เล่มที่ 5 บทที่ 134 ให้เจ้าได้ลิ้มลองยาสลบบ้าง

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

เซียวเฉิงซานมองอาหารบนโต๊ะด้วยท่าทางได้ใจ ยกชามขึ้น กลืนโจ๊กครึ่งชามใหญ่และกับข้าวลงท้องไปโดยแทบไม่เคี้ยว กินสองสามคำก็หมด หมั่นโถวสองลูกนั้นเขาก็ใส่ไว้ในอกเสื้อ ก่อนเดินออกไปด้วยท่าทางวางมาด

เถียนเอ๋อซักผ้าเสร็จเพิ่งกลับบ้าน ก็เห็นเงาแผ่นหลังของเซียวเฉิงซานเดินเลี้ยวตรงหัวมุมข้างหน้า เถียนเอ๋อไม่ได้สนใจ เข้าไปก็เห็นว่าโจ๊กและกับข้าวรวมถึงหมั่นโถวบนโต๊ะตัวเล็กถูกกินจนหมดแล้ว

ระหว่างที่นางกำลังตากเสื้อผ้า เซียวจินก็นำเสื้อมาโยนไว้บนพื้น

เมื่อเถียนเอ๋อเห็นว่ายังมีเสื้อสกปรกอีกหนึ่งตัว ก็ไม่พอใจ “เสื้อตัวนี้เจ้าเพิ่งเปลี่ยนเมื่อคืนไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงสกปรกอีกแล้ว! ”

เซียวจินยิ่งคิดยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียน “อย่าพูดเลย เมื่อครู่เซียวเฉิงซานเคยมา”

“เขามาทำอะไร? ” เถียนเอ๋อเอ่ยถามด้วยท่าทีสงสัย

เซียวจินอยากอาเจียนอีกครั้ง “ไม่ได้ทำอะไร เพียงบอกว่าเมื่อคืนเขาตกลงไปในหลุมส้วม ตกหลุมส้วมก็ไม่รู้จักล้างให้สะอาด เอาแต่มาถูตัวข้า เอ๋ โจ๊กของข้าเล่า? เจ้าเททิ้งแล้วงั้นหรือ? ”

เถียนเอ๋อ “ข้าเพิ่งกลับมา จะเทโจ๊กของเจ้าไปทำไม? ”

“หมั่นโถวเล่า? ”

“ไม่ใช่ว่าเจ้ากินไปแล้วงั้นหรือ? ”

เซียวจินโวยวายเสียงดัง “ข้ากินเสียที่ไหน หมั่นโถวนั่นข้ากินไปเพียงคำเดียว โจ๊กข้าก็กินไปแค่ชามเล็ก” โวยวายเสร็จก็นึกได้ทันที “อ้อ ข้ารู้แล้ว เจ้าชั่วเซียวเฉิงซานนั่นกินไป! ”

ใครบ้างไม่รู้อุปนิสัยของเซียวเฉิงซาน อาศัยกินดื่มบ้านคนอื่นจนมีประสบการณ์ช่ำชอง

สองสามีภรรยารวมใจสามัคคี ช่วยกันด่าว่าเซียวเฉิงซานเป็นเจ้าคนชั่ว

ส่วนเจ้าคนชั่วผู้นั้นก็เดินวางมาดจนกลับถึงบ้าน ประจวบเหมาะกับที่หลัวไห่ตี้ลืมตาตื่นขึ้น

เซียวเฉิงซานโยนหมั่นโถวลูกหนึ่งให้หลัวไห่ตี้ หลัวไห่ตี้นอนอยู่บนเตียง หยิบหมั่นโถวขึ้นมากินเข้าไปอย่างรวดเร็ว

หมั่นโถวลูกเดียวจะกินให้อิ่มท้องได้อย่างไร หลัวไห่ตี้โวยวาย “หมดแล้วงั้นหรือ? “

เซียวเฉิงซานเหล่มองเขา “เจ้ายังจะกินอะไรอีก? “

หลัวไห่ตี้กล่าวด้วยความหงุดหงิด “ข้าเป็นชายชาตรี เจ้าให้ข้ากินหมั่นโถวเพียงลูกเดียว? “

“ข้าก็กินหมั่นโถวแค่ลูกเดียวเหมือนกัน บ้านข้ามีแค่นี้ หากเจ้ายังไม่อิ่มก็คิดหาวิธีเองแล้วกัน” เซียวเฉิงซานกล่าวอย่างไม่พอใจ

หลัวไห่ตี้ได้แต่หุบปาก

หากเซียวเฉิงซานไล่เขาออกไปจริง เช่นนั้นเขาคงไม่ได้กินของดีเป็นแน่

บุรุษสองคน หลังจากกินหมั่นโถวเสร็จก็นอนหลับต่อ หลับยาวถึงช่วงบ่าย หลัวไห่ตี้ตื่นเพราะความหิว

ทั้งวันได้กินหมั่นโถวเพียงลูกเดียว ไม่มีเนื้อให้กินสักนิด เขาหิวแทบตายแล้ว

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ เขารู้สึกเหมือนมีกลิ่นหอมกรุ่นทำให้เขาหิวอยู่ตลอด

เหมือนจะเป็นไก่ย่าง!

“บ้านไหนทำไก่ย่างกัน? ทำไมถึงหอมขนาดนี้? ” หลัวไห่ตี้กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง พลางลุกขึ้นมานั่งบนเตียง

เซียวเฉิงซานก็หิว จึงกลืนน้ำลายอึกหนึ่งเช่นกัน ก่อนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”

หลัวไห่ตี้ผลักเขา “เจ้าลองไปดู ว่าบ้านไหนทำไก่ย่าง ไปเอามาหน่อย”

กลิ่นหอมลอยมาจากด้านหลังตัวบ้าน หลังบ้านเป็นผืนป่า ในนั้นจะมีกลิ่นหอมของไก่ย่างได้อย่างไร?

บางทีอาจมีคนจับไก่ป่าได้ จึงย่างไก่อยู่ในป่าหลังบ้านก็เป็นได้!

เซียวเฉิงซานพลิกตัว “ข้าจะไปเอาไก่ย่างมาจากไหน? เจ้าอยากกินก็ไปเอง! ”

หลัวไห่ตี้หิวจนทนไม่ไหว หิวจนไส้กิ่วแล้ว เมื่อเห็นว่าเซียวเฉิงซานไม่เคลื่อนไหว ก็โมโหแทบตาย

ต้องรู้ว่าเวลาเขาอยู่หมู่บ้านสกุลหลัว อยากกินอะไรก็ได้กิน ไม่จำเป็นต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ทั้งวันได้กินหมั่นโถวเพียงลูกเดียว หลัวไห่ตี้ไม่อยากทำให้เซียวเฉิงซานไม่พอใจ จึงกล่าว “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะออกไปหาของกิน”

กล่าวจบ หลัวไห่ตี้ก็ออกไปจริงๆ

เซียวเฉิงซานเห็นเขาไปแล้ว จึงพลิกตัว นอนหลับต่อ ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวก็ต้องสูญเสียพลังงาน ช่วงเช้าเขาได้กินโจ๊กครึ่งชามใหญ่กับหมั่นโถวลูกเดียว เก็บพลังกายไว้จะดีกว่า

หลัวไห่ตี้กลัวจะโดนคนในหมู่บ้านพบตัว ไม่ได้เดินไปในหมู่บ้าน แต่เดินไปทางผืนป่า ยิ่งเดินลึกเข้าไป กลิ่นหอมของไก่ย่างก็เข้มข้นยิ่งขึ้น

ทั้งยังมีกลิ่นควันไฟด้วย

ใครกันที่มาย่างไก่อยู่ในผืนป่า?

พอหลัวไห่ตี้คิดได้ว่ามีคนกำลังย่างไก่อยู่ในนั้น ก็ดีใจจนน้ำลายไหล เขาพุ่งพรวดเข้าไปในผืนป่าโดยไม่คิดด้วยซ้ำ

ยิ่งเดินลึกเข้าไป กลิ่นควันไฟก็แรงขึ้น กลิ่นไก่ย่างก็เข้มข้นยิ่งขึ้น

และแล้ว ยังเดินได้ไม่ไกลนัก ก็เห็นว่าด้านหน้ามีกิ่งไม้วางพาดอยู่ บนกิ่งไม้มีไก่ตัวหนึ่งที่ถูกย่างจนเป็นสีเหลืองทองทั้งยังมีน้ำมันหยดอยู่

ถึงแม้ไก่จะไม่ได้ตัวอวบอ้วน แต่นั่นก็เป็นเนื้อ!

หลัวไห่ตี้เหลียวซ้ายแลขวาอย่างฉับพลัน คนย่างไก่ไม่อยู่

อาจกำลังไปหาฟืนที่อื่น หลัวไห่ตี้อยากกินจนน้ำลายไหล หากไม่กินตอนนี้ จะให้รอถึงตอนไหนเล่า

หลัวไห่ตี้พุ่งพรวดไป หยิบไก่ย่างขึ้นมากัดกินทันที ไก่ย่างนั่นถูกย่างจนเป็นสีเหลืองทองมีน้ำมันซึม ร้อนแทบตาย แต่หลัวไห่ตี้ก็ไม่รู้สึกรู้สา

ไม่ได้กินเนื้อมาตลอดวัน เขาหิวจนทนไม่ไหวแล้ว รีบกินไก่ลงไปครึ่งตัวอย่างเอร็ดอร่อย

ยังคงหิวจนทนไม่ไหว

หลัวไห่ตี้ไม่คิดเกรงใจ กินไก่ที่เหลืออีกครึ่งตัวจนหมดเกลี้ยง

เซียวเฉิงซานจะหิวหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับเขา!

เมื่อกินไก่หมดหนึ่งตัว หลัวไห่ตี้ก็เช็ดปากที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมันอย่างพึงพอใจ ลุกขึ้นยืนพร้อมส่งเสียงเรอด้วยความอิ่ม เขาไม่ได้กลับบ้าน กลัวว่าตนเองเรอด้วยความอิ่มและกลิ่นเนื้อไก่บนตัวจะทำให้เซียวเฉิงซานสงสัย จึงเดินเล่นอยู่ในผืนป่า เพิ่งเดินไปไม่กี่สิบเมตร ก็มีเสียง “ตึง” ดังขึ้น หลัวไห่ตี้ล้มลงบนพื้น

ไม่นานก็มีเสียงกรนดังขึ้น นอนหลับไปแล้ว

เวลานี้เอง มีคนสองคนเดินออกมาจากผืนป่าที่มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมอย่างหนาแน่น ผู้ใหญ่หนึ่งคนเด็กหนึ่งคน คือเซี่ยยวี่หลัวและเซียวจื่อเซวียนนั่นเอง

พวกเขาเพ่งมองหลัวไห่ตี้ที่หมดสติไปแล้วด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะหันสบตากันและยิ้มออกมา

ไก่ย่างนั่นพวกเขาเป็นคนย่าง เพื่อดึงดูดหลัวไห่ตี้หรือเซียวเฉิงซานมา คราวนี้ก็ดี จับตัวหลัวไห่ตี้ได้ ให้เขาได้ลิ้มลองรสชาติของยาสลบเสียบ้าง

เซี่ยยวี่หลัวเดินขึ้นหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกล่าวกับเซียวจื่อเซวียน “ไปกัน เราขังเขาไว้”

เซียวจื่อเซวียน “พี่สะใภ้ใหญ่ จะขังเขาไว้จริงหรือขอรับ? ”

เซี่ยยวี่หลัวยิ้มอย่างเย็นเยียบพร้อมกล่าว “ขัง! ” ใครใช้ให้เขาล่วงเกินนาง ให้เขาต้องลำบากเสียบ้าง ถึงจะสำนึกว่าคนที่เขาล่วงเกินนั้นเป็นผู้ใด

ใครไม่ทำร้ายนาง นางก็จะไม่ทำร้ายผู้นั้น หากใครทำร้ายนาง ก็จะเอาคืนเป็นเท่าตัว!

ด้านหลังผืนป่าเป็นภูเขา ตรงตีนภูเขามีถ้ำอยู่ไม่น้อย เซี่ยยวี่หลัวหาถ้ำไว้หนึ่งแห่งก่อนแล้ว จับหลัวไห่ตี้ที่ถูกมัดไว้โยนเข้าไป

นำเศษผ้าที่ดึงมาจากชายเสื้อของเซียวเฉิงซานไปวางไว้ในถ้ำ

จากนั้น ก็ใช้หินก้อนใหญ่ปิดปากถ้ำไว้อย่างมิดชิด ทั้งคู่จึงกลับบ้านไป

เซียวเฉิงซานรอแล้วรออีก ก็ยังไม่เห็นหลัวไห่ตี้กลับมา คิดว่าเขาอาจหิวจนทนไม่ไหวจึงกลับบ้านไปแล้ว จึงไม่ได้สนใจ ใกล้ถึงเวลามื้อเย็นก็ลุกขึ้น แต่งตัวเรียบร้อยแล้วออกบ้านไปอาศัยกินดื่มบ้านคนอื่น

ท่าทางเกียจคร้านทำตัวเรื่อยเปื่อย ราวกับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าเหตุใดหลัวไห่ตี้ถึงยังไม่กลับมา และไม่เป็นห่วงหลัวไห่ตี้สักนิด

เมื่อเห็นเซียวเฉิงซานเดินอยู่ในหมู่บ้านอย่างไร้กังวล เซี่ยยวี่หลัวนำของสิ่งหนึ่งออกมาพร้อมกล่าวอะไรบางอย่างข้างหูเซียวจื่อเซวียน เซียวจื่อเซวียนรีบพยักหน้าพร้อมบอกว่าเข้าใจแล้ว จากนั้นจึงรีบรับของมาและเดินไปในหมู่บ้าน

ไม่นานก็พบสองพี่น้องต้าจ้วงและเสี่ยวฮวากำลังเล่นดินโคลนอยู่ในหมู่บ้าน เมื่อเห็นว่าในมือเซียวจื่อเซวียนมีขนมอร่อย แต่ละคนก็รีบเข้าไปคิดจะแย่ง เซียวจื่อเซวียนจงใจไม่ให้พวกเขาจับได้ สุดท้ายวิ่งจนหมดแรง ถูกพวกเขาจับตัวได้ตรงหน้าบ้านเซียวเฉิงซาน

ได้แต่แบ่งขนมให้คนละหนึ่งชิ้นอย่างจนใจ จากนั้นจึงชี้ไปที่รั้วไม้ตรงลานหน้าบ้านเซียวเฉิงซาน กล่าวด้วยท่าทางสงสัย “นั่นเป็นของที่บ้านท่านอาเฉิงซานทำหายงั้นหรือ? เหมือนจะเป็นสร้อยเส้นหนึ่ง! ”

“ของข้า! ” เซียวต้าจ้วงยังไม่ได้ดูอย่างชัดเจนด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร แย่งสร้อยได้ก็รีบวิ่งหนีไป

สร้อยเส้นนั้นเอามาจากคอหลัวไห่ตี้ เดิมทีเซี่ยยวี่หลัวเห็นว่าบนคอหลัวไห่ฮวาก็มีสร้อยที่คล้ายกันอยู่เส้นหนึ่ง ในเมื่อส่งของไปถึงตรงหน้าหลัวไห่ฮวาแล้ว เช่นนั้นต่อไปก็ต้องดูท่าทีของหลัวไห่ฮวา

ไม่นานฟ้าก็มืด

และเวลานี้ หลัวไห่ตี้ที่อยู่ภายในถ้ำก็ตื่นขึ้นมาด้วยอาการสะลึมสะลือ

เบื้องหน้ามีเพียงความมืดมิด

“เซียวเฉิงซาน ทำไมเจ้าถึงไม่จุดไฟ? ” หลัวไห่ตี้กล่าวเป็นเชิงตำหนิ

ภายในถ้ำแคบมีเสียงสะท้อนกลับดังอื้ออึง ไม่มีใครตอบเขา มีเพียงเสียงสะท้อนของเขาที่ดังอื้ออึง

หลัวไห่ตี้คิดจะลุกพรวดขึ้น แต่เพิ่งยืดขาออก ก็สะดุดเข้าแล้ว “เจ้าสารเลวคนไหนกล้ามัดข้าไว้! ”