกายลงนอน เซียวจื่อเมิ่งก็หลับใหลอย่างรวดเร็วเพราะความกลัว
เซี่ยยวี่หลัวและเซียวจื่อเซวียนกลับไม่รู้สึกง่วง
เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกกลัวนัก
โชคดีที่นางรู้วิชาป้องกันตัว และยังดีที่คืนนี้นางระวังตัวเป็นพิเศษ
หากนางไม่สนใจอะไร เพียงพาเด็กสองคนกลับไปดับไฟและเข้านอน เช่นนั้นยาสลบที่เจ้าสารเลวสองคนนี้นำมาย่อมทำให้พวกเขาหมดสติ
หากพวกเขาหมดสติ…
พอคิดว่าถึงเวลาพวกเขาเหมือนลูกไก่ในกำมือ อีกฝ่ายสามารถข่มเหงและกระทำการได้ตามอำเภอใจ เซี่ยยวี่หลัวก็หวาดผวาจนเหงื่อเย็นซึมชื้น
เซียวยวี่ไม่อยู่บ้าน คนพวกนี้จึงคิดเรื่องสกปรกโสมมเช่นนี้ออกมาได้
ข้างนอกเงียบสงบยิ่งนัก ไม่มีเสียงผิดปกติแม้แต่น้อย ครุ่นคิดมามากขนาดนี้ เซี่ยยวี่หลัวจึงวางใจ พอคิดถึงเซียวเฉิงซานและหลัวไห่ตี้ เซี่ยยวี่หลัวลุกพรวดขึ้นนั่งทันที ก่อนเอ่ยถามเซียวจื่อเซวียน “จื่อเซวียน หัวหน้าหมู่บ้านไม่ให้หลัวไห่ตี้เข้าหมู่บ้านสกุลเซียวอีกไม่ใช่หรือ? เขามาได้อย่างไร? นอกจากนั้น เหตุใดเขาจึงอยู่กับเซียวเฉิงซานได้! ”
เซียวจื่อเซวียนก็ลุกขึ้นนั่ง “พวกเขาสองคนเป็นสหายที่มักกินเที่ยวด้วยกันเป็นประจำ…”
อยู่ด้วยกันเป็นประจำ!
เซี่ยยวี่หลัวขานตอบหนึ่งคำ เอนตัวลงนอนอีกครั้ง ภายในใจก็มีแผนการแล้ว
นางไม่ชอบถูกคนอื่นเพ่งเล็ง และถูกสะกดรอยจับตามอง ขอเพียงเป็นเรื่องที่ทำให้นางรู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่มั่นคง เซี่ยยวี่หลัวก็จะแก้ไขทั้งหมด
ตั้งแต่เด็กนางก็มีชีวิตที่อุดมไปด้วยวัตถุปัจจัยและการเลี้ยงดูที่ดีเยี่ยม แต่เพราะอิทธิพลทางวัฒนธรรมและการเลี้ยงดูของบิดามารดา ทำให้นางกลายเป็นหญิงที่ไม่ได้มีดีแค่หน้าตาและเอาแต่เสพสุข โดยไม่รู้จักคิดการวางแผน ไม่รู้จักแบกรับหน้าที่
เรื่องที่นางอยากทำ ไม่มีเรื่องใดที่นางทำไม่สำเร็จ
เซี่ยยวี่หลัวคิดการวางแผนไว้ในใจ หลับไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเซียวจื่อเซวียนได้ยินว่าพี่สะใภ้ใหญ่มีวิธีจัดการแล้ว พลิกตัวครู่หนึ่งก็นอนหลับเช่นกัน
ดวงดาราข้างนอกทอประกายแสงสว่างพร่างพราย ท่ามกลางหมู่บ้านที่เงียบสงบ มีคนสองคนวิ่งออกไป ทำให้สุนัขที่ชาวบ้านในหมู่บ้านเลี้ยงไว้ตกใจ จึงส่งเสียงเห่าออกมาอย่างต่อเนื่อง
เซียวเฉิงซานและหลัวไห่ตี้วิ่งกลับบ้านโดยใช้มือปิดหน้าไปตลอดทาง รีบลงกลอนประตู หลังจากจุดไฟแล้ว ทั้งสองคนหันสบตากัน หน็อยแน่ เซี่ยยวี่หลัวนั่นแรงเยอะเสียจริง ทั้งสองคนถูกตีจนใบหน้าปูดบวม
เซียวเฉิงซานคลำหางตาของตัวเองที่ถูกตีจนฟกช้ำ กล่าวด้วยความโมโห “ข้าบอกแล้วว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเซี่ยยวี่หลัว เจ้าดูสิ โดนตีจนกลายเป็นเช่นนี้ ซี้ด…”
หลัวไห่ตี้คลำเอวที่โดนตีจนแทบหัก ก่นด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย “โถ่เอ้ย แม่นี่แรงเยอะเสียจริง มือหนักเสียไม่มี! ”
เซียวเฉิงซาน “นี่หลัวไห่ตี้ เจ้ายังไม่ตายใจอีกหรือ? วันนี้โดนตี ครั้งหน้าจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้”
หลัวไห่ตี้กรอกตาใส่เซียวเฉิงซานทีหนึ่ง “วันนี้พวกเราเตรียมการไม่ดีพอ ใครใช้ให้เจ้าเสียงดังขนาดนั้น โดนเจ้าเด็กบ้านั่นได้ยินเข้า หากเขาไม่ได้ยิน จะพบพวกเรางั้นหรือ? ”
โทษไปโทษมา กลับมาโทษเขาเสียนี่
เซียงเฉิงซานไม่พอใจ อาหารโอชารสก็ไม่ได้กิน ตัวเองยังโดนกล่าวโทษอีกต่างหาก “เจ้ามาโทษข้า? หากไม่ใช่เพราะเจ้ารีบร้อน พวกเราโดนพบแล้วก็รีบกลับมา ก็คงไม่ต้องอยู่ในสภาพนี้”
เดิมทีหลัวไห่ตี้อยากด่าสักยกหนึ่ง ในภายหลังคิดได้ว่าที่นี่เป็นบ้านของเซียวเฉิงซาน ตัวเองยังมีเรื่องไหว้วานเขา ก็ได้แต่ปล่อยไป
เซียวเฉิงซานด่าอยู่ไม่กี่ประโยค หลัวไห่ตี้ได้แต่ยิ้มเจื่อน ไม่ได้กล่าวอะไร เซียวเฉิงซานจึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง ทั้งสองคนดับไฟแล้วจึงเข้านอน
เงียบสงบตลอดคืน
เซียวเฉิงซานและหลัวไห่ตี้นอนจนถึงช่วงสายจึงลุกขึ้น
ภายในบ้านไม่มีอาหาร ปกติเซียวเฉิงซานก็อาศัยกินตามบ้านคนอื่น คราวนี้ก็เช่นกัน เพียงแต่วันนี้ไม่เพียงมีส่วนของเขา ยังมีของหลัวไห่ตี้ด้วย
บ้านคนส่วนใหญ่ล้วนกินเสร็จแล้ว เซียวเฉิงซานเดินมาตลอดทาง ไม่มีใครกำลังกินอาหารเลย
“เฉิงซาน เจ้าเป็นอะไรไป? เหตุใดใบหน้าถึงปูดบวม? ” เซียวจินเห็นเซียวเฉิงซานใช้มือปิดใบหน้า เดินด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ พอมองโดยละเอียด จึงพบว่าตำแหน่งที่ไม่โดนปิดเต็มไปด้วยรอยช้ำสีเขียวม่วง
เซียวเฉิงซานปิดหน้าไว้ แสยะปากพร้อมพูดลอดไรฟัน “เมื่อคืนข้าออกมาเข้าห้องน้ำ ไม่ทันระวังจึงหกล้ม”
“เช่นนั้นเจ้าคงไม่ได้ร่วงลงไปในหลุมส้วมใช่หรือไม่? ” เซียวจินถือว่าคุ้นเคยกับเซียงเฉิงซาน จึงกล่าวเป็นเชิงหยอกล้อ
เซียวเฉิงซานก็ไม่โมโห ไม่รอให้เซียวจินเชื้อเชิญ เขาก็เปิดประตูลานบ้านเข้าไปเอง
เซียวจินกำลังกินอาหารอยู่ในลานบ้าน น่าจะกลับมาจากที่นา บนโต๊ะมีโจ๊กและหมั่นโถว โจ๊กเหลืออยู่กว่าครึ่งชาม หมั่นโถวก็ถูกกินไปเกือบครึ่งเท่านั้น น่าจะเพิ่งกิน
เซียวเฉิงซานนั่งลงบนเก้าอี้อย่างร่าเริง ยื่นมือไปจับหมั่นโถว เซียวจินเห็นเข้า จึงยื่นตะเกียบไปปัดมือเขาออก “นี่เซียวเฉิงซาน เจ้ากำลังทำอะไร? ”
เซียวเฉิงซานโดนตี รู้สึกเจ็บเล็กน้อย กลับยังคงขยับไปสะกิดไหล่เซียวจินด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สะกิดพลางกล่าว “เมื่อวานตกลงไปในหลุมส้วม ไม่ทันระวังมือเลยไถลลงไปในหลุมอุจจาระ ยังไม่ได้ล้างเลย เจ้าลองดมดูว่ามือข้ากลิ่นแรงหรือไม่? ”
เซียวจินแทบอาเจียนออกมา
มือของเซียวเฉิงซานเต็มไปด้วยคราบสีดำ สกปรกยิ่งนัก เมื่อจับไปบนหมั่นโถวก็เกิดรอยนิ้วมือ พอคิดว่ามือนี่เคยสัมผัสกับของนั่น…
เซียวจินกินไม่ลงแล้ว เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าตรงไหล่ตัวเองที่เมื่อครู่ถูกเซียวเฉิงซานสัมผัส มีกลิ่นเหม็นคละคลุ้งแผ่ออกมา
“อุ๊บ…” เซียวจินวางชามกับตะเกียบลง เข้าบ้านไปเปลี่ยนเสื้อ